Pages

วันเสาร์, สิงหาคม 18, 2555

ไตรมาสสุดท้าย

และแล้วก็ถึงไตรมาสสุดท้าย เห้อออ.....ตื่นเต้นๆๆ!!

3 เดือนสุดท้ายของการอุ้มท้อง หลายคนบอกว่า คุณแม่ต้องพักผ่อนให้มากๆ งีบให้เยอะๆ เพราะร่างกายคุณแม่จะอุ้ยอ้าย และอ่อนเพลียมาก จริงยิ่งกว่าจริง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเกือบ 15 โล ตอนนี้ทำให้เดินเหิน นั่งนอน ลำบากมากๆ จะทำอะไรก็ติดพุงตลอด หนักก็หนัก พุงก็ใหญ่ เหนื่อยก็เหนื่อย น้ำหนักแค่พุงอย่างเดียวก็น่าจะเทียบเท่ากับแบกข้าวสาร 3-4 โลได้แล้วล่ะมั้ง เพราะทั้งน้ำ ทั้งรก ทั้งลูกน้อย ทั้งกล้ามเนื้อมดลูก รวมๆกันอยู่ เวลานอนแล้วจะลุกทีแทบอยากจะหารถเครนมาลาก มันลุกไม่ขึ้นจริงๆนะ ต้องตะแคงข้างก่อนแล้วค่อยๆดันตัวขึ้น พระเจ้า...เกิดมาไม่เคยหนักขนาดนี้มาก่อน!!! ฉั้นเห็นตัวเองแล้วก็อดปลงไม่ได้ เพราะตอนนี้ตัวกลมมาก แขนกลายเป็นขา ส่วนขาก็กลายเป็นขาโต๊ะสนุ้กไปแล้วเรียบร้อย ไม่ใช่แค่น้ำหนักที่เพิ่ม แต่เป็นปริมาณน้ำที่ร่างกายเก็บกักสะสมไว้ด้วย ทำให้ออกอาการทั้งอ้วนและบวม ฉั้นต้องดื่มน้ำเยอะมากเพราะลูกน้อยต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงเยอะๆ และเพื่อหล่อเลี้ยงให้ผิวพรรณชุ่มชื่นอีกต่างหาก เวลาร่างกายขาดน้ำทีไรบางช่วงที่อากาศเย็นๆ ผิวฉั้นแห้งแตก จนเป็นผื่นเต็มขาไปหมด แถมผื่นแห้งตกเสก็ดก็ทิ้งร่องรอยแผลเป็น แล้วฮอร์โมนก็ทำให้ร่องรอยแผลเป็นมีสีคล้ำขึ้นอีก ทำให้รู้สึกว่าตอนนี้ฉั้นมีแผลเป็นจากสิวเต็มหน้า และแผลเป็นจากรอยผื่นเต็มขา แถมผิวบางช่วงที่แตกลาย เพราะครืมบางตัวที่ใช้ก็เอาไม่อยู่ โชคดีที่พุงไม่ลาย แต่กลับกลมมน เต่งตึง สวยงาม ค่อยยังชั่ว!! ฉั้นปวดหลังเพราะต้องแอ่นตัวถ่วงน้ำหนักเอาไว้ตลอดเวลา ปวดขาเพราะน้ำหนักที่แบกรับเอาไว้ทำให้น่ังนานไม่ค่อยจะได้ บางวันเท้าและข้อเท้าบวมตุ่ยจนรองเท้าเบอร์เดิมที่เคยใส่แทบจะยัดไม่เข้า ยิ่งถ้าเดินมากๆกลางคืนอาจจะปวดขาจนนอนไม่หลับทีเดียวเชียว ไม่ว่ายน้ำก็ต้องนอนพาดขาสูงๆเข้าไว้จะช่วยได้ระดับนึง อาการปวดข้อมือข้างซ้ายก็ใช่ย่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืน หมอสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากแรงกดทับที่เส้นประสาทบางเส้นที่ทำให้ปวดมาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่เดือนที่ 6 เห็นจะได้ กลางวันก็ง่วงเหงาหาวนอนจนต้องหาเวลางีบหลับเป็นประจำ แม้จะมีอาการมากมายหลายอย่างที่บางครั้งเล่นเอาซะจิตตก หดหู่ แต่ก็ได้กำลังใจจากแฟบนี่ล่ะ เป็นแรงสำคัญ คอยบอกว่าฉั้นสวยบ้าง บอกว่ามีความสุขบ้าง บอกว่าภูมิใจบ้าง แฟบไม่เคยทิ้งให้ฉั้นหดหู่อย่างเดียวดายเลย ไม่เคยปล่อยให้ฉั้นไปหาหมอคนเดียว ไม่เคยปล่อยให้ฉั้นเศร้าซึมนาน แค่เห็นฉั้นซึมๆก็คอยถามไถ่และให้กำลังใจตลอด แม้เค้าจะเหนื่อยจากงานแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิดใส่ฉั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เห็นอย่างงี้แล้วฉั้นได้แต่บอกตัวเองว่า เหนื่อยแค่ไหนก็จะสู้!! >..<' แถมทุกครั้งที่ไปหาหมอ แล้วได้ยินหมอบอกว่า ทุกอย่างโอเค เพอร์เฟ็ค อาการต่างๆจะหายไปหลังคลอด ส่วนหัวใจลูกน้อยเต้นก็เป็นจังหวะแข็งแรง แขนขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวตลอดเวลา แถมน้ำหนักก็ขึ้นตามเกณฑ์ปกติ ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูก แค่นี้ก็ทำให้ยิ้มได้ และใจชื้นกันทั้งพ่อทั้งแม่ 

ฉั้นเฝ้าลูบพุงตัวเองอยู่ทุกวันอย่างมีความสุข จนเข้าเดือนที่ 8 ลูกเริ่มเคลื่อนไหวแรงมาก ทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งยืดเหยียด ทั้งม้วนตัว เช้าบางเช้าตื่นเพราะโดนปลุกจากแรงดิ้นก็มี แต่ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่ทำก็คือลูบไล้พุงตัวเองเพื่อเล่นกับเค้าและเพื่อเช็คว่าตอนนี้เค้ากำลังนอนอยู่ด้านไหน ซ้ายหรือขวา เพราะส่วนที่นูนกว่าส่วนอื่นทำให้รู้ได้แล้วว่า เป็นหลังหรือก้น และส่วนที่ดุ๊กดิ๊กไปมาอีกด้านก็ต้องเป็นเท้า และดุ๊กดิ๊กเบาๆอยู่ด้านล่างหน่อยก็คือมือน้อยๆ ตอนนี้เค้ามีสัมผัสการรับรู้และได้ยินแล้ว จึงตอบสนองฉั้นได้ บางวันก็ให้พ่อเค้าชวนคุย แฟบคุยกับลูกผ่านพุงฉั้น รอซักพักเค้าก็จะขยับตัวเคลื่อนไหวไปมาตอบรับ เรามีความสุขและตื่นเต้นกันมากทุกครั้งที่เห็นพุงเคลื่อนไหวราวกับคลื่นใต้น้ำ น้ำหนักลูกเพิ่มอย่างรวดเร็วมากช่วงนี้ ฉั้นต้องเข้าห้องน้ำถ่ายเบาบ่อยขึ้น เพราะเค้าเริ่มยืดเหยียดและดันพุงส่วนล่างจนบีบกระเพาะปัสสวะฉั้นไปด้วย ช่วงนี้ฉั้นตื่นแต่เช้าทุกวันเพราะแรงเคลื่อนไหวของเค้าในช่วงเช้าๆทำให้รู้สึกตัวตื่น แต่บ่อยครั้งที่ตื่นกลางดึกเพราะมือและแขนชา หรือไม่ก็ปวดข้อมือ ไม่ก็ปวดฉี่ ไม่ก็อยากรู้ว่าท่านอนของเราทำให้ลูกอึดอัดรึป่าว เค้าจะดิ้นแรงมากอีกทีช่วงก่อนเที่ยงและช่วงเย็น หมอบอกว่ายิ่งลูกดิ้นแรงและบ่อยยิ่งดี ฉั้นเองก็ว่างั้นเพราะนอกจากมันทำให้ฉั้นมีความสุขมากมายแล้วมันยังบ่งบอกว่าเค้าแข็งแรงและแอ็กทีฟดีอีกด้วย 

ไตรมาสนี้เป็นไตรมาสที่ทุกอย่าง 'จริง' มากขึ้น ไม่ใช่แค่ความสุขอย่างที่บอก แต่เป็นเพราะมีความตื่นเต้น ความประหม่า ความกลัว และกังวล ปนอยู่ด้วย และแทนที่ฉั้นนจะพักผ่อนมากๆ แต่กลับตรงกันข้าม ไตรมาสนี้กลับเป็นช่วงเวลาที่ต้องทำงานหนักที่สุด เพราะเรายังต้องเตรียมความพร้อมอีกหลายอย่าง  เราเตรียมห้องนอน เตียงนอน โต๊ะสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อม ตู้เก็บข้าวของเครื่องใช้ ตกแต่งให้ดูน่ารัก สะอาดสะอ้าน ฉั้นเตรียมทำความสะอาดและจัดระเบียบ ซักรีดเสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าอ้อม ผ้าขนหนู แกะกล่องข้าวของเครื่องใช้ต่างๆแล้วเริ่มศึกษาว่ามันใช้ยังไง เช่น เครื่องปั้มนม เครื่องทำความสะอาดขวดนม เก้าอี้นั่งเล่นลูก ฯลฯ ยังมีอ่างอาบน้ำและเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆที่เป็นรายละเอียดที่ยังขาดอยู่ และต้องไปเดินหาซื้ออีกหลายอย่าง ที่ขาดไม่ได้คือ ฉั้นต้องเตรียมแพ็คกระเป๋าสำหรับไปโรงพยาบาลในวันคลอดเอาไว้ด้วย ซึ่งต้องเตรียมทั้งของเราและของลูก เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะพร้อมเมื่อไร จะเกิดขึ้นวันไหน อาจเป็นเมื่อไรก็ได้เมื่อย่างเข้าสู้เดือนที่ 9 ตอนนี้ฉั้นเตรียมใจเรื่องความเจ็บเอาไว้แล้ว แม้จะยังกลัวอยู่ แต่แฟบก็คอยให้กำลังใจฉั้นอยู่ตลอด 

เมื่อมัน 'จริง' ขึ้นเรื่อยๆอย่างนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ฉั้นลืมไม่ได้เลยก็คือ การเตรียมพร้อมให้ตัวเองในการเป็นแม่ ฉั้นไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงนึกไม่ออกว่าจะเลี้ยงลูกแบบไหน เท่าที่ทำได้คือ จินตนาการว่า ลูกจะอยากมีแม่แบบไหน แล้วฉั้นควรจะเป็นแม่แบบไหนให้ลูก และที่สำคัญฉั้นอยากให้ลูกฉั้นเป็นคนแบบไหนเมื่อเค้าเติบโตขึ้น ฉั้นเริ่มจากการนึกถึงตัวเอง นึกถึงอดีตของตัวเอง ทบทวนว่าเราเติบโตมาจากครอบครัวแบบไหน ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน สิ่งไหนที่เราชอบ สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ สิ่งไหนที่เกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนฉั้นจากคนที่ควรเป็นและอยากเป็นในอดีต ฉั้นนั่งคิดและทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำความเข้าใจ พยาม Complete กับอดีตของตัวเอง ฉั้นเชื่อว่าคนเราเกิดและเติบโตมากับครอบครัวที่เลี้ยงดูในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และการถูกอบรมเลี้ยงดูมีผลกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันของเราทุกคน อาจมีบางความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในใจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาจมีบางอย่างที่ครอบงำความคิดและความเชื่อของเราและทำให้เราดำเนินชีวิตในแบบที่เราอาจไม่ได้ต้องการ อาจมีบางเหตุการณ์ที่ต้องย้อนนึกถึงและทำความเข้าใจเพราะมันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนความเป็นตัวตนและบุคลิกของเรา ฉั้นนั่งคิดและทบทวนคำสั่งสอนและการเลี้ยงดูของพ่อแม่อีกครั้งและมองเห็นหลายอย่างที่เราทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ใช้เวลาซักพักใหญ่ๆกว่าจะเข้าใจที่มาที่ไปของความเป็นตัวตนของตัวเอง การทำแบบนี้มันช่วยให้อย่างน้อยฉั้นก็เห็นหลายๆสิ่งในภาพอดีตที่มันอาจไม่สมบูรณ์แบบ ภาพที่มันอาจมีผลต่อสภาพจิตใจฉั้นมาเนิ่นนานทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ภาพทั้งหมดถูกประกอบขึ้นใหม่ให้เป็นภาพที่มองออก และเข้าใจได้ ฉั้นต้องการให้ภาพอดีตของฉั้นเป็นตัวอย่างในการเรียนรู้ ให้รู้ว่าสิ่งไหนที่พ่อแม่ควรและไม่ควรทำ ฉั้นเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตไม่ได้ แต่ฉั้นก็รู้แล้วว่าฉั้นต้องการเป็นแม่แบบไหน เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสได้ทำหน้าที่นี้ ฉั้นจึงอยากจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด มันเป็นความภูมิใจอยู่ลึกๆที่ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้หญิงเต็มตัว ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่มีผู้ชายดีๆคนหนึ่งให้ความไว้วางใจและให้โอกาสฉั้นได้เป็นแม่ของลูกเค้า แต่มันยังอยู่ที่ว่า ฉั้นภูมิใจที่จะได้ทำหน้าที่ดูแล ปกป้อง รับผิดชอบ และอีกหลายอย่างให้กับลูกน้อยที่เกิดจากความรักของเราสองคน การเตรียมความพร้อมจึงไม่ได้อยู่แค่วินาทีนี้ แต่ฉั้นต้องมองไปอีกไกล ล่วงหน้าไปอีกหลายปี จึงต้องเริ่มจากการสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเองเป็นอันดับแรก 

ฉั้นมีความเชื่อว่าพ่อแม่ที่สร้างลูกด้วยความรัก ไม่จำเป็นต้องสร้างความเชื่อให้ตัวเองและลูกว่า วันหนึ่งลูกจะต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณ เพราะเค้าไม่ได้เป็นคนร้องขอให้เราให้กำเนิดเค้า ทุกอย่างเกิดจากการตัดสินใจของเรา ไม่ว่าจะด้วยความพลาดหรือด้วยความพร้อมก็ตาม หน้าที่ของพ่อแม่ที่ดี คือ สร้างความพร้อมให้กับลูก เพื่อให้เค้าได้มีชีวิตและใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ฉั้นกับแฟบเชื่อในแบบเดียวกันว่าเราจะมีโอกาสทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ไม่เกิน 25 ปีหรอก เพราะเมื่อเค้าถึงวัยนั้น ลูกก็จะรู้แล้วว่าเค้าอยากมีชีวิตแบบไหน มีความฝัน และทางเดินของตัวเอง และเราก็ต้องเข้าใจและให้โอกาสเค้าได้ดำเนินชีวิตในแบบที่เค้าต้องการ สิ่งที่สำคัญของการเป็นพ่อแม่ คือ การเป็นผู้ให้ เป็นครู เป็นคนคอยสอน คอยชี้แนะ คอยให้คำแนะนำ และเป็นที่พึ่งคอยช่วยเหลือดูแล การเตรียมความพร้อมให้เค้าสามารถใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องจึงเป็นภาระกิจสำคัญ พ่อแม่จึงไม่ควรทำตัวเป็นภาระของลูก ด้วยการไม่วางแผนให้ตัวเองในยามแก่เฒ่า แล้วยัดเยียดภาระหน้าที่ให้ลูกเป็นผู้ดูแลเรา ด้วยความเชื่อเรื่องการทดแทนคุณ ความเชื่อเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แม้ฟังดูแล้วอาจจะยากเพราะเราไม่รู้อนาคตและอาจขัดกับความเชื่อของคนไทยหลายๆคน แต่ฉั้นว่ามันไม่ยุติธรรมที่เราจะกลายเป็นคนที่เหนี่ยวรั้งชีวิตลูกไว้ จนเค้าต้องละทิ้งความฝัน ละทิ้งชีวิตที่เค้าต้องการ เพื่อคอยดูแลเราจนเราแก่เฒ่าหรือจนกว่าจะตายจากกัน ในขณะเดียวกันพ่อแม่ที่ยังพอมีเรี่ยวแรงก็ไม่ควรละทิ้งภาระหน้าที่ของตัวเองเพียงเพราะคิดว่าลูกๆดูแลตัวเองกันได้แล้ว เพราะความเป็นพ่อ แม่ ลูก มันเป็นสายสัมพันธ์ที่ผูกพันธ์ เชื่อมโยง และยึดเหนี่ยว สำหรับฉั้น เราทั้งคู่ต้องสามารถทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับได้อย่างเท่าเทียมและมีความสุข ความสุขของการเป็นผู้รับและผู้ให้จะไม่ทำให้ใครเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่ต้องมีความรู้สึกผิดหรือถูกมาเกี่ยวข้องมากเกินไป แต่เราจะนึกถึงกันและกันอย่างอบอุ่นใจอยู่เสมอ นั่นคือ ครอบครัว ในแบบที่ฉั้นคิดว่ามันควรจะเป็น

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 09, 2555

มาบราซิล ไม่ต้องใช้วีซ่า

ใช่จ้า 'มาบราซิล ไม่ต้องใช้วีซ่า' เพราะอย่างงี้นี่เอง เลยมีหลายๆคนแอบส่งข้อความมาถามฉั้นหลังไมค์(คล้ายกับเป็นดีเจ!!) ว่า ถ้าจะไปบราซิล อันตรายมั้ย ช่วยแนะนำหน่อย, ประเทศเค้าสวยมั้ย, ผู้คนเป็นยังไง, วัฒนธรรมเป็นยังไง บ้างก็ขอคำแนะนำ บ้างก็ขอความช่วยเหลือ บ้างก็ขอให้พาเที่ยวพาทัวร์ซะงั้น บ้างก็ถามไปถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสกับชาวบราซิลเลี่ยนโน้น.... 

จะว่าไปแล้ว ฉั้นก็เป็นแค่คนต่างชาติคนนึงที่มาอาศัยอยู่ในเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล ไม่ได้ชำนาญเรื่องภาษา ไม่ได้ชำนาญเรื่องสถานที่ ไม่ได้มีงานทำที่นี่ และไม่ได้มีเพื่อนมากมาย บล๊อคของฉั้นก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของฉั้น ที่สะสมจากการสังเกตุสังกา จากประสบการณ์ และการเรียนรู้ที่จะอยู่ที่นี่ให้รอดและปลอดภัย ฉั้นดีใจที่มีคนแวะเข้ามาอ่าน และติดต่อเข้ามาสอบถามข้อมูลหลายๆอย่าง หรือฝากคอมเม้นต์ไว้บ้าง มันทำให้ฉั้นรู้สึกว่าฉั้นมีตัวตน มีเพื่อน และได้ทำอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์บ้าง แต่ฉั้นก็ไม่ได้สามารถช่วยเหลือได้ทุกเรื่องเพราะไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น และมีอยู่เรื่องนึงที่ทำให้ฉั้นอดเป็นห่วงไม่ได้ ก็คือ สาวๆหลายๆคนสนใจอยากมาบราซิล และคิดจะมาคนเดียว เอ่อ...อันนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่ง บางคนอยากแค่มาเที่ยว มาดูงาน แต่บางคนก็มาอยู่ คนที่มาอยู่ก็น่าห่วงอีก เพราะบางคนยังมีสถานภาพโสด แต่อาจเพราะมีแฟนเลยเดินทางมาอยู่ด้วยกัน ฉั้นไม่ห่วงและไม่ก้าวก่ายเรื่องชีวิตส่วนตัวนะ แต่การมาในลักษณะนี้ค่อนข้างเข้าข่าย เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เพราะเราจะอยู่ได้แค่ชั่วคราวด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวเท่านั้น ครบกำหนด 3 เดือน วีซ่าหมด ถ้าไม่หาเรื่องเดินทางก็ต้องบินกลับเมืองไทย  ไม่ค่าปรับ ก็ค่าตั๋วเครื่องบิน ที่จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายตามมา แถมเสียพลังอีกต่างหากเพราะบินกลับบ้านที ไกลโขอยู่ ก็ไทยกับบราซิล ไกลกันคนละซีกโลกเลยนี่นา!!

มีบางคนถึงขั้นถามมาว่า ถ้าจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับบราซิลเลี่ยนต้องทำไง ยุ่งยากแค่ไหน อาจเพื่อตัดปัญหาเรื่องความลำบากที่ว่า หรือไม่ก็เพราะอยากจะแต่งจริงๆ ฉั้นไม่รู้เลยไม่กล้าแสดงความคิดเห็นว่าควรจดหรือไม่ควรจด ได้แต่ให้คำแนะนำเล็กๆน้อยๆเรื่องขั้นตอน แต่ฉั้นเองก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อำเภอซะด้วยสิ แต่งงานก็แต่งมาแค่ครั้งเดียว มันก็เลยค่อนข้างจะเลือนๆลางๆอยู่ กลัวบอกไปผิดๆถูกๆ เกิดไปเจอเข้ากับตัวแล้วแตกต่างกับประสบการณ์ที่ฉั้นเจอ ทำไง? แต่ก็อยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองไว้นิดนึงแล้วกัน เอาเป็นว่า ............ กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว (คือ นานประมาณ 2 ปีที่แล้วอ่ะนะ)  .............. 

ฉั้นและแฟนตัดสินใจจะแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน ฉั้นก็ทำเหมือนหลายๆคนนั่นแหละ ที่มาอยู่ก่อนแล้วค่อยมาดำเนินการที่หลัง เพราะคำว่า 'มาบราซิล ไม่ต้องใช้วีซ่า' นี่แหละเป็นเหตุ แต่โชคดีที่เช็คมาก่อนว่าต้องใช้อะไร เตรียมอะไรบ้างในการจดฯ เอกสารที่สำคัญที่สุดก็คือ เอกสารรับรองความเป็นโสด ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเท่าที่รู้เราสามารถ Download จากเว็บไซต์สถานทูตได้ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรื่องเอกสารอย่างเดียว แต่มันยังอยู่ที่เรื่องเวลาที่จะต้องใช้ และเอกสารที่ต้องดำเนินการเปลี่ยนหลังจากสมรสแล้วอีก ซึ่งก็มีผลไปถึงว่าเราอาจต้องไปๆกลับๆระหว่างไทย-บราซิล อีกซักกี่รอบถึงจะเสร็จสมบูรณ์ก็ไม่รู้ อย่างกรณีของฉั้น เราเริ่มดำเนินการตอนที่เราสองคนยังอยู่เมืองไทยอยู่ จึงเริ่มงกๆเงิ่นๆงงๆตั้งแต่การขอเอกสารรับรองความเป็นโสด สำหรับฉั้น ซึ่งเป็นคนไทย อยู่ในไทย ก็ไปขอจากอำเภอ ใช้เอกสารที่จำเป็นในการยื่นขอ เช่น ทะเบียนบ้าน, บัตรประชาชน สำหรับแฟนซึ่งเป็นบราซิลเลี่ยนอยู่ในไทยก็ Download จากเว็บไซต์สถานทูตของเค้า Download มาก็จะเป็นภาษาโปรตุกีซตามระเบียบ ก็ต้องเอาไปแปลเป็นอังกฤษก่อนซึ่งแฟนฉั้นแปลเองได้ก็แปลเองเลย เสร็จก็เอาไปยื่นให้สถานทูตบราซิลในไทยเพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารและการแปล โดยต้องยื่นไปพร้อมกับ Copy Passport ตามปกติ หรือทางสถานทูตบราซิลอาจขอเอกสารอื่นๆเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษอีกก็มีเหมือนกัน นั่นก็เป็นเรื่องที่แฟนเราต้องเป็นคนจัดการ เบ็ดเสร็จใช้เวลารอประมาณ 1-2 อาทิตย์ได้ จนกว่าเอกสารจะได้การรับรองว่าถูกต้องอย่างเป็นการ ถึงจะเอาเอกสารของแฟนเราทั้งหมดนั้นไปแปลเป็นภาษาไทยอีกที ตามร้านแปลเอกสารที่ได้อนุมัติสามารถแปลและรับรองการแปลถูกต้องจากกระทรวงการต่างประเทศ (ไม่งั้นต้องไปดำเนินการที่กรมการกงสุลแทนนะ ถูกกว่าแต่ใช้เวลานานกว่า) ถึงจะเป็นอันเสร็จขั้นตอน "การเตรียมเอกสาร" 

หลังจากเตรียมเอกสารและแปลมาเรียบร้อย ก็ถึงจะจูงมือกันไปอำเภอหรือสำนักงานเขต(ไหนก็ก็ได้)เพื่อไปสู่ขั้นตอน "การจดทะเบียนสมรส" ขั้นตอนนี้ คุ้นๆว่า แฟนเราจะต้องมี Bank Statement หรือ Slip เงินเดือน แนบไปด้วยเพื่อรับรองรายได้ของเค้าด้วยนะ กรณีฉั้น ไม่ได้จดฯในไทย แต่มาจดฯที่สถานทูตไทยในบราซิล (เพราะก่อนหน้านั้นไปอยู่นิวซีแลนด์กันมาก่อน เอกสารก็เลยถูกหอบหิ้วเดินทางไปมาอยู่นานพอสมควร) จดที่บราซิลเสร็จก็ได้แค่ทะเบียนสมรสฉบับภาษาไทยมา ก็ต้องหิ้วทะเบียนสมรสที่ได้จากสถานทูตไปสู่ขั้นตอน "การเปลี่ยนแปลงหรือ Update เอกสาร" ต่อไป ซึ่งขั้นตอนนี้นี่เองที่ต้องบินกลับมาทำที่เมืองไทย เอาทะเบียนสมรสไป ดำเนินการแจ้งเปลี่ยนนามสกุล กับคำนำหน้าชื่อจากนางสาวเป็นนาง ในทะเบียนบ้าน ที่สำนักงานเขตที่ฉั้นมีชื่ออยู่ แล้วถึงจะเปลี่ยนบัตรประชาชนใหม่ (โดยจะได้ใบเหลืองมาก่อน ตัวจริงต้องรอมารับภายหลัง)  ฉั้นมีเวลาแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้นในการดำเนินการขั้นตอนนี้ให้เสร็จ แถมดันมีปัญหาว่าสถานทูตไทยในบราซิลดันไม่แจ้งมาที่กงสุลไทยให้รับทราบว่าเราสองคนสมรสกันแล้วสำนักงานเขตก็เลยหาข้อมูลเราในระบบไม่เจอ ความยุ่งยากบังเกิดอีก แฟนฉั้นเลยต้องมาที่เขตเพื่อมาเซ็นยืนยันให้อีกรอบในการรับรองและอนุญาตให้ฉั้นใช้นามสกุลเค้าได้ แล้วฉั้นเองก็ต้องขอให้เขตออกเอกสารพิเศษให้ฉั้นเพื่อระบุว่าฉั้นขอแจ้งเปลี่ยนจากนางสาว เป็น นาง อย่างถูกต้องตามกฏหมายใหม่ เพราะสรุปว่าใบทะเบียนสมรสที่ออกให้โดยสถานทูตที่เราหิ้วมา ระบุแค่ว่าเราสองคนสมรสกันแล้ว แต่ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ เช่น จะใช้นามสกุลอะไร ใช้นางสาวหรือนาง ฯลฯ แนบมาด้วยเลย ไอ้เราก็ไม่รู้ ไม่เคยจดฯมาก่อนนี่นา ยุ่งยากดีมั้ยล่ะ!!! ฉั้นวุ่นวายอยู่่ที่เขตเป็นนานสองนานและหลายวันอยู่ ติดต่อกลับมายังสถานทูตไทยในบราซิลก็ไม่ได้ เพราะเวลาต่างกันเป็นวัน และติดต่อสถานทูตก็รู้ๆกันอยู่!! ฉั้นคุยกับพนง.ในเขตเกือบทุกคนจนเค้าจำหน้าฉั้นได้หมด ขอความช่วยเหลือไปถึงหัวหน้าเขตนู้นนนนน วิงวอนขอให้ช่วยทำยังไงก็ได้ให้ใบทะเบียนสมรสฉบับนั้นมีผลอย่างเป็นทางการ ไม่งั้นทำอะไรต่อไม่ได้เลย แล้วมีเวลาแค่ 2 อาทิตย์ในการดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนนั่งเครื่องกลับบราซิล(ซึ่งถ้าทำเรื่องจดทะเบียนในเมืองไทยคงไม่เจอปัญหานี้) แต่สุดท้ายก็สำเร็จ เสร็จธุระกับทางเขต แต่ยังไม่หมดขั้นตอน จากนั้นฉั้นต้องเอาเอกสารที่ได้จากทางเขตไปทำพาสปอร์ตใหม่ ที่กองสัญชาติและนิติกรณ์ อาคารกรมการกงสุล ที่ตั้งอยู่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ แล้วก็ต้องแปลเอกสารทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งทะเบียนสมรส ทะเบียนบ้าน ใบเกิด ใบเปลี่ยนชื่อ(ถ้ามี) ใบเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ ใบเปลี่ยนนามสกุล บัตรประชาชน ฯลฯ ซึ่งต้องเตรียมถ่ายเอกสารและจัดระเบียบเอกสารให้ดีเลยล่ะ เพราะใช้หลาย copy มาก ในการนำไปยื่นขอรับรองว่าเอกสารและการแปลนั้นถูกต้องนำไปใช้ในต่างประเทศได้ ซึ่งทั้งหมดก็ดำเนินการที่กรมการกงสุลนั่นแหละ ใช้เวลาในการยื่นขอรับรองเอกสารประมาณ 3 วัน แต่รวมแล้วเรียกว่านั่งรถแท็กซี่ตะลอนไปๆกลับๆระหว่างที่พัก สำนักงานเขต และกรมการกงสุล อยู่หลายต่อหลายรอบ เบ็ดเสร็จแบบฉิวเฉียด เส้นยาแดงผ่าแปด ทันกำหนดกลับบราซิลพอดิบพอดี ตั้งแต่ต้นจนจบสำหรับขั้นตอน นี้ก็ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์....ปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว!! 

หลังจากกลับมาบราซิล ฉั้นก็ถึงเอาเอกสารทั้งหมดมาทำเรื่อง "ขอวีซ่าอยู่ถาวรในฐานะภรรยา" เอกสารทั้งหมดที่แปลมาเป็นภาษาอังกฤษ ต้องถูกแปลเป็นโปรตุกีซ อีกรอบ (จริงๆจะแปลจากเมืองไทยที่ร้านแปลเอกสารที่สถานกงสุลแล้วรับรองเผื่อมาเลยก็ได้นะ!!) เพื่อใช้ในการยื่นขอ ทะเบียนสมรสฉบับบราซิล แล้วจึงนำไปยื่นขอวีซ่าอยู่ถาวร แต่เพราะที่นี่ใช้ภาษาโปรตุกีซในการสื่อสารและดำเนินการ ที่สำคัญดูเหมือนพวกเค้าจะไม่ค่อยคุ้นกับกรณีชาวบราซิลแต่งงานกับคนต่างชาติด้วย เลยต่างคนต่างงง ทั้งเจ้าหน้าที่ราชการ และทั้งเรา เราเลยลงทุนจ้างเอเจนซีให้ดำเนินการให้! ซึ่งก็มีเรื่องให้ได้ปวดตับตามมาอีกหลายขั้นตอน มีเอกสารอื่นๆที่ต้องเซ็นอีกหลายต่อหลายฉบับ แต่สุดท้ายก็จบแบบแฮ้ปปี้เอ็นดิ้งนะ เพราะตอนนี้ถึงแม้ฉั้นจะยังไม่ได้วีซ่าถาวรอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็มีแสตมป์ไว้ในพาสปอร์ตว่าสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย เบ็ดเสร็จรวมแล้วใช้เวลาเป็นปี ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!

เอาล่ะ คงไขข้อข้องใจสำหรับสาวๆบางคนได้บ้างไม่มากก็น้อย หรืออาจยิ่งข้องใจหนักเข้าไปใหญ่ พระเจ้า มันจะยุ่งยากไปป่าว??!! นี่แหละเลยเป็นที่มาของการเขียนโพสต์นี้ เผื่อบางคนที่กำลังตัดสินใจทำการใหญ่ จะได้วางแผนถูกว่าจะทำขั้นตอนไหน ที่ไหน อย่างไรดี ให้ง่ายและประหยัดเวลาได้มากที่สุด

สำหรับฉั้นแล้ว เวลาเราตัดสินใจจะทำอะไรแล้วคงไม่มีอะไรจะหยุดเราไว้ได้ เรื่องที่ยากที่สุดคือการเริ่มลงมือทำมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มนับ 1 ที่ตรงไหน ยังไงดี ขอบอกว่าการมีแฟนเป็นชาวต่างชาติมีเรื่องต้องทำใจหลายอย่างนะจ๊ะ ฝากไว้เป็น....อะไรดี .....เป็นอุทาหรณ์เหรอ?? เพราะนอกจากความยุ่งว่นวายเกี่ยวกับเอกสารทางราชการ เรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของตัวเราเองในต่างแดน ก็ยังมีเรื่องให้ต้องคิดทบทวนดีๆอีกว่า จะเกิดไรขึ้นถ้าเค้าต้องเดินทางไปประเทศอื่นที่เราอาจไม่ควรตามไปด้วย? หรือถ้าเค้าต้องไปประเทศอื่นที่เค้าไม่จำเป็นต้องใช้วีซ่าแต่เราต้องใช้? หรือถ้าเค้าต้องไปประเทศอื่นที่เค้าอาจจะใช้ชีวิตอยู่แค่ชั่วคราว? ที่สำคัญ เราควรทำยังไงถ้ายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน!!?? สำหรับฉั้นเองก่อนตัดสินใจหนีตาม เอ้ย...ย้ายตาม!! ก็ยังต้องตรวจสอบตัวเองอีกด้วยว่าคุ้มมั้ยถ้าเราจะสละชีวิตของเราเพื่อจะติดตามคนที่เรารัก กว่าจะเจอประเทศที่เราคิดกันว่าเราน่าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้อย่างมีอุปสรรคน้อยที่สุด เค้าและฉั้นต้องรอความลงตัวกันเป็นปี อยู่ห่างกันเป็นนานสองนาน กว่าจะได้เริ่มออกเดินทางตามหาหัวใจ (ฮิ้วววว!! ^^) การต้องตัดสินใจลาออกจากงาน ละทิ้งภาระหลายๆอย่าง เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ซึ่งอาจไม่เหมือนบางคนที่อาจจะไม่มีภาระอะไรเลย ฉั้นต้องลาออกจากงาน ประกาศขายรถ(แล้วกว่าจะขายได้ เล่นเอาเหนื่อย) ต้องใช้หนี้บัตรเครดิต หนี้ค่าโทรศัพท์ หนี้อะไรก็ตามให้หมด ต้องแจ้งบริษัทประกันที่ทำประกันชีวิตไว้ว่าจะย้ายที่อยู่ ปิดบริการมือถือ ยกเลิกโทรศัพท์ ยกเลิกอินเตอร์เน็ต ปิดบัญชีธนาคารบางธนาคาร เช็คและเตรียมตรวจสอบบัญชีเงินฝาก เงินลงทุน เพื่อเปิดบริการใช้งานทางอินเตอร์เน็ต ต้องวางแผนว่าจะดูแลแม่และครอบครัวยังไงเพื่อไม่ให้เค้าคิดว่าฉั้นทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบไปเฉยๆ จะต้องดูแลตัวเองยังไงในต่างแดน แล้วถ้าความรักมันเกิดไม่สมหวังอย่างที่คิดจะเดินทางกลับยังไง เอาเงินที่ไหนซื้อตั๋วเครื่องบิน จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองยังไง ถ้าไม่มีงานไม่มีเงินเดือนที่หาได้เอง ไม่มีเพื่อนฝูงและอยู่ห่างไกลครอบครัว และหนทางข้างหน้าจะเจออะไรบ้าง ความอดทนจะมีมากพอรึป่าว โดยเฉพาะไปอยู่ในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักหรือภาษาที่สอง แล้วแฟนเราจะช่วยเหลือเราได้มากแค่ไหน และอีกมากมายหลายคำถาม  

ไม่มีเส้นทางใดที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ สำหรับฉั้น การมาที่นี่จึงถือเป็นความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน แต่การลงทุนคือความเสี่ยง!! จึงต้องอาศัยทั้งความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ อาศัยเวลา อาศัยความรักและความมั่นใจ อาศัยการช่วยเหลือเกื้อกูล ดูแล เอาใส่ใจ อาศัยความอดทน และอาศัยเงินด้วย(สำคัญที่สุด) การมาบราซิล โดยไม่ต้องใช้วีซ่า ในความคิดฉั้นมันจึงดีแค่สำหรับตอนมาเที่ยว ที่สามารถจองตั๋วเครื่องบินแล้วแพ็คกระเป๋ามาได้เลย แต่การมาอยู่ที่นี่นั้นเป็นอีกเรื่องที่ไม่อยากให้ใครก็ตามประมาท มาโดยไม่มีแผนสำรอง เพราะอาจต้องหอบกระเป๋ากลับบ้านอย่างไม่มีแผนสำรองเหมือนกัน แต่อย่างที่บอก ถ้าไม่มีภาระอะไรให้ต้องห่วงหน้า พะวงหลังแล้วละก็ 'การมาบราซิล โดยไม่ต้องใช้วีซ่า' ก็คงทำให้ชีวิตหลายๆคนที่รักการท่องเที่ยว รักการหาประสบการณ์ และคนที่มีความรัก ง่ายขึ้นอีกโขเลยทีเดียว  

แต่ถ้าถามตัวเองว่าถ้าย้อนเวลาได้จะทำเหมือนเดิมรึป่าว คำตอบคือ แน่นอน ฉั้นจะทำเหมือนเดิม และตัดสินใจเหมือนเดิม เพราะมาแล้ว แต่งงานแล้ว จดทะเบียนแล้ว ชีวิตตอนนี้ไม่มีอะไรที่ผิดหวังซักนิดเดียว :) 


Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...