Pages

วันอังคาร, มีนาคม 29, 2554

"วันเกิด" สำคัญยังไง

เพิ่งจะผ่านวันเกิดของตัวเองไปไม่กี่วัน ปีนี้เห็นทีจะเป็นปีที่ได้รับคำอวยพรมากที่สุดในชีวิต ถึงแม้จะผ่านโลกออนไลน์ซะส่วนใหญ่แต่ก็เพิ่งรู้ว่า มันช่างมีความสุขอย่างนี้นี่เอง 

ฉั้นเติบโตมาจากครอบครัวเล็กๆ ธรรมดาแสนธรรมดา ครอบครัวหนึ่ง ที่ประกอบด้วยพ่อแม่และพี่น้องสี่คน เราไม่เคยจัดงานวันเกิดให้กันและกัน ไม่ค่อยได้ให้้ของขวัญวันเกิดกันและกัน ไม่เคยรู้ว่า วันเกิด เป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งสำหรับบางคน ตัวฉั้นเองไม่เคยให้ของขวัญวันเกิดใครแม้กระทั่งเพื่อนสนิท ไม่เคยให้คำอวยพรใครในวันเกิดเพราะทำไม่เป็น และไม่เคยให้ความสำคัญวันเกิดมากไปกว่าวันอื่นๆไม่ว่าจะเป็นวันจันทร์ถึงศุกร์ วันปีใหม่ ไทย จีน ฝรั่ง วันวาเลนไทน์ หรือแม้กระทั่งวันเชงเม้ง เฮ้้อ...เมื่อคิดย้อนไป รู้สึกแย่กับตัวเอง แต่ทำไมน่ะเหรอ ก็เป็นเพราะว่าแม้กระทั่งพ่อของฉั้นเอง ท่านยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเกิดของตัวท่านเองเลย แม่ฉั้นก็เช่นกัน และน่ันล่ะคือสาเหตุว่าฉั้นและพี่น้องอีก 3 คนจึงเติบโตมาแบบไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันเกิดหรือวันใดๆเป็นพิเศษ เพราะเราถูกเลื้ยงดูมาให้รู้สึกว่าวันไหนๆก็มีความสำคัญ(เอ..หรือไม่มีความสำคัญหว่า)เท่าๆกัน อ้อ..แต่ก็มีเหมือนกันนะที่เราให้ความสำคัญกับบางวัน เช่น วันสงกรานต์ที่พ่อจะเป็นผู้นำครอบครัวในการสรงน้ำพระเพื่อเป็นสิริมงคลทุุกปี แล้วก็วันตรุษจีน ที่แม่จะเป็นผู้นำในการไหว้เจ้ากันเล็กน้อยเพราะพ่อของฉั้นมีเชื้อสายจีน ฉั้นก็มีความสุขดีในวัยเด็กและใช้ชีวิตอย่างเด็กทั่วไปทุกประการ เพราะไม่เคยตระหนักว่า หลายต่อหลายคนบนโลกใบนี้เค้าให้ความสำคัญๆกับวันต่างๆ โดยเฉพาะวันเกิด กันเป็นพิเศษ จนกระทั่งฉั้นเติบโตและต้องเข้าสังคมแบบจริงๆจังๆ 

ปีนี้ถือเป็นปีแรกในชีวิต ที่ได้รับคำอวยพรจากทั่วสารทิศ ได้ฉลองวันเกิดเล็กๆกับครอบครัวของคุณแฟบในบราซิล ได้ของขวัญวันเกิดชิ้นพิเศษจากคุณแฟบ และมีความสุขเล็กๆกับการได้ไปเดินช้อปปิ้งเพื่อหาซื้อของขวัญวันเกิดให้คุณแฟบอีกครั้งเป็นปีที่ 7 เพราะเราเกิดห่างกันแค่เพียงสองวัน ทุกปีเราจะฉลองวันเกิดเล็กๆด้วยกันเพียงลำพัง เป่าเค้กอันเล็กๆร่วมกันอย่างเงียบๆในช่วงที่เรายังอยู่เมืองไทย และอาจแยกย้ายไปฉลองปาร์ตี้วันเกิดแบบเล็กๆกับครอบครัวบ้าง เพื่อนซี้บ้างแล้วแต่อารมณ์และความสะดวก ซึ่งความสุขเล็กๆนั่นไม่ได้สร้างความแตกต่าง ครั้งนี้การเดินช้อปปิ้งคนเดียวในห้างใหญ่กลางใจเมือง เซา เปาโล เพื่อหาซื้อของขวัญสร้างความตื่นเต้นพอสมควร การร่วมเป่าเค้กอันเบ้อเริ่มที่คุณแม่คุณแฟบอุตส่าห์ทำมาฝากลูกชายสุดที่รักโดยมีฉั้นพ่วงท้ายมาด้วยนั้นสร้างความสุขใจและอบอุ่น แต่ความแตกต่างที่ว่ามาก็ยังไม่เทียบเท่ากับการได้เรียนรู้ว่า การที่มีใครให้ความสำคัญกับเราแม้เพียงเล็กน้อย สามารถสร้างความสุขที่แตกต่างและการได้เป็นผู้ให้บ้างก็สร้่างความสุขยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

อาจจะช้าไปหน่อยที่เพิ่งเรียนรู้เรื่องนี้ตอนอายุย่างเข้าเลขสามปลายๆ แต่อย่างน้อยก็ยังไม่สายเกินไปที่จะได้แสดงออก หากว่าเรารักใครหรือมีความรู้สึกดีๆให้กับใครซักคนหรือหลายคน...ฝึกตัวเองให้รู้จักให้ความสำคัญกับเค้า เพราะแม้สิ่งเล็กน้อยแค่ไหนที่เราสามารถทำได้ มันก็สื่อได้ถึงความรัก ช่างมีค่าแค่ไหนที่เราได้เกิดมา ได้พบกัน และได้รู้จักกัน และดีแค่ไหนที่อย่างน้อยเราก็ได้มีชีวิตอยู่ร่วมกันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนตลอดชั่วชีวิตของกันและกัน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะเป็นในรูปแบบไหนก็ตาม... 

วันอังคาร, มีนาคม 15, 2554

เมื่อความตายมาพรากเธอไป




เพลงโปรดของเพื่อน




ฉั้นเพิ่งเขียนโพสต์ก่อนหน้าเรื่องความรัก ไม่อยากจะเชื่อว่าโพสต์ถัดมาจะเป็นเรื่องที่ว่าด้วย "ความตาย" ใช่..ความตาย ฉั้นย้ำอีกครั้งเพื่อตอกย้ำให้ตัวเองต้องเชื่อ ว่าฉั้นเพิ่งผ่านการรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ เมื่อความตายมาพรากชีวิตเพื่อนรักของฉั้นไปอย่างหน้าตาเฉย ไม่บอกไม่กล่าว และไม่มีแม้โอกาสได้ร่ำลา 

ฉั้นไม่เคยคิดว่า ความตาย จะสามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วขนาดนี้ยกเว้นแต่ความตายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ เพื่อนฉั้น..ไม่ได้ป่วยด้วยโรคร้ายแรง แต่การจากไปของเธอสร้างความงงงวยให้กับทั้งคนรัก ครอบครัว เพื่อนฝูง และแม้แต่คนแค่รู้จักกันผิวเผิน เหมือนดารา Hollywood ที่จากไปอย่างไม่มีสาเหตุ ผลชันสูจน์คร่าวๆระบุว่าเธอจากไปด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก ทุกคนต่างใจจดใจจ่อว่าผลโดยละเอียดที่จะออกมาในอีก 45 วันนั้น จะปรากฏสิ่งที่เราไม่รู้และไม่คาดคิดอะไรอีกบ้างมั้ย คนเราจะสามารถตายในขณะที่นั่งทานอาหารสังสรรค์์กับเพื่อนฝูงได้อย่างไรแบบไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆเตือนก่อนล่วงหน้า ฉั้นยังแอบต่อว่ามันในใจที่ไม่ให้โอกาสใครได้ไปดูใจหรือแสดงความห่วงใยก่อนจาก เหมือนนึกอยากจะตายก็ตายอย่างงั้นหรือ....หรือไม่ได้อยากจะตายแต่อยู่ดีๆเส้นเลือดในสมองก็สลายตัว หัวใจก็หยุดเต้น ลมหายใจก็หมดลง แล้วก็จากไป มันง่ายดายได้อย่างงั้นเชียวหรือ....ฉั้นไม่อยากจะเชื่อ และยังไม่เชื่อจนกระทั่งตอนนี้

ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ฉั้นยังไม่สามารถหยุดคิดและตั้งคำถาม ทั้งที่พยามบอกตัวเองว่า บางสิ่งบางอย่างบนโลกใบนี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลให้ต้องทำความเข้าใจ หรือไม่เหตุผลนั้นก็ยากเกินกว่าจะสามารถเข้าใจ ฉั้นได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างจากการจากไปอย่างไม่มีวันกลับครั้งนี้ นอกเหนือจาก สิ่งที่ยากเกินกว่าความเข้าใจที่ว่าแล้ว ฉั้นยังพบว่าความน่ากลัวของความตาย ไม่ใช่ความเศร้าหรือความสูญเสีย แต่ความน่ากลัวที่สุด คือ ความเสียดาย หากไม่มีโอกาสแสดงความรักในขณะที่คนที่เรารักยังอยู่ และ ความเสียใจ หากเค้าไม่เคยรับรู้ถึงความรักที่เรามีต่อเค้าว่ามันมากมายเพียงใด จึงทำให้ฉั้นเกิดความรู้สึกหวงแหนและเห็นค่าของความรักที่ยังมีตัวตนอยู่ในขณะนี้มากขึ้นอีกหลายเท่า 

ในอีกบางแง่มุม น่าประหลาดใจที่ฉั้นไม่เคยรู้มาก่อน ว่าโลกไซเบอร์ หรือ Social Network กลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันช่วยเบี่ยงเบนจิตใจออกจากความกลัว ความเศร้า ความคิดถึงและความหดหู่ได้จริงๆ หรือมันจะเป็นแค่การเพิ่มประเด็นความน่าสนใจให้กับตัวผู้โพสต์เองกันแน่ เพราะคนบางคน ทำเสมือนว่า ความตาย ที่ได้พรากคนที่มีความสำคัญคนหนึ่งไปจากชีวิต มันจะมีความสำคัญเพียงแค่การได้มีอะไร update status อยู่ตลอดเวลา แต่กับบางคน มันก็เป็นแค่ช่องทางเดียวจริงๆ ที่เหลือให้คนหัวใจแตกสลายแต่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ติดต่อสื่อสารกับคนที่จากไปไกลแสนไกล ทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีข้อความใดๆส่งตอบกลับมา

ฉั้นนั่งเศร้าซึมอยู่นานหลายวัน และเชื่อว่าหลายๆคนที่ยังตกอยู่ในอาการช็อกคงเป็นแบบฉั้น มันน่าเศร้านะที่ต้องพยามทำใจให้เชื่อว่า คนที่เรารักเค้าจากไปแล้วจริงๆ ไม่มีโอกาสได้เจอเค้าแล้ว แต่ก็ต้องทำใจเพราะอย่างน้อย การจากไปแบบไม่ทรมาน เป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า คนคนนั้นได้ไปดีและได้กลับสู่สวรรค์ อย่างน้อยเพื่อนฉั้นก็ได้ไปสวรรค์ ขอให้เพื่อนมีความสุข สงบ อยู่บนสรวงสวรรค์ เพื่อนคงได้รับรู้ถึงความรักที่ฉั้นมีให้ ขอไว้อาลัยให้กับการจากไปและจะขอจดจำสิ่งดีๆทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราไว้ในความทรงจำของฉั้นตลอดไป
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...