Pages

วันศุกร์, ตุลาคม 14, 2554

Exotic Brazil!

หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ บราซิล มาหลายด้าน หลายคนว่าเป็นประเทศที่อันตราย หลายคนว่าประเทศนี้ผู้ชายหล่อ, ผู้หญิงสวย แถมเซ็กซี่อีกต่างหาก บางคนบอกว่าเป็นประเทศที่มีธรรมชาติสวยงาม บางคนรู้จักแต่ฟุตบอลบราซิล ส่วนบางคนก็สนใจเรื่องดนตรีและเสียงเพลงอันมีเอกลักษณ์ หลายคนสนใจว่าบราซิลเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจทั้งที่จริงๆแล้วก็ยังยากจนและอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ฟังดูแล้วเหมือนจะมีทุกอย่างอยู่ในตัวเอง ช่างเป็นประเทศที่น่าสนใจชวนให้อยากรู้อยากเห็น

ฉั้นเขียนเกี่ยวกับบราซิลไว้หลายโพสต์ บ่นไปเรื่อยเปื่อยตามประสา(คนแก่อยากระบาย อุ๊บส์ >.< )!!   การมาอยู่บราซิล ถ้าให้พูดอย่างไม่โกหก ขอบอกว่ายิ่งอยู่ยิ่งอยากจะกลับเมืองไทยทุกวัน!! เพราะพูดคุยกับใครก็ไม่ได้ ฟังเค้าคุยกันก็ไม่รู้เรื่อง ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวที่มันน่าปวดหัวและไม่น่าดึงดูดใจซึ่งก็ต้องอาศัยการปรับตัวปรับใจกันสาหัส แต่บางคนก็อาจหลงรักบราซิลเข้าอย่างจังนะ คงขึ้นอยู่กับมุมมองของชีวิตแต่ละคนจริงๆ และอยู่ที่จะเจอะเจอกับสภาพแวดล้อมใกล้ตัวยังไงด้วย

มีหลายอย่างเกี่ยวกับบราซิลที่ถ้าไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองคงไม่มีทางรู้ บราซิลได้รับอิทธิพลโดยตรงจากอเมริกาและประเทศแถบยุโรปที่นอกเหนือจากด้านเชื้อชาติและเผ่าพันธ์ุแล้ว วัฒนธรรมของบราซิลก็เหมือน 'ฝรั่ง' ทั่วไปนั่นแหละ พวกเค้าไม่มีความแตกต่างด้านวัยวุฒิ เด็กไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใหญ่ ไม่ว่ากับพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ การเปิดเผยเรื่องเรือนร่างและเรื่องเพศสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ การแสดงออกทางอารมณ์ก็ถือเป็นเรื่องปกติ คำเล่าลือว่าลูกสะใภ้กับแม่ผัวมักเป็นศตรูกันเหมือนในละครน้ำเน่านั้นจึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง เพราะผู้หญิงบราซิลจะไม่อ่อนหวานและไม่เอาอกเอาใจใคร บางคนถึงขั้นอารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิดฉุนเฉียวด้วย ผู้ชายบราซิลบางคนอาจเจ้าชู้แบบไม่เก็บอาการ เพราะสื่อหลายสื่อที่นี่ช่างชอบยั่วยุปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศกันมาก มี Sex Shop อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่น้อยกว่า Motel ที่คล้ายม่านรูดบ้านเรา ได้ยินว่าตกแต่งอย่างแฟนตาซี คนไปใช้บริการมากมาย หนังสือโป๊หลายต่อหลายฉบับถูกวางขายหน้าร้านหนังสืออย่างสะดุดตายิ่งกว่าหนังสือพิมพ์รายวันซะอีก รายการทีวีที่นี่สามารถฉายอะไรก็ได้แบบ 'Uncensored' ทั้งหนังทั้งละคร ทั่งรายการวาไรตี้ ชอบมีโชว์อกตู้มและบั้นท้ายของสาวๆขนาดเบ้อเริ่มเทิ่มในบิกีนี่ไซส์เด็กให้เห็นเป็นประจำ!! -_-' หนุ่มๆดูแล้วคงมีความสุขจนน้ำลายไหลย้อย ส่วนสาวๆหลายคนเลยมีความเชื่อว่าความเซ็กซี่คือความงามที่แท้จริง วัฒนธรรมการทักทายของที่นี่ก็เป็นการกอดและจูบกันจ๊วบจ๊าบ...ซึ่งก็ดูเป็นมิตร(สนิทแนบ)ดีแท้!


ปัญหาหย่าร้างมีให้เห็นอยู่ใกล้ๆตัว คงด้วยหลายๆสาเหตุที่ว่ามาด้วย แต่เค้าว่าเวลาหย่าร้่างภรรยาจะได้ทรัพย์สินของสามีครึ่งหนึ่งตามกฏหมายหย่าพร้อมกับค่าเลี้ยงดูลูกๆจากสามีทุกเดือน จึงได้ยินมาว่ามีไม่น้อยที่ผู้หญิงใช้เป็นทางอ้อมในการหาเงินเข้ากระเป๋า จริงรึป่าว ไม่รู้!! เด็กๆที่นี่จะเคยชินกับปาร์ตี้วันเกิดอันใหญ่โตกันตั้งแต่ 2 ขวบ ยังไม่ทันรู้อิโหน่อิเหน่เลย จนกระทั้งอายุครบ 15 เป็นธรรมเนียมว่าเด็กผู้หญิงจะต้องมีงานวันเกิดที่จัดอย่างอลังการ...แบบว่าต้องใส่ 'ชุดราตรี' ไปงานกันเลยว่างั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่ออะไร!!  โรงเรียนที่บราซิลจะไม่มีกฏระเบียบอะไรมากมาย ไม่มียูนิฟอร์ม จะใส่อะไรไปเรียนก็ได้ จะแต่งหน้า ทาปาก ทำผม ทำเล็บ ได้ทั้งนั้น แข่งกันสุดฤิทธ์ การเรียนการสอนมีเพียงแค่ครึ่งวัน (ไม่รู้ครึ่งวันที่เหลือจะมีซักกี่คนที่กลับบ้านอ่านหนังสือ เข้าห้องสมุด หรือเรียนพิเศษ) การกอดจูบที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวก็จะเห็นพวกเค้านั่งกอดจูดกันอย่างประเจิดประเจ้อ ใครไม่เคยจูบหรือจูบไม่เป็นถือเป็นเรื่องน่าอาย ปัญหาขาดแคลนแรงงานครูอาจารย์ก็มีมากขึ้น ไหนจะปัญหายาเสพติดอีก พ่อแม่ที่ดีเลยต้องเหนื่อยหนักเพื่อคอยเฝ้าระวังเรื่องพวกนี้ น่าเห็นใจจริงๆ!!

ฉั้นอยากจะเรียกที่นี่ว่าเป็น Free Country หรือประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบ Free Style นะ เพราะมีความอิสระทางการพูด การแสดงออก ไม่มีคำสอนหรือการปลูกฝังอะไรที่เน้นการเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจ คนส่วนใหญ่อยากทำอะไรก็ทำ คนที่นี่ถ้าไม่อยู่โหมดปกป้องระวังภัย คือ ระวังตัวเองตลอดเวลา ไม่เที่ยวไม่ดื่ม จริงจังและซีเรียสกับการใช้ชีวิต ทำงานหนัก ขยันขันแข็ง รักและหวงแหนครอบครัวมาก ไม่ยอมเป็นมิตรกับใครง่ายๆ ตั้งการ์ดอยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะก็ ก็จะเป็นคนประเภทสบายๆไปเลย มีความสุขไปเรื่อยๆกับความบันเทิงเริงรมย์ การดื่ม การเที่ยว การร้องรำทำเพลงแบบเต็มเหนี่ยว ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายทั้งสองโหมดเรียกว่าอยู่คนละขั้วเลยทีเดียว เรื่องการเปิดเผยทางความรู้สึกและอารมณ์เนี่ย ก็ทำให้เห็นบ่อยเหมือนกันที่ผู้คนอาจทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น ขับรถโฉบเฉี่ยวกันบนท้องถนนก็โมโหฉุนเฉียวจริงจัง ข่าวฆาตกรรมเลยมีให้ดูทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ผู้หญิงที่นี่ถ้ามีเงินจะใช้เงินไม่อั้นไปกับการช้อปปิ้ง คนรวยบางคนจึงประโคมใส่เครื่องประดับของมีค่า โดยเฉพาะนาฬิกาเรือนโตๆยี่ห้อแพงๆเนี่ย ชอบมาก เพื่อบ่งบอกความร่ำรวยและแสดงให้เห็นถึงฐานะทางการเงิน ไม่แปลกใจที่การปล้น การจับเรียกค่าไถ่ หรือการขโมยของจึงเกิดขึ้นเป็นประจำ แถมคนพวกนี้จะพยามวางตัว เหมือนในละครไทยเปี๊ยบ ชอบแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม ทำเล็บ เข้าร้านเสริมสวย และดูถูกพวกคนที่มีสตังค์น้อย ส่วนคนมีสตังค์น้อยที่ว่าส่วนใหญ่อาจจะทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด เลี้ยงเด็ก รับทำเล็บ ฯลฯ เพราะความอิสระทางสังคม จึงเห็นผู้คนตะโกนข้ามหัวกันก็ได้ เอาเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะเวลาคุยกันก็ได้ ใส่รองเท้าเดินในบ้านก็ได้ เพราะเค้าไม่เคารพยำเกรงกัน จะไปไหน จะทำอะไรจึงต้องระวังตัวไว้ก่อน เช่น ตามร้านอาหาร ก็ไม่ควรวางกระเป๋าให้ห่างสายตา บางร้านมีสายล็อกกระเป๋าติดไว้ที่เก้าอี้ให้ด้วย! หรือตามห้างฯ ออฟฟิศ คอนโดที่พักอาศัย ระบบรักษาความปลอดภัยแต่ละที่ก็ดูแน่นหนา(ซะจนรู้สึกไม่ปลอดภัย) แถมกล้องวงจรปิดตามถนนหนทาง ตามตรอก ซอก ซอย มีความสำคัญมาก เพราะเวลามีเหตุร้ายเกิดก็จะได้หลักฐานจากกล้องวงจรปิดนี่ล่ะบ่อยมาก ขโมยขโจรที่นี้ก็ล้ำหน้าถึงขนาดระเบิดตู้ ATM เพื่อขโมยเงินในตู้กันแล้ว!!

ประเทศบราซิลเป็นประเทศใหญ่ จำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 5 ของโลก มีทรัพยากรธรรมชาติของตัวเองมากมาย มีทั้งน้ำมันดิบ ทั้งปลูกข้าว ทั้งเลี้ยงวัว ทั้งเหมืองแร่ ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งกาแฟชั้นดี ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันเกือบครึ่งของประเทศก็ยังเป็นคนจน ไม่มีความรู้ รายได้น้อย ความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมากมายอยู่ตามชุมชนแออัด สิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ระบบการคมนาคม ถนนหนทาง การจราจร ก็ยังล้าหลังอยู่ ค่าเงิน Reais ถึงแม้แข็งแรง แต่ถ้าเทียบกับค่าภาษีสูงลิ่วและข้าวของที่แพงโคตะระแล้ว คนเลยไม่อยากจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย(แม้จะมีการคืนภาษีให้ตอนสิ้นปีก็เถอะ) แถมมีการนัดหยุดงานกันบ่อยๆ ระบบขนส่งมวลชนมั่ง คนขับรถไฟใต้ดินและคนขับรถเมล์มั่ง ช่วงนี้ก็พนักงานธนาคารและไปรษณีย์ นัดกัน Strike เรียกร้องขอขึ้นเงินเดือน บริษัทจะไล่ออกซะเลยก็ไม่ได้ เพราะกฏหมายคุ้มครองแรงงานที่นี่ระบุว่า ถ้าจะไล่ใครออกต้องจ่ายค่าชดเชย(ได้ยินว่าคุ้มแสนคุ้มสำหรับการตกงานซักพักใหญ่ๆ) แถมกฏหมายใหม่ระบุเพิ่มต้องแจ้งล่วงหน้าให้ท่านลูกจ้างที่เคารพทราบอย่างน้อย 3 เดือนด้วยอ่ะ! แต่ใครที่มีเงินเดือนเยอะๆก็กลับไม่อยากช้อปปิ้งในบราซิลกันนะ บินไปช้อปเมืองนอกเมืองนา อเมริกา ยุโรปกันดีกว่า เพราะค่าภาษีสินค้าในบราซิลก็สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดไปเที่ยวอเมริกาได้สบายๆ ไปอเมริกาซื้อข้าวของ คุณภาพดี ราคาถูกกว่าที่นี่ตั้งเยอะ คุ้มกว่าเป็นไหนๆ

แม้การมาท่องเที่ยวในบราซิลจะยังพอมีความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจอยู่มากโดยเฉพาะธรรมชาติอันงดงามอย่างป่าเขาลำเนาไพร เช่น ป่าดงดิบ Amazon ทางตอนเหนือของบราซิล หรือน้ำตกขนาดยักษ์ Iguazu ที่ขั้นระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน บราซิลและอาร์เจนติน่า หรือแม้แต่ทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลมและบิกินี่ อย่าง Rio de Janeiro, Florianopolis, Guaruja ฯลฯ แต่เพราะช่วงวันหยุดและวันแดดออก คนจะแห่กันไปเที่ยวจนแน่นขนัด การจราจรติดแหง่กอีก ไปแย่งแดด แย่งผืนทราย และแย่งอากาศกันหายใจอยู่บนชายหาด ฮืมมม...เปลี่ยนใจมั้ย?

อีกเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องภาษา คนไทยอย่างเรานอกจากจะต้องทนทรมานใจกับเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างแล้ว ภาษาอังกฤษที่ถึงพูดได้คล่องหรือใช้งานได้ดีก็แทบไม่มีประโยชน์ เพราะการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันที่นี่ดูเหมือนจะเป็นศูนย์ "0" พวกเค้าไม่รู้ภาษาอังกฤษและพยายามจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษให้ปวดหัว(กบาล)ด้วย หากจำเป็นต้องสื่อสารก็ต้องแถภาษาโปรตุกีซแบบ snakeๆfishๆ ไปเลย (ถ้าสามารถ!) ไม่ต้องถามใครให้เสียเวลาว่า "คุณพูดภาษาอังกฤษมั้ย? - Você fala Inglês?" ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆก็ค่อยเฉลยว่าจริงๆแล้ว "เราพูดภาษาโปรตุกีซได้นิดหน่อย - Eu falo um pouco de Português!" แต่พอเฉลยแล้วพวกเค้าอาจเดินหนีไปเลยก็ได้ เจอบ่อย!! หรือเค้าอาจจะถามเราต่อว่า แล้วเราพูดภาษาอะไร อังกฤษหรือสแปนิช อันนี้ก็เจอบ่อยเหมือนกัน!!


เออ....บ่นมากก็เหนื่อย!! เอาเป็นว่าใครที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ถาวรก็คงต้องปรับตัวให้ได้ อาจจะมีความสุขไปกับงานรื่นเริง วันหยุดนักขัตฤกษ์ กิน ดื่ม เที่ยว เต้นรำ ไปตามประสา หรือไม่ก็อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปหน่อย ก็จะมีชีวิตที่สงบๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ส่วนฉั้น ไม่หวังจะอยู่ที่นี่ถาวร เลยยังปรับใจไม่ได้ซักที อยู่มาก็ครบปีแล้ว ดูข่าวสารมากก็เครียด ดูละครมากก็เอียน ดูรายการทีวีมากก็กลุ้ม ไปไหนมาไหนก็ที่เดิมๆบ่อยเข้าก็เบื่อ จะให้ดูบอลทั้งวี่ทั้งวันก็คงไม่ไหว ก็เลยต้องหาอะไรทำให้มันยุ่งๆเข้าไว้ ทำไงได้ล่ะ ยุบหนอ พองหนอ!! อย่างงี้ไง...ฉั้นถึงได้คิดถึงบ้านไม่เลิกซักกะที :-(

วันจันทร์, ตุลาคม 03, 2554

1 ปีที่(พยายาม)อยู่...อย่างมีความสุข



ครบ 1 ปีแล้ว เย้!!! เหมือนจะดีใจยังไงบอกไม่ถูกที่อยู่บราซิลครบ 1 ปี เวลาช่างทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ดีจริงๆ แม้จะเป็นเรื่องยากมากที่พยายามไม่คิดว่า ทำไมบางครั้งเวลามันถึงได้ช้าจัง หรือบางทีเวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิ๊น เพราะการอยู่อย่างไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน จิตใจเลยจดจ่อกับเรื่องเวลาเป็นพิเศษ แต่ก็ถือว่าฉั้นได้เรียนรู้อะไรมากมายหลายอย่างจากการมาอยู่ที่นี่ มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้น ทั้งบุคลิกท่าทาง ความคิดความอ่าน ความระแวดระวังรอบคอบในการใช้ชีวิต มันจะเปลี่ยนแบบชั่วคราวหรือถาวรก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆมันเริ่มต้นจากการต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สังคม ผู้คน และการดำเนินชีวิตให้อยู่รอดของตัวเอง 

มันยากอยู่นะที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆที่ ทุกๆวัน เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราทำเพื่อ 'ใคร' หรือเพื่อ 'อะไร' แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะมี 'วิธีคิด' แบบไหนมากกว่า 

การปรับมุมมองของตัวเองบ้าง ก็มีประโยชน์ เพราะบางครั้งก็ต้องยอมรับและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่าง การทำใจให้กว้างกว่าเดิม เข้าใจและเปิดใจรับรู้สิ่งใหม่ๆ ฉั้นอาจไม่ได้ยอมรับในทุกสิ่งทุกอย่างในซีกโลกฝั่งอเมริกาใต้นี้ เพราะมีหลายอย่างที่มันขัดกับวัฒนธรรมที่เราเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก แตกต่างกับสังคมที่เราเกิดและเติบโต แต่การฝืนหรือยึดติดอยู่กับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไป มันก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเลย

การใช้ชีวิตอยู่อย่างระมัดระวัง เป็นการปรับตัวอย่างหนึ่ง ไม่มีคำว่า ชิลๆ สบายๆ อะไรก็ได้... ทุกอย่างต้องคิดต้องตรึกตรอง มันก็เป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่ง ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่อ่อนต่อโลกจนเกินไป

การอยู่ในที่ที่ไม่มีผู้คนที่รู้จัก...ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง การไม่มีภาษาที่ถนัด ก็ต้องหัดเรียนรู้วิธีที่จะสื่อสาร การที่ไม่มีสถานที่ที่คุ้นชิน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้รอดและปลอดภัย ไม่มีอาหารที่ถูกปาก ก็ต้องลิ้มลองอาหารรสชาติใหม่ๆและมีความสุขกับอาหารที่ดีและมีประโยชน์ และแม้ไม่มีศาสนาที่นับถือ ก็ต้องอยู่ได้ด้วยจิตใจที่ยึดมั่นในความถูกต้องและความดี


เลิกพร่ำบ่นเถอะ ฉั้นบอกตัวเอง ว่าให้เลิกพร่ำบ่นกับอะไรต่างๆรอบตัวที่มันไม่ได้ดั่งใจ เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างคนทนรับสภาพ หดหู่และห่อเหี่ยวกับบางอย่างที่เราไม่ปรารถนาจะรับฟังหรือรับรู้ หรือโหยหาบางสิ่งที่รักและคิดถึง บางครั้ง...จิตใจเราเองต่างหากที่ไม่นิ่งพอที่จะไม่ตัดสินอะไรต่ออะไร ว่าถูกหรือผิด ดีหรือเลว ขาวหรือดำ หลายครั้งเราตัดสินจากประสบการณ์ตัวเอง จากอดีตของตัวเอง บรรทัดฐานของตัวเอง อาจคิดมากไป หวาดระแวงมากไป ยึดติดมากไป หรือ อะไรก็ตาม...

อาชญากรรม อุบัติเหตุ ปล้น ฆ่า มีข่าวให้เห็นอยู่ทุกวัน ละครเนื้อหาไม่เหมาะสมมีให้ดูอยู่ทุกคืน คนแล้งน้ำใจ ไม่เคารพกฏ กติกา มารยาท ก็มีอยู่เกลื่อน แต่จะพร่ำบ่นไปทำไมถ้าเราแก้ไขอะไรไม่ได้ หาอะไรที่ตัวเองชอบหรือสนุกๆทำ พบปะผู้คนบ้าง ไม่ว่าคนในครอบครัว เพื่อนใหม่ๆ เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของแฟน แฟนของเพื่อน ที่มีโอกาสได้นัดเจอกัน ได้พบปะ พูดคุย หรือแม้แต่ทำอาหารให้เค้าชิม ไปออกกำลังกายให้จิตใจเบิกบานและสุขภาพแข็งแรง ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา เพ่ิมวิสัยทัศน์ใหม่ๆ เลือกอยู่กับคนที่เรารักและสบายใจ ทำใจให้ว่างเปล่ากับคนบางคนที่เราอาจตะขิดตะขวงใจ แค่นี้ความสุขเล็กๆเกิดขึ้นได้แล้ว


อย่าอยู่อย่างตามหาความสมบูรณ์แบบ ฉั้นฝึกที่จะพอใจและชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองมี การมาอยู่ที่นี่ทำให้ฉั้นนั่งคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ หรือแท้จริงแล้วทุกความสมบูรณ์แบบต้องประกอบไปด้วยความไม่สมบูรณ์ในสัดส่วน 1:1 เสมอ?!? ทุกวันที่เราตื่นมา ใช่ว่าอากาศจะสดใสชวนให้เบิกบานใจอยู่ทุกวัน แต่นั่นแหละ...ความสมบูรณ์แบบของธรรมชาติ ถ้าจิตใจเราไม่เบิกบานตามไปด้วย ก็เป็นเพราะความสมบูรณ์แบบในจิตใจที่ต้องมีความไม่สมบูรณ์แบบบางอย่างซ่อนอยู่!! ....เอาน่า อย่าเครียดไปเลย ชีวิตมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ....

อยู่อย่างมีแผน 2 เสมอ ฉั้นไม่เคยกลัวกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะทุกครั้งที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงฉั้นก็แค่รับผิดชอบกับมัน เราไม่มีวันล้มเหลวหรอกถ้าเราเตรียมความพร้อมด้วยแผน 2 (หรือ 3, 4...) ไว้เสมอ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว


ดูแลตัวเองและคนที่รักดีกว่า ในชีวิตคนเราจะมีซักกี่คน ที่เราจะรักเค้ามากมาย และจะมีซักกี่คนที่เค้าก็รักเรามากมายเช่นกัน มีซักกี่คนที่ไม่ต้องติดต่อพูดคุยกันตลอดเวลาแต่ความผูกพันก็ยังเหมือนเดิมเสมอ ฉั้นนึกดู.....ไม่มากเกินกว่าจะนับหรอก ใส่ใจคนเหล่านั้นเป็นพิเศษ ดูแลให้เค้ามีความสุขเท่าที่จะสามารถทำได้


ไม่ต้องถึงขั้นพยายามทำอะไรเพื่อใครต่อใคร หัดทำเพื่อตัวเองก่อน ซื่อสัตย์กับความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องตอบรับกับทุกคำเชิญ แต่อย่าปฎิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องพยายามทำอะไรเพื่อให้ตัวเองดูดี แค่เป็นคนดีก็พอ

บางทีฉั้นก็ไม่รู้หรอก ว่าอะไรคือสิ่งที่ฉั้นรักหรือเกลียดที่นี่ อาจจะไม่มีเลยก็ได้! แต่ไม่ว่าสิ่งรอบตัวจะเป็นยังไง แค่ทำให้ได้อย่างที่คิดและพูดมา ...จะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ฉั้นว่า...คนเราก็น่าจะมีความสุขได้ทั้งนั้น... 
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...