Pages

วันศุกร์, พฤษภาคม 27, 2554

วิธีรักษาความสัมพันธ์ (ต่อ)


สำหรับ 8 วิธีรักษาความสัมพันธ์สำหรับคุณผู้หญิง ในโพสต์ที่แล้ว ขอว่ากันต่อด้วยวิธีรักษาความสัมพันธ์สำหรับคุณผู้ชายบ้าง


สำหรับคุณผู้ชาย 

  1. Deal with Emotion: สำหรับผู้ชาย ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิง คือ เรื่องของอารมณ์แบบผู้หญิ๊งผูู้หญิง ผู้ชายควรฝึกรับมือกับอารมณ์ของผู้หญิงให้เป็น การสร้าง "ความมั่นใจในความสัมพันธ์" เป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องการมากที่สุดในผู้ชายที่เธอรัก ผู้หญิงต้องการคนที่เป็นผู้นำ คนที่ทำให้เธอมั่นใจได้ว่าเธอเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่เค้าเลือก ขอให้คอยดูแลเธอ ทะนุถนอมเธอ ประหนึ่งเธอเป็นผู้หญิงที่น่ารัก อ่อนหวาน แม้เธอจะแสดงความแข็งแกร่งหรือแข็งกร้าวแค่ไหนก็เถอะ หน้าที่คุณคือต้องทำให้เธอเห็นถึงความแข็งแกร่งกว่าของคุณเพื่อให้เธอเชื่อถือและศรัทธา อย่าลืมสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นการยื่นมือเข้าไปช่วยเรื่องนู้นเรื่องนี้บ้าง แม้จะเป็นแค่การเช็ดจาน เก็บผ้า หรือซ่อมแซมนู้นนี่ในบ้าน ก็แค่ถามเธอซักนิดหรือวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอซักหน่อย อย่านั่งอืด งอมืองอเท้า ปล่อยให้เธอทำจนเหงื่อตกอยู่คนเดียวล่ะ นอกจากจะทำให้ผู้หญิงหงุดหงิดแล้ว เธอยังแอบมองว่าคุณไม่มีน้ำใจและขี้เกียจสันหลังยาวอีกด้วย เชื่อเถอะ..เธอไม่ให้คุณทำอะไรที่มันหนักหนาสาหัสเกินไปหรอก อ้อ..เกือบลืม ผู้หญิงทุกคนจะต้องมีช่วง 'วันหนึ่งวันนั้นของเดือน' ที่ฮอร์โมนในร่างกายจะมีผลต่ออารมณ์ขึ้นๆลงๆจนผิดสังเกตุ จนแม้แต่คุณสาวๆเองก็ต้องรู้ตัวและเตรียมรับมือกับมันให้ดี ขอให้คุยกันให้เข้าใจว่าเป็นช่วงไหน ไม่งั้นรับรองมีปัญหากันทุกเดือนแน่
  2. Give Compliments and Support: ชื่นชอบและชื่นชมในตัวเธอบ้าง แค่ชมว่าเธอ "สวย" หรือ "ดูดี" เวลาที่เธอลุกขึ้นมาแต่งหน้า ทาปาก เธอก็ปลื้มแล้ว อย่าทำลายความมั่นใจของเธอด้วยการปิดปากเงียบเวลาที่เห็นว่าเธอสวย หรือ แทนที่จะชมกลับพูดในสิ่งที่ตรงข้าม แหม..เธอก็แต่งสวยเพื่อคุณนั่นแหละ ใครๆก็ต้องการคำชมกันทั้งนั้น หรือแม้แต่หากเธอมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้โปรด...คุณหนุ่มๆ อย่าพยามบอกเธอตรงๆ ว่า 'เธออ้วนขึ้นนะ!' หรือเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อาหารที่เธอกิน หรือไปพยามควบคุมอาหารให้เธอ หรือแม้แต่ไปหาคอร์สฟิตเนสมายื่นให้เธอทื่อๆ เพราะคิดว่านั่นคือวิธีช่วยเธอ แต่หารู้ไม่...การทำแบบนั้นนอกจากจะทำให้เธอโกรธแล้ว เธอยังหมดกำลังใจด้วย ถ้าทำบ่อยๆเธอจะคิดเลยเถิดไปว่าคุณไม่รักเธอ เธอไม่สวยไม่น่าดึงดูดใจในสายตาคุณอีกต่อไป!! ทางที่ดีชวนกันไปออกกำลังกายยามว่าง(โดยไม่ต้องพูดถึงน้ำหนักของเธอ) จะดีกว่า พาไปทานอาหารนอกบ้านหรือทำอาหารทานด้วยเมนูเพื่อสุขภาพบ้าง หรืออาจจะซื้อผักซื้อผลไม้มาติดบ้านไว้มากขึ้นแทน จะดีกว่า
  3. Share Feeling: ผู้หญิงต้องการคนที่แชร์ความรู้สึกด้วยได้ สื่อสารด้วยได้ เพราะทั้งหมดจะทำให้สาวๆรู้สึกปลอดภัย มั่นใจ และอุ่นใจขึ้นเมื่อมีคุณอยู่ใกล้ๆ แชร์ความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆกับเธอ รับฟังเธอมากๆ แม้จะมีความคิดเห็นขัดแย้งก็แค่บอกให้เธอรู้ด้วยวิธีที่นุ่มนวล อย่าแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ หงุดหงิด หัวเราะเยาะ หรือ ต่อว่าเธอ เพราะมันจะยิ่งทำให้สาวๆรู้สึกถึงความห่างเหินและจะเกิดความไม่มั่นใจในตัวเธอเองและความสัมพันธ์ขึ้นโดยใช่เหตุ 
  4. Tell Love Frequently: อย่าอายกับการบอกรัก บอกไปเถอะ จะบอกแบบโรแมนติก แบบน่ารัก แบบขำๆก็ได้ แต่บอกเธอบ่อยๆ เธอแค่อยากมั่นใจว่าคุณยังรักเธออยู่ ก็เท่านั้นแหละ
  5. Gifts: ให้ของขวัญเธอ จะเป็นเฉพาะวันสำคัญ หรือ ทำให้เธอประหลาดใจก็ได้ ผู้หญิงชอบของขวัญ (ชัดเจนมั้ย!!) ^^
  6. Touching: การสัมผัสถือเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างความรู้สึกมั่นใจในความสัมพันธ์ กอดเธอบ่อยๆ จูบเธอเบาๆที่หน้าผากบ้าง แก้มบ้าง หลังมือบ้าง คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกับการสัมผัสทางกายแบบนี้ ต้องลองฝึกดู ผู้หญิงแค่อยากรู้สึกมั่นใจว่าคุณรักเธอและยังรักเธออยู่ ในแง่ของการแสดงความรัก พวกเธอไม่ได้ต้องการการสัมผัสมากมายจนส่อถึงความต้องการแอบซ่อนอย่างอื่นนะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ
  7. Go Out With Her: ไปไหนก็ไปกับเธอ ถ้าคุณทำในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว รับรองผู้หญิงของคุณจะทำตัวน่ารัก อาการทางกายที่บ่งบอกว่าเธอชอบคุณจริงๆจังๆแล้วก็คือ เธอจะสบตาคุณ ยิ้มหวานให้คุณบ่อยๆ ลูบผมบาง เสยผมไปมาบ้าง จับเครื่องประดับของเธอบ้าง ตั้งใจฟังในสิ่งที่คุณพูด หัวเราะในมุขตลกของคุณ(แม้มันจะฝืด!) แต่งหน้า แต่งตัวสวยๆ แล้วถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักของคุณแล้ว คุณจะไม่อยากไปไหนมาไหนกับเธอเชียวเหรอ
สำหรับคนทั้งคู่ เทคนิคในการรักษาความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน
  1. Pretend As A First Date: หากต้องการให้ความรัก ใหม่ สด เสมอล่ะก็ แสร้งสร้างความรู้สึกของการออกไปไหนด้วยกันสองต่อสองทุกครั้งให้เสมือนเป็นเดทแรกเสมอ ไม่ยากใช่มั้ยล่ะ? ดูน่ารักดีด้วย ไม่ต้องเขินหรอกน่า
  2. Handling Jealousy: "ความหึง" ทำลายความสัมพันธ์ คำแนะนำของคุณ Barnes คือ ทำความเข้าใจความหึงก่อนว่ามันมาจากไหน จากการกระทำบางอย่างของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นต้นเหตุ หรือเป็นความไม่มั่นใจในตัวเองหรือไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ (Feeling insecure) กันแน่ หากเข้าใจที่มาแล้ว ก็คุยกันด้วยเหตุและผลเท่านั้นเอง จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้เยอะเลย แต่อืมม..ไม่รู้ว่าอะไรยากกว่ากัน ระหว่างหาที่มา กับ คุยกันด้วยเหตุผลเนี่ย ^^ 
  3. Don't Control: กฏข้อนี้ให้ใช้สำหรับทุกสถานการณ์ คือ อย่าพยายาม 'บังคับ หรือ สั่ง' ให้สถานการณ์เป็นไปในแบบที่เราต้องการ หยุดฟังเมื่อเธอหรือเค้าพูดบ้าง อย่าขัดคอ พรำ่บ่น หรือ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องโน้นเรื่องนี้ อย่าบังคับให้เค้าทำนู้นทำนี่ เพราะนอกจากจะสร้างความอึดอัดและรำคาญใจแล้ว การ Control จะยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความไม่ไว้ใจในความสามารถของตน หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เค้าจะเริ่มละความพยายามในการทำสิ่งใดๆเพื่อเอาใจคุณ เริ่มต่อต้านในใจ และอาจแสดงออกด้วยการขัดแย้งหรืออาจแสดงออกด้วยการมึนตึง เฉยเมย ไม่ใส่ใจ และจะกลายเป็นปัญหาได้ในท้ายที่สุด
  4. Do Some Fun Together: ควรจะหากิจกรรมอะไรสนุกๆทำร่วมกันบ้าง เช่น วางแผนท่องเที่ยวด้วยกัน หางานอดิเรกทำด้วยกัน ออกกำลังกาย หรือไปสปาด้วยกันก็ได้ หรือหา Class สนุกๆเรียนด้วยกัน อาจเป็น Cooking Class, Yoga Class แม้แต่จะ Dinner ใต้แสงเทียนแบบน่ารักๆที่บ้านด้วยกันทุกค่ำคืนวันศุกร์ก็ยังน่ารัก เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับความสัมพันธ์ 
  5. Forget Past: อย่าเปรียบเทียบความสัมพันธ์ปัจจุบันกับความสัมพันธ์ในอดีต เพราะนอกจากจะหนังคนละม้วนแล้ว อดีตเป็นแค่บทเรียนเท่านั้น แต่ไม่ใช่บรรทัดฐานของสิ่งใดๆ แค่เรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตหรือข้อดีจากมันแล้วเดินหน้าต่อ อีกอย่าง..ไม่มีใครอยากรู้อดีตของเราแบบจริงๆจังๆหรอกโดยเฉพาะอดีตรักเก่าๆ ลืมมันไปเถอะ อย่าไปเอ่ยถึงมันเลย

สำหรับผู้ชายหรือผู้หญิงที่นอกใจ


เหตุผลง่ายๆที่ทำให้ผู้ชายหรือผู้หญิงเกิดอาการนอกใจ คุณ Barnes บอกว่า สำหรับผู้ชายแล้ว เพียงเพราะเค้าไม่พบสิ่งที่พวกเค้าต้องการในตัวผู้หญิงที่คบหาอยู่ ไม่รู้สึกว่าเธอดึงดูดใจอีกต่อไป หรือไปพบสิ่งที่เค้าต้องการหรือความน่าดึงดูดใจจากผู้หญิงคนอื่นแทนที่จะเป็นจากผู้หญิงของเค้าเอง

ส่วนผู้หญิงที่นอกใจนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของอารมณ์ลึกๆ เมื่อพวกเธอเกิดความไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ (Feeling insecure) ซึ่งเกิดจากผู้ชายที่เธอคบหาด้วยไม่สร้างความมั่นใจในความสัมพันธ์ให้กับเธอ ไม่บ่งบอกชัดเจนว่าความสัมพันธ์กำลังดำเนินไปในรูปแบบไหน ขั้นไหนหรือยังรักเธออยู่มั้ยนั่นเอง


แต่ยังไงก็ตาม การนอกใจ เป็นการตัดสินใจของคนคนหนึ่ง ซึ่งอาจผ่านการใตร่ตรองแล้วหรือไม่ใตร่ตรองอะไรใดๆเลยก็ได้ มันอาจไม่ใช่ความผิดของคนอีกคน ที่ถูกนอกใจ แต่เป็นเพราะคนที่นอกใจนั้น ส่วนใหญ่ ไม่เห็นค่าของการซื่อสัตย์ต่อความรักและไม่ให้เกียรติคนรัก หากการนอกใจเกิดขึ้นกับคุณ ลองพิจารณาดูว่าคนที่นอกใจจะสมควรได้รับความรักที่จริงใจจากใครอยู่อีกหรือไม่
   
สำหรับคนโสด
  1. Love Someone Else: ถ้าต่างทำวิธีที่ว่ามาทั้งหมดแล้ว แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไม่เกิด ขอให้เดินหน้าต่อ ทำความรู้จักคนอื่นต่อไป อย่าคิดมากหรือเสียเวลานั่งเฝ้ารอ
  2. Happiness Is Your Choice: มีความสุขและสร้างความสุขให้ตัวเอง ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้าง ทำอะไรที่อยากทำ ช่วงเวลาของความโสดคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะสร้างความสุขให้กับตัวเอง อ้อ..คุณ Barnes ยังบอกอีกว่า Happy people is attractive to happy people! ขอให้มั่นใจในความโสดและโสดอย่างมีความสุขนะจ๊ะ รับรองว่าคุณจะโสดไปอีกไม่นานหรอก ^^

หลังจากฟังคุณ Barnes แล้ว ฉั้นว่าทั้งหมดมันช่างเป็นข้อคิดที่เข้าใจง่ายและสมเหตุสมผลดีจริงๆ ใครอยากฟังเธอด้วยตัวเอง ลองคลิ๊ก Relationship Advice by Donna Barnes ใน YouTube ดูก็ได้นะ :) 

วิธีรักษาความสัมพันธ์

เมื่อหลายวันก่อนได้ไปเจอคลิปที่น่าสนใจอันหนึ่ง (แต่หลายตอน) เกี่ยวกับการรักษาความสัมพันธ์ เป็นคลิปของคุณ Donna Barnes เธอเป็น Life and Relationship Coach ของบริษัทของเธอเอง ชื่อ NY Dating Coach, New York City, USA พูดอย่างนี้ อาจนึกว่าเคยรู้จักเธอมาก่อน ป่าวหรอก แค่บังเอิญไป search เจอ เห็นน่าสนใจดีตามประสาคนใช้ชีวิตคู่ ก็อยากจะลองเช็คดูว่าเราทำดีพอแล้วรึยังหรือมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกบ้างในการรักษาชีวิตคู่ให้มั่นคงยืนยาว พอเจอคลิปนี้แล้วฟังไปฟังมา รู้สึกว่ามีประโยชน์ดี เลยเอามาเล่าสู่กันฟังดีกว่า เผื่อว่าอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับบางคนที่บังเอิญอยากได้ Tips&Techniques  ดีๆ ในการรักษาความสัมพันธ์ของตัวเอง ลองอ่านดูนะ เผื่อจะชอบเหมือนกัน

เริ่มจาก Tips&Tricks สำหรับสิ่งที่คุณผู้หญิงอย่างเราควรทำก่อน;

  1. Maintain Yourself: 'ผู้ชายมักหลงรักผู้หญิงที่หลงรักตัวเอง' เคยได้ยินมั้ย ประโยคนี้? คุณ Barnes บอกว่า 'หลงรัก' ในที่นี้หมายถึง รักในความงามของตัวเอง รักในความคิดของตัวเอง รักการดูแลตัวเอง รักความเป็นอิสระของตัวเอง รักการได้อยู่กับเพื่อนๆบ้าง ครอบครัวบ้าง มีความสุขกับตัวเอง และเป็นตัวของคุณเองในแบบที่เค้าหลงรักคุณในวันแรก ซึ่งนั่นจะทำให้เค้ามีชีวิตชีวาขึ้น แต่ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้ได้ใจเค้ามาครองนะเพราะนั่นอาจจะไม่ใช่ตัวคุณจริงๆและคุณอาจจะไม่มีความสุขก็ได้ แต่หากจำเป็นต้องเปลี่ยน ควรเปลี่ยนจากข้อเสียบางอย่างที่บั่นทอนความสำพันธ์ของเราจะดีกว่า เพราะเปลี่ยนแบบนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ามาก และควรทำความเข้าใจด้วยว่า "หลงรักตัวเอง" ไม่ใช่ "หลงตัวเอง" ผู้หญิงที่ 'หลงรักตัวเอง' - จะมีความสุขกับการได้อยู่กับตัวเองและมีความสุขที่ได้ทำให้คนอยู่ใกล้ๆมีความสุขไปด้วย แต่คน 'หลงตัวเอง' - จะมีความสุขกับการได้อยู่กับตัวเองโดยไม่เคยสัมผัสได้เลยว่าคนที่อยู่ใกล้ๆเธอมีความสุขไปด้วยหรือไม่ 
  2. Maintain Respect:  ทุกคนต่างต้องการพื้นที่ส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น ในช่วงที่ความสัมพันธ์เพิ่งเริ่มต้น การไม่พยามอยากรู้ในสิ่งที่สร้างความลำบากใจในการตอบนั้นถือเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย และการบอกในสิ่งที่ควรเท่านั้น ก็ถือเป็นการสร้าง "ความน่าดึงดูดใจ" ได้อีกทางด้วย การรักษาระยะให้เหมาะสมและเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของกันและกันถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความสัมพันธ์ เพราะนอกจากจะไม่สร้างความอึดอัดใจให้แก่กันและกันแล้ว และสำหรับผู้หญิงอย่างเรา ยังทำให้ดูน่าสนใจอีกต่างหาก
  3. Control Behavior: อย่าระบายความโกรธ ความเครียด ความหงุดหงิด ในรูปแบบของคำพูดรุนแรง หรือตะโกนใส่หน้าเค้า หรือพูดจาไม่สุภาพใส่เค้า หรือแม้กระทั่งอาจประชดประชันให้เจ็บช้ำน้ำใจ คุณ Barnes จึงบอกว่าควรควบคุมกิริยามารยาทและวาจาเป็นสิ่งสำคัญ อย่าถือสิทธิ์ของความสัมพันธ์ในการทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ 
  4. Maintain Attraction: ผู้ชายจะใช้เวลาในการครุ่นคิดจนเกิดความรู้สึกชอบพอนานกว่าผู้หญิง หากถามว่านานขนาดไหน คุณ Barnes บอกว่าต้องออกเดทกันประมาณสิบครั้งอ่ะ ถึงจะรู้สึกชัดเจนว่าชอบหรือไม่ชอบในตัวผู้หญิงคนนั้น อืมม..นานเน๊อะ แต่อาจไม่ทุกกรณี! แต่มิน่า ถึงสร้างความอึดอัดให้ผู้หญิงใจร้อนหลายๆคนที่ต้องการรู้ตั้งแต่เดทแรกว่า "เค้าชอบฉั้นรึป่าว?" แล้วครุ่นคิดว่า "ทำไมเค้าไม่โทรมาหา?" "เค้าคิดกับฉั้นยังไงกันแน่?" จนท้ายที่สุดเก็บอาการไว้ไม่อยู่และต้องเป็นฝ่ายตามล่าซะเอง ธรรมชาติของคนเรามักไม่ต้องการถูกล่า โดยเฉพาะผู้ชายที่มีธรรมชาติของความอยากเป็นผู้นำ จึงต้องการเวลาในการครุ่นคิดเพื่อให้แน่ใจว่า เค้าต้องการควบคุมสถานการณ์นี้หรือไม่ แต่เมื่อไรที่พวกเค้ารู้สึกว่าตกเป็นฝ่ายถูกไล่ล่า เค้าจะเลือกเป็นฝ่ายจบความสัมพันธ์ลงซะเอง เพราะรู้สึกว่าเธอไม่น่าดึงดูดใจซะแล้ว ซึ่งก็น่าเสียดาย ดังนั้น การทำตัวให้น่าดึงดูดใจ คือ ต้องใจเย็นๆหายใจเค้าลึกๆแล้วเปิดโอกาสให้เค้าเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ไปก่อน หากเค้าชอบเรา เค้าจะใช้เวลาคิดเล็กน้อย และหากเราน่าสนใจพอ สัญญาณที่บอกว่าเค้าหลงรักเราเข้าแล้ว ก็คือ การพยามทำความรู้จักเรา โทรมาหา นัดเจอล่วงหน้า อยากคุยด้วย พยายามวนเวียนอยู่ใกล้ๆ โต้ตอบบทสนทนากับเราตลอด ยิ้มให้ทุกครั้งที่สบตากัน พยายามทำให้เรายิ้มหรือหัวเราะด้วยเพราะเค้าหลงรักรอยยิ้มของเราเช่นกัน และหากความสัมพันธ์เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือเค้าจะอยากให้เรารู้จักเพื่อนๆของเค้า ครอบครัวเค้า คิดถึงและโทรหาเป็นเวลา ใส่ใจกับ 'เวลา' เป็นพิเศษเวลาที่มีนัดกัน อยากกุมมือ และสุดท้ายจะอยากมีเราอยู่ข้างกายไม่ยอมห่าง แค่ให้เวลาเค้าคิดซักนิด...คงไม่ยากเกินไป อย่าเร่งรีบในความสัมพันธ์ เพราะถึงท้ายที่สุดถ้าเค้าไม่ชอบเรา ก็แค่ ลืมเค้าซะ แล้วไปต่อ ไปรู้จักคนใหม่ๆต่อไป..ไม่ต้องเป็นฝ่ายตามล่าเค้ามาให้เหนื่อย 
  5. Be Friend: รับฟังเค้าแบบเพื่อน แม้ความสัมพันธ์จะคืบหน้าไปเป็นคนรักแล้ว เราก็ยังต้องทำตัวให้เหมือนเพื่อนได้ในบางขณะ โดยเฉพาะเวลาที่เค้ามีปัญหาอยากเล่าให้เราฟัง ก็แค่ทำตัวสบายๆ ผ่อนคลายแล้วก็เปิดหู เปิดใจรับฟัง ...ง่ายจะตายไป!! เพราะถ้าเราไม่ฟัง เค้าก็ไปเล่าให้คนอื่นฟังแทน!
  6. Give Compliments and Support: ผู้ชายจะยิ่งภูมิใจในตัวเอง มั่นใจในตัวเอง เมื่อเค้าได้รับคำชม คำเยินยอ และได้รับการ Support ทางความคิด จากผู้หญิงที่เค้ารัก การชื่นชมเค้า ภูมิใจในตัวเค้า เค้าก็จะยิ่งภูมิใจ และมั่นใจในตัวเอง และจะเผื่อแผ่มาถึงเราในรูปแบบของความรัก การดูแลเอาใจใส่ การทะนุถนอม และเค้าจะมีเรี่ยวแรงมหาศาลที่จะมอบเวลาทั้งหมดให้กับเราและทำทุกอย่างเพื่อเอาใจเรา อย่ามัวแต่บ่น หรือ ไม่พอใจนู้นนี่รอบตัวไปหมดเพราะนอกจากบั่นทอนตัวเองแล้วยังสร้างบรรยากาศตึงเครียดให้คนที่อยู่ข้างตัวอีกต่างหาก  
  7. Let the Man be the Man: หลังจากได้คำชื่นชม เยินยอ ก็ต้องปล่อยให้เค้าได้ทำตัวสมความเป็นชายหน่อย ซึ่งก็คือ ปล่อยให้เค้าได้เป็นฝ่ายจีบ เป็นฝ่ายโทรหา เป็นฝ่ายค้นหา ได้เป็นคนวางแผน ได้เป็นผู้นำ ได้ควบคุมสถานการณ์บ้าง สำหรับผู้หญิงอย่างเรา ก็แค่ทำตัวเป็นผู้หญิง  แต่งตัวให้เป็นผู้หญิง ทำตัวให้น่ารักน่าทะนุถนอม แล้วรอให้เค้าโทรมา พาไปเที่ยว วางแผนเดินทาง หาร้านอาหาร ทำตัวน่ารักด้วยการรับฟัง เออ ออ ห่อหมก แต่อย่าลืมล่ะ เราก็มีความคิดของเรา ดังนั้น แสดงความคิดเห็นบ้างเพื่อแสดงว่าเราเคารพตัวเองแค่ไหน เสนอความคิดเห็นบ้าง แต่ไม่ใช่ขัดคอนะ แล้วก็อย่าไปแข่งขันกับเค้า ให้เค้าได้มีความมั่นใจและภูมิใจต่อไปเพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงการ support ทางความคิดเค้าได้เป็นอย่างดี ให้เค้าเป็น "หัว" ไปเถอะ เพราะเราจะต้องเป็น "คอ" หัวขาดคอได้ที่ไหนกัน ใช่มั้ย สาวๆ ^^ 
  8. Love Him, Love His Friends: เคล็ดลับข้อนี้ คือ ให้เวลาเค้าได้อยู่กับเพื่อนบ้าง หรือหากเค้าต้องการให้คุณรู้จักเพื่อนเค้า ก็เปิดใจให้รู้สึกชอบเพื่อนเค้าด้วย อย่าอคติ และ อย่าพยามหวงเวลาของการได้อยู่ด้วยกันโดยไม่แบ่งปันให้เพื่อนฝูงหรือแม้แต่ครอบครัวของเค้าบ้าง ไม่งั้นล่ะก็ เค้าเบื่อแย่ การให้เวลาเค้าได้อยู่กับเพื่อนบ้าง ถือเป็นการ ให้โอกาสเค้าได้รู้ใจตัวเอง ว่าจริงๆแล้วเค้าอยากอยู่กับเรามากกว่าต่างหากล่ะ แล้วถ้าสามารถชอบเพื่อนเค้าได้ (เอ่อ..หมายถึง เป็นมิตรกันได้อ่ะนะ) ก็จะยิ่งดีใหญ่ เพราะจะได้ไปไหนด้วยกันได้โดยไม่อึดอัด เป็นการเพิ่มเสน่ห์อย่างหนึ่ง
  9. Don't Forget Sense of Humor: อันนี้ขอเติมเอง คุณ Barnes ไม่ได้บอก แค่รู้สึกว่าใครๆก็อยากอยู่ใกล้คนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ถึงแม้คุยสนุกหรือมีอารมณ์ขันด้วยอาจจะทำยากเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ แต่อย่างน้อยเวลาที่ใครพูดอะไรขำๆก็อย่าลืมหัวเราะบ้าง ยิ้มบ้าง พอให้ดูเป็นคนอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี แค่นี้ไม่ใช่แค่เค้าเท่านั้นหรอกที่อยากอยู่ใกล้...ใครๆก็อยากจะอยู่ใกล้ๆคนอารมณ์ดีกันทั้งนั้น
ฮืมมม...ยังมีวิธีรักษาความสัมพันธ์สำหรับผู้ชายในโพสต์ถัดไปนะ ลองอ่านดูก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าภาระใครหนักกว่ากัน 

วันศุกร์, พฤษภาคม 06, 2554

การต่อสู้กับอาการ Homesick


ถ้าพูดถึงอาการ "Homesick" หรืออาการ "คิดถึงบ้าน" ฉั้นว่ามันน่าจะถือเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่งได้นะ! เพราะถ้าลองวิเคราะห์กันเล่นๆ หลังจากต่อสู้ฟันฝ่ากับอาการคิดถึงบ้านมานานแรมปี ถือเป็นต่อสู้กับสุขภาพจิตของตัวเองโดยแท้


การมาใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน บางคนอาจบอกว่า "น่าอิจฉาจริง" บางคนอาจบอกว่า "เออ..โชคดี" แต่บางคนอาจจะบอกว่า "อยู่ดีไม่ว่าดี" เออ..ไอ้คนหลังนี่รู้จริง! มันก็ทรมานอยู่เหมือนกันนะ เวลาคิดถึงบ้านแล้วมันกลับบ้านไม่ได้เนี่ย การจากเมืองไทยไปอยู่นิวซีแลนด์ 6 เดือน แม้จะยังไม่หนักหนาสาหัส เพราะบ้านเมืองเค้าปลอดภัย เงียบสงบ สวยงาม อากาศดี และผู้คนก็เป็นมิตร ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป แต่อีก 6 เดือนถัดมานี่สิ จากนิวซีแลนด์มาอยู่บราซิล มันช่างแตกต่างกับเมืองไทยมากมาย เกินจะบรรยาย (แต่ก็อุตส่าห์บรรยายไว้ในโพสต์  80 ความแตกต่างระหว่าง ไทย-บราซิล... !) ใครยังไม่เคย Homesick และยังไม่เคยลอง จะเล่าให้ฟังว่าอาการมันเป็นยังไง มันจะมีอาการทั้งทางกายและทางใจ ทางกายก็มีดังนี้

  1. อึดอัด กระสับกระส่าย ถ้านึกภาพไม่ออก ขอให้นึกถึงตอนปวดอึแล้วดันอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ที่บ้าน...เกี่ยวมั้ย? คือ มันจะกระสับกระส่าย ลังเล จะเข้าดีไม่เข้าดี ... คนเราจะคิดถึงบ้านมากที่สุดตอนที่รู้สึกว่าต้องการที่ที่อุ่นใจที่สุด อาการนี้จะเป็นหนักตอนที่จากบ้านมาใหม่ๆ เห็นอะไรก็อึดอัด กระสับกระส่าย ไอ้นู่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ถูกใจ สู้บ้านเราไม่ได้ซักอย่าง (ทั้งที่บางอย่างอาจดีกว่า!) นอนก็นอนไม่หลับ หมอนใหม่นอนไม่สบาย ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว ห้องไหนก็ใช้ไม่ถนัด อาหารถึงแม้จะอร่อย แต่ก็ทำเป็นไม่ถูกปากซะงั้นเพราะคิดถึงแต่อาหารที่บ้าน คนรอบข้างก็ใจดีแต่มันไม่สนิทใจ ปิดตาปิดใจ
  2. ระแวดระวังภัย อาการนี้เป็นอาการของการผิดที่ผิดทาง นึกภาพเวลาเราต้องไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง เช่น ไปต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศ ก่อนนอนต้องล็อกประตู หน้าต่าง แน่นหนา บางคนต้องเปิดไฟนอนก็มี จะเดินไปไหนก็ต้องมีเพื่อนไปด้วย เดินคนเดียวมันวังเวง ว้าเหว่ กระเป๋านี่ต้องกอดไว้แน่น เดี๋ยวใครมากระชากไป จะวิ่งกวดไม่ทัน ถนนหนทางต้องสังเกตุสังกาให้ดี เช็คแล้วเช็คอีกก่อนจะไปไหนมาไหน จะข้ามถนนก็ต้องระวัง เช็คให้ดีว่ารถประเทศนี้มันวิ่งเลนไหน ไฟเขียวไฟแดงมันเหมือนบ้านเรารึป่าว
  3. ขาดความมั่นใจ ไม่รู้จะไปดีไม่ไปดี ไปทางซ้ายหรือทางขวาดี ทำดีไม่ทำดี ซื้อดีไม่ซื้อดี จะซื้อของทีก็นับเงินแล้วนับเงินอีก คำนวณแล้วคำนวณอีกว่ามันกี่บาทไทยกันหว่า บางทีรนรานนับเลขไม่คล่องต้องใช้เครื่องคิดเลขช่วยตลอดเพราะใช้เงินประเทศอื่นยังไม่เป็น จะพูดกับใครจะคุยกับใคร ก็ไม่มั่นใจในภาษา กลัวเค้าถามกลับมา..ตอบเค้าไม่ได้อีก จะช้อปปิ้งก็ไม่มีความสุข เพราะมัวแต่เคอะเขิน... 
  4. ตื่นเต้นเป็นกังวล อาการนี้จะเกิดบ่อยเวลาต้องทำอะไรครั้งแรก เช่น การขับรถครั้งแรก ไปช้อปปิ้งคนเดียวครั้งแรก หลงทางครั้งแรก พูดภาษาอื่นครั้งแรก ไปซื้อขนมปังครั้งแรก ฯลฯ หัวใจจะเต้นตุ๊มๆต่อมๆอยู่ตลอดเวลา มื้อเท้าจะเย็นแต่เหงื่อแตก ก็อย่างนี้แหละ ครั้งแรกมักตื่นเต้นเสมอ
  5. เสพติด Facebook ตั้งแต่ facebook ได้จุติขึ้นบนโลกนี้ มันช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของโลก มันทำให้ได้ติดต่อเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้รู้จักเพื่อนหลายๆคนในแง่มุมอื่นๆ ได้รู้ว่าบางคนมีอารมณ์ขันมากกว่าที่เราคิด บางคนก็มีความคิดความอ่านมีแง่มุมดีๆกว่าที่เราเคยรู้จัก รู้ว่าบางคนมีแฟนแล้ว บางคนเพิ่งคบกัน บางคนแต่งงานแล้ว บางคนอกหัก บางคนขี้เหงา บางคนยังไม่มีแฟน บางคนชอบเที่ยว บางคนชอบกิน ฯลฯ ทำให้คนไกลบ้าน ไกลเพื่อน ไกลครอบครัว ไม่มีงานทำอย่างฉั้นเสพติด facebook งอมแงม ขนาดบางทีขอให้ได้โพสต์แค่คำว่า "เหงา" แค่คำเดียว ก็สบายใจขึ้น เพราะกลับมาเช็คอีกที อาจมีข้อความตอบกลับมาให้กำลังใจบ้าง ให้ขำๆบ้าง แก้เหงาไปวันๆ
  6. กินไม่หยุด เอ่อ..อันนี้เนื่องมาจากเหตุผลของความ คิดถึง!! อาการนี้คล้ายกับอาการเครียดประเภทหนึ่งที่ยิ่งเครียดมากยิ่งกินมาก!! แต่บังเอิญว่านี่ไม่ใช่ความครียดแต่มันเป็นเพราะความคิดถึง คือ คิดถึงอาหารไทย คิดถึงความสะดวกสบายในการเดินหาของกินในเมืองไทยตามตรอก ซอก ซอย และเซเว่นอีเลเว่น คิดถึงอาหารที่มีสามรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อ้าว..สี่นี่!! โหยหาจนทนไม่ไหว ต้องทุ่มเททั้งกายทั้งใจให้กับการเข้าครัวอย่างจริงจัง ฝึกทำมันหมดทุกอย่าง ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน อาหารไทยยันอาหารฝรั่ง ทั้งเมนูง่ายๆ ไปจนถึงเมนูยากถึงยากที่สุด! ทั้งชิมเอง ทั้งให้คนอื่นชิม ชิมไปชิมมาจนน้ำหนักตัวถึงจุด Peak สุด!! คือ หนักเป็นประวัติการณ์! แต่หลังจากพบว่า กางเกงตัวโปรดที่เคยใส่ได้กลับยัดขาไม่ลงซะแล้วนั้น อาการก็จะค่อยๆทุเลาลง!!  

อาการมักจะรุนแรงในช่วง 3-6 เดือนแรก อย่างตอนย้ายไปอยู่นิวซีแลนด์ใหม่ๆ ฟังภาษาอังกฤษสำเนียงนิวซีแลนด์แล้วทรมานมาก รู้สึกคิดถึงบ้านสุดใจขาดดิ้น แต่ยังไม่ได้ครึ่งของความทรมานที่ต้องฟังภาษาโปรตุกีซที่บราซิล ที่ฟังไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว แต่ทำไงได้ ในเมื่อการต่อสู้มันเพิ่งเริ่มต้น และนี่เป็นแค่อาการทางกายนะ ยังไม่รวมอาการทางใจ


อาการทางใจ แม้จะเป็นอาการที่มาเป็นระยะๆ เพื่อทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจ แต่เวลามันมา มันมักไม่เตือนก่อนล่วงหน้า ซึ่งได้แก่อาการ;

  1. อยู่ดีๆก็อยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เกิดเหงาอะไรขึ้นมาาาาาา...... เคยมั้ย ที่อยู่ดีๆก็อยากร้องไห้ ฉั้นไม่เชื่อ ถ้าใครบอกว่าไม่เคยเป็น อย่ามาหลอกกัน โดยเฉพาะผู้หญิง ลองสังเกตุช่วงก่อนมีรอบเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่ อยู่ดีๆก็อยากร้องไห้ มีถมไป และจะเอาอะไรกับคนไกลบ้าน อย่างฉั้น ไม่ต้องรอถึงช่วงก่อนมีรอบเดือนเลย มันมาทดสอบสภาพจิตใจเป็นระยะๆเสมอ และเมื่อไรที่มีอาการทางกายหนักๆ จะส่งผลถึงอาการทางใจทันที รู้สึกเปราะบาง อ่อนแอ ท้อแท้ สับสน และไร้สาระมากจนอยากจะร้องไห้......
  2. เหงา ไม่ต้องอธิบายมากสำหรับอาการนี้ เพราะมัน เหงา โอ้ว...พระเจ้า เหงาจริงๆ เกินบรรยาย ข้ามไปเลย!!! 
  3. คิดถึง คิดถึงครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง คิดถึงเพื่อนฝูง คิดถึงที่ทำงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน คิดถึงร้านหมูปิ้ง ขนมจีบซาลาเปา ร้านส้มตำ ร้านเซเว่นอีเลเว่น  ร้านทำผม ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด หมอฟัน ร้านเหล้า และติ๊กกี้ผับ(เอ่อ...อันนี้ คือ ห้องเพื่อนสนิท ที่สิงสถิตย์ทุกวันศุกร์หลังเที่ยงคืน) ..... คิดถึงมันหมดทุกอย่าง 
  4. ขี้น้อยใจ เวลาไม่มีเพื่อนทิ้งข้อความไว้ใน facebook หรือพี่ๆน้องๆหายไปไหนกันหมด ไม่มีใครโทรหาทั้งที่ค่าโทรแค่นาทีละ 20-30 บาทเท่านั้นเอง! ติด Skype ก็ไม่ได้ใช้ พ่อแม่สงสัยไม่รักแล้วมั้ง เวลาก็ต่างกันเป็นวัน เค้าหลับเราตื่น สลับกันทุกวัน ......คิดไปต่างๆนานา...... มาได้สติอีกทีตอนที่ลองเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ทุกคนก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม งานยุ่งเหมือนเดิม มีชีวิตประจำวันเหมือนเดิม เจอะเจอเพื่อนฝูงเหมือนเดิม ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ... เราต่างหาก ที่เปลี่ยนไป
  5. ซึมเศร้า ห่อเหี่ยว หดหู่ ต้อแต้ ไม่ฉะบายยยย ฯลฯ ทั้งหมดรวมอยู่ในข้อเดียว เพราะอารมณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดบ่อย แค่บางครั้งบางคราว แล้วแต่อารมณ์ พอให้หดหู่เล่นๆเพื่อจะได้ย้อนกลับไปที่ข้อ 1 ใหม่ แล้ววนใหม่ไปเรื่อยๆ

ไม่รู้อาการที่ว่ามาจะดูเยอะไปป่าว แต่เชื่อเถอะ ไม่แน่มันอาจจะยังมีอีกแต่นึกไม่ออก แล้วทำไงล่ะให้หายจากอาการ Homesick ฮ่าาาาๆๆๆ...(จะหัวเราะทำไม) หัวเราะเพราะทำอะไรไม่ได้ ต้องอดทนต่อสู้กับมันอย่างคนอ่อนแอ... พิมพ์ไม่ผิด คนอ่อนแอนี่แหละ เวลาที่รู้สึกอ่อนแอ อาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ว่าจะเกิดขึ้นทันที อย่างเดียวที่ทำได้ คือ อย่าฝืนกับอาการ ให้ใส่อารมณ์ไปให้เต็มที่ ฟังเพลงเศร้าๆตอกย้ำเข้าไป ให้มันช้ำไปเถิด ให้มันช้ำเข้าไป ให้มันสาแกไจ ให้จำกว่านี้...................ได้ยินเหมือนเสียงพี่จอห์น นูโว ลอยมา!! 


หลังจากปล่อยอารมณ์สุดๆแล้ว เราอาจจะร้องไห้จนตาบวม อาจเบื่ออาหาร และบางครั้งอาจมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย แต่เชื่อเถอะว่า เราจะรู้สึกดีขึ้น เพราะนี่คือ การฝึกความอดทนขั้นแรก 


ขั้นที่สอง ต้องรวบรวมความกล้าและหน้าด้านเพื่อทำตัวกลมกลืน อย่ากลมเฉยๆให้กลืนด้วย "กลมกลืน" ทุกอย่างต้องนับหนึ่งก่อนเสมอ ฝึกทำทุกอย่างที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าทำ เช่น เดินไปซื้อของ ไปช้อปปิ้ง ไปออกกำลังกาย ไปทำอะไรก็ไป ทำไปเถอะแม้จะไม่อยากทำเพื่อสร้างความเคยชิน หลังจากเคยชินแล้วจะรู้สึกอบอุ่นใจขึ้น มั่นใจขึ้น 


ขั้นถัดมา เริ่มทำอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเรื่องเป็นราว ทำสิ่งที่เราอยากทำ ชอบทำ ทำแล้วมีความสุข หลังจากผ่านขั้นแรกมาเราจะรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นนิดนึง เริ่มต่อต้านอะไรต่างๆน้อยลง เริ่มเปิดตาและเปิดใจและอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวต่างๆรอบตัว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี เราอาจจะเริ่มไปเรียนภาษา เริ่มอยากหาเพื่อน อยากพบปะผู้คน สำหรับฉั้น เริ่มเขียนบล๊อกเพื่อเก็บเรื่องราวต่างๆที่พบเจอเป็นตัวหนังสือ จะได้ไม่ลืมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่ห่างจากบ้านมา เริ่มฝึกทำอาหารจากอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ต่างๆ เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและโปรตุกีซเพิ่มเติม เริ่มออกกำลังกายเป็นประจำ เริ่มหัดแต่งหน้า คริ คริ!! ^^ ขอแอบสวย จาก Gurus YouTube แล้วก็เริ่มประดิษฐ์นู้นประดิษฐ์นี้ไปเรื่อยเปื่อย


เพราะอยู่ที่บราซิล คิดว่าคงหางานทำลำบาก...ไม่หรอก จริงๆแล้ว มันเป็นเพียงข้ออ้าง ฉั้นเบื่อกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มทีต่างหาก ผ่านไปหนึ่งปี ฉั้นเกิดแรงบันดาลใจมากมายหลายอย่าง อยากทำสิ่งที่เคยคิดถามตัวเองเล่นๆว่า "ถ้าไม่เป็นมนนุษย์เงินเดือน ตรูจะไปทำมาหากินอะไร?" ถึงแม้จะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน แต่ก็พยามอยู่! แต่ที่สำคัญ พอเริ่มรู้สึกเริ่มชินกับสิ่งรอบตัวแล้ว เราก็เริ่มเหงาน้อยลง ทรมานกับการคิดถึงบ้านน้อยลง โหยหาเพื่อนน้อยลง และเริ่มปรับตัวกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น 


ณ ตอนนี้ อาการ "Homesick" เริ่มทุเลาลงแล้ว ต้องยกนิ้วให้กับความอดทนอย่างอ่อนแอของตัวเองจริงๆ ใครก็ตามที่เคยมีอาการแบบนี้ ฉั้นคงช่วยอะไรไม่ได้(เพราะช่วยตัวเองยังไม่ค่อยรอด) แต่จะขอเป็นกำลังใจให้ ผ่านช่วงเวลาหนึ่งเราจะเริ่มชินกับมันและเมื่อถึงเวลานั้น ที่ที่เราอยู่ปัจจุบันก็จะกลายเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งให้เราได้คิดถึงเช่นกัน แม้ความคิดถึงบ้านหลังเดิมจะไม่มีวันจางหายไปไหน แต่มันจะกลายเป็นความคิดถึงแบบอบอุ่นใจ ไม่ใช่ความทรมานอีกต่อไป
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...