Pages

วันอังคาร, ธันวาคม 27, 2554

ถกเถียงกัน ของขวัญให้ครู

สองสามวันมานี้ได้ถกเถียงกับคนเป็นพ่อแม่บางคนเรื่องการให้ของขวัญคุณครู ว่ามันถือเป็น 'สินบน' หรือ 'สินน้ำใจ' และควรให้หรือไม่ควรให้ บางคนบอกว่ามันเหมือนกับหน้าที่ของพนง.ขายที่ต้องนำของขวัญไปมอบให้ลูกค้าทุกสินปีนั่นแหละ ฉั้นบอกว่ามันไม่เหมือน เพราะลูกค้าให้เงินเดือนเราด้วยการซื้อของของบริษัทเรา บริษัทต้องตอบแทนบ้างไรบ้างเป็นหน้าที่ แต่เค้าบอกว่าการให้ของขวัญคุณครูก็เป็นหน้าที่พ่อแม่ต้องตอบแทนเพราะหวังให้ดูแลลูกเล็กๆของเราให้ดี ถือเป็นวิธีเดียวกันไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไร แต่ฉั้นไม่เห็นด้วยและมองว่า มันเป็นคนละภาระหน้าที่ การเป็นพ่อแม่ควรสามารถพิจารณาได้ว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ เพราะฉั้นเชื่อว่า สำหรับพ่อแม่ที่ต้องจ่ายค่าเทอมให้โรงเรียน ก็ต้องหวังอยากให้้คุณครูทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และคุณครูที่ดีก็ควรทำหน้าที่โดยไม่หวังผลตอบแทน หากครูทำหน้าที่ได้ดีการขอบคุณด้วยของขวัญเล็กๆน้อยๆในวันครูก็ดูเหมาะสม แต่ไม่ใช่การให้เพื่อจ้างวานเป็นพิเศษและให้ในเทศกาลพิเศษและในรูปแบบและปริมาณที่แตกต่างกันไป

ฉั้นไม่ได้เติบโตมากับสังคมแบบที่พ่อแม่ต้องไปจ่ายค่าอานิจสินจ้างอะไรเป็น 'สินบน' เพื่อให้ลูกๆได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การถกเถียงกันเรื่องนี้มันเลยกัดกร่อนหัวใจฉั้นมาก เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่า ค่านิยมการให้และรับ 'สินบน' และ 'สินน้ำใจ' นั้น เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ไปแล้วสำหรับพ่อแม่บางคน แถมหลายคนมองว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน จะให้แบบ สินน้ำใจ ตามสมควร ตามกำลัง หรือจะให้แบบ สินบน แล้วบอกว่านั่นคือ สินน้ำใจ ก็ไม่แปลก ซึ่งแบบหลังนี้น่ากลัวเพราะมันทำให้ครูเสียนิสัย ที่สำคัญโรงเรียนที่ดีควรเปิดโอกาสให้ครูแบมือรับสินบนหรือสินน้ำใจหรือไม่ เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณครูที่รับสินน้ำใจจากเราและก็รับสินบนจากคนอื่นจะดูแลเด็กๆอย่างเสมอภาค ทุกคนต่างก็จ่ายและจ่าย ให้และให้ จนทุกคนตกอยู่ในสภาพการแข่งขันแบบไม่เต็มใจโดยมี "ลูกๆ" เป็นข้อต่อรองอยู่ในกำมือครู ความกลัวและกังวลว่าลูกจะไม่ได้รับการดูแลจึงต้องหอบหิ้วของขวัญไปกำนัลคุณครูเพื่ออย่างน้อยให้พ่อแม่รู้้สึกโล่งใจขึ้นหนึ่งเปราะ เด็กๆไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยหรอกแต่ต้องเติบโตมาในสังคมที่พ่อแม่นี่แหละสร้างค่านิยมคอร์รัปชั่นขึ้นตั้งแต่ในโรงเรียนที่ส่งลูกหลานไปเรียนแล้วโดยมีครูบาอาจารย์เป็นผู้รู้เห็นเป็นใจ 

ฉั้นไม่ได้เป็นคนใจร้ายใจดำ หรือแล้งน้ำใจอะไร แต่ถ้าเราแยกแยะในเรื่องศิลธรรมและการทำหน้าที่ของตัวเองได้ออก มีกฏระเบียบรองรับชัดเจน คนเข้าใจและเคารพในกฏนั้น ทุกคนจะทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่หวังผลตอบแทนและทุกคนได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม เหมือนในประเทศนิวซีแลนด์ที่ ตำรวจไม่รับเงิน พนักงานสถานทูตไม่รับของขวัญ คนเคารพกฏหมายและกฏระเบียบสังคม ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองตามเงินเดือนที่ตัวเองได้รับ และรับผิดชอบสังคมด้วยการจ่ายภาษีในอัตราเท่ากัน ไม่มีการคอร์รัปชั่นเกลื่อนเมือง แถมยังมีคุณภาพชีวิตที่ดี 

ไม่แปลกใจเลยที่สถิติของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์ปัญหาคอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index: CPI) ที่จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ปี 2552 จาก 178 ประเทศ ประเทศไทยจึงรั้งท้าย ตกอยู่อันดับที่ 78 ที่ถือว่าเป็นประเทศที่มีความโปร่งใสน้อยมาก

ประเทศที่มีความโปร่งใสมากที่สุด คือ
1.  เดนมาร์ก นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ เป็นกลุ่มประเทศที่ครองตำแหน่งที่หนึ่งร่วมกัน รวม 9.3 คะแนน 
4.  ฟินแลนด์ และสวีเดน 9.2 คะแนน 
6.  แคนาดา 8.9 
7.  เนเธอร์แลนด์ 8.8 คะแนน 
8.  ออสเตรเลีย และสวิสเซอร์แลนด์ 8.7 คะแนน 
10.  นอร์เวย์ 8.6 คะแนน
................
................
ประเทศไทย คะแนน 3.5 อยู่อันดับที่ 78
ปี 2552 ประเทศไทยอยู่อันดับ 84 คะแนน  3.4

เอ...แล้วอย่างงี้คนไทยมีความสุขกันมากน้อยแค่ไหน ฉั้นอยากรู้จัง?

ปี 2551-2552 สถิติพบกว่าคนไทยมีสุขภาพจิตอยู่ในระดับปกติเหมือนคนทั่วไป (27-34 คะแนน) และยังพบว่ามีคะแนนสุขภาพจิตที่จัดว่าอยู่ในระดับดี (มากกว่า 34 คะแนน) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27.7 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 37.7 ในปี 2552 แสดงว่าคนไทยมีความสามารถในการปรับตัวเป็นเลิศ รับได้กับทุกสถานการณ์ ทั้งเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม โอ้วว....คนไทยชนะเลิศ แต่หากพิจารณาคะแนนสุขภาพจิตของผู้ที่อยู่ในเขตเมืองแม้อยู่ในระดับปกติแต่ลดลงจาก 32.6 คะแนน ในปี 2551 เหลือ 31.7 คะแนน ในปี 2552 ซึ่งอาจเนื่องมาจากปัญหาต่างๆ และสถานการณ์บ้านเมืองที่ตึงเครียด จึงทำให้คะแนนสุขภาพจิตของคนในเขตเมืองลดลงเล็กน้อย นี่คงหมายความว่าแม้คนไทยโดยรวมจะสามารถปรับตัวไปตามสังคมโดยไม่ยึดติดอะไรใดๆได้เก่งแล้ว แต่คนในสังคมเมืองก็ยังตึงเครียดอยู่มากเหมือนกัน (แหล่งข้อมูล: มองไทย...หลังวิกฤตเศรษฐกิจ)

แต่สิ่งที่ไม่น่าดีใจเลยก็คือ คนไทยมีหนี้สินเพิ่มขึ้นเยอะมากด้วย ปี 2552 คนไทยมีหนี้มากขึ้นถึง 60.9% 
เพราะคนไทยมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่
- ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 34.2% (ซึ่งในจำนวนนี้มีค่าเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ร้อยละ 1.4) 
- ค่าที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ภายในบ้าน 20.1%
- ใช้เกี่ยวกับการเดินทางและยานพาหนะ 17.7%
- ใช้ส่วนบุคคล/เครื่องนุ่งห่ม/รองเท้า 5.4% 
- ใช้ในการสื่อสาร 3.1%
- ใช้ในการบันเทิง/การจัดงานพิธีและในการศึกษา 2.3%-2.1%
- ค่าเวชภัณฑ์/ค่ารักษาพยาบาล 1.9%
- กิจกรรมทางศาสนา 1.1%
แต่ที่สูงจนอึ้งก็คือ 12.1% - เป็นค่าภาษีของขวัญ เบี้ยประกันภัย ซื้อสลากกินแบ่ง/หวย ดอกเบี้ย และหนี้สินเกิดจากซื้อบ้าน/ที่ดิน

จริงๆฉั้นก็ไม่รู้หรอกว่า ตกลงเราควรตอบแทนคุณครูด้วยอะไรดี รู้แต่ว่าคุณครูที่ดีจริงๆอาจดูแลเด็กๆด้วยใจ บางทีเค้าอาจไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนก็เป็นได้ แค่พานพุ่มและกราบงามๆตามธรรมเนียม หรือของขวัญเล็กๆน้อยๆก็คงปลาบปลื้มแล้ว อยากให้คนเป็นพ่อแม่สามารถพิจารณาให้ลูกได้ว่าการให้ในลักษณะไหนคือการขอบคุณ และลักษณะไหนคือการจ้างวานเป็นกรณีพิเศษ

สุดท้ายไม่ว่าการตอบแทนและการให้จะเกิดจากใจ การแข่งขัน หรือความกลัวก็ตาม ฉั้นว่าการที่ไม่มีกฏระเบียบกำหนดชัดเจนในการรับและการให้ในลักษณะนี้ มันก็จะต้องขึ้นอยู่กับ วิจารณญาณและสามัญสำนึก แต่ธรรมชาติของคนไทยก็มักทำอะไรเพื่อให้ตัวเองสบายใจเป็นหลักก่อน แถมสิ่งที่แปลกอยู่อีกอย่างก็คือ สิ่งที่คนเกลียดและกลัวมากที่สุด ก็คือไอ้คำว่ากฏระเบียบนี่แหละ ไม่รู้ทำไม!! 

วันอังคาร, ธันวาคม 06, 2554

สุขสันต์วันพ่อ

ฉั้นเกิดและเติบโตมาในครอบครัวเล็กๆ ที่ไม่ได้มีกฏระเบียบอะไรในครอบครัวมากมาย มีพี่น้อง 4 คนที่รักกันเหมือนเพื่อนแท้ พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง เติบโตมาด้วยกัน แม้้จะทะเลาะกันบ้างตามประสาเด็ก เวลานึกย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็ก จำได้แม่นยำในความเชื่อที่ว่า 'พ่อดุมาก' และ 'แม่ใจดีสุดๆ' ความต่างกันคนละขั้วของเค้าทั้งคู่ทำให้ฉ้ันเห็นเค้าสองคนทะเลาะกันเป็นประจำ ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับดีกรีสัญชาตญานของการปกป้องลูกของแม่ เพราะแม่เชื่อว่าการสั่งสอนลูกมากๆลูกจะเสียใจหรืออาจกระทบกระเทือนจิตใจลูกๆได้ เพราะพ่อเป็นคนเสียงแข็ง ดุ และเจ้าระเบียบ หลายครั้งฉั้นจึงตกอยู่ท่ามกลางศึกระหว่างเค้าทั้งคู่ โดยไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วใครผิดใครถูก แต่ทุกครั้งหลังเสร็จศึกสงคราม แม่ก็จะมานั่งปรับทุกข์กับฉั้นหรือลูกคนอื่นๆอยู่เสมอ พร่ำบ่นน้อยใจต่างๆนานา ทำให้รู้สึกสงสารแม่จับใจ และเพราะความเป็นเด็ก ทำให้ไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ จึงตัดสินว่า พ่อใจร้าย เกือบทุกกรณีไป

พ่อเป็นคนเดียวที่ทำหน้าที่หาเงินจุนเจือครอบครัว เห็นพ่อตื่นตั้งแต่เช้าตรู่โดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก ทำงานทุกวันเกือบไม่เว้นวันหยุด เห็นพ่อทำงานอย่างไม่เคยขาด ลา มาสาย พ่อชอบคุยเรื่องการเมือง เรื่องข่าวสารบ้านเมืองมาก จึงมีพี่สาวคนโตของฉั้นเป็นคู่สนทนาตัวยง ส่วนฉั้นนะเหรอ...เด็กประถมถึงมัธยม(ต้น)จะไปคุยเรื่องพวกนั้นรู้เรื่องได้ยังไงกัน เมื่อคุยไม่เป็นก็เลยไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับพ่อดี เป็นสาเหตุให้การสื่อสารระหว่างพ่อกับฉั้นน้อยลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ฉั้นเป็นแม่บ้าน อยู่บ้านเลี้ยงลูก จึงมีเวลาให้ฉั้นเต็มๆ ซึ่งก็ได้เปรียบพ่อไปหลายขุม การมีแม่ที่เป็นผูู้ฟังที่ดี รับฟังเราได้ทุกเรื่อง เป็นที่ปรึกษาและพูดคุยที่ดีที่สุดในโลก การได้นอนหนุนตักหนาๆนุ่มๆของแม่และพูดคุยกับแม่จึงเป็นเวลาที่อบอุ่นเหนือสิ่งอื่นใด ต่างจากเวลาที่พ่อกลับจากงาน พ่อมักจะเหนื่อยล้าและอารมณ์ขุ่นเคือง เวลาเห็นบ้านรกพ่อก็บ่น บางวันไม่มีอาหารเย็นเตรียมไว้พ่อก็โมโห และเริ่มศึกกับแม่ทุกทีไป จึงเป็นหน้าที่ของฉั้นโดยไม่รู้ตัว ที่ต้องเหยียบหลัง นวดไหล่ ด้วยสองมือสองเท้าเล็กๆ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อย เมื่อยล้าให้พ่อ บางวันก็นั่งขัดรองเท้าให้พ่อจนเงาวับ แม้จะแอบเบื่อหน่ายอยู่เล็กๆ แต่มานั่งนึกตอนนี้ ...​ นอกเหนือจากการเป็นเด็กดี ไม่ดื้อรั้นแล้ว ไม่เคยรู้ตัวเลยว่านั่นแหละเกือบจะเป็นสิ่งเดียวที่ฉั้นได้มีโอกาสทำเพื่อพ่อ 

พ่อชอบพาพวกเราไปวัด เราเข้าวัดกันตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ภาพที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันจะฝังอยู่ในความทรงจำของฉั้นตลอดมาจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่คำสอนของพ่อ ฉั้นก็ยังจำได้ขึ้นใจ  พ่อสอนให้ตั้งใจเรียน ให้ใช้เงินอย่างประหยัด ให้ดูแลบ้านช่องให้สะอาด ให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ฯลฯ พ่ออยากให้พวกเราเป็นเด็กดี เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ตอนนี้ฉั้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ผ่านเรื่องราวทั้งร้ายทั้งดีมานักต่อนัก อ่อนแอจนเข็มแข็ง อ่อนล้าจนแข็งแกร่ง ผ่านการให้อภัยตัวเองและคนอื่นในหลายๆแง่มุมในอดีต สามารถดำเนินชีวิตอย่างเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ส่วนหนึ่งมาจากคำสอนของพ่อที่ก้องกังวาลอยู่เสมอ และความอบอุ่นและการรับฟังของแม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดในโลก 

วันนี้ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเค้าทั้งคู่จะต่อสู้กันมาหนักหนาสาหัสขนาดไหน ไม่สำคัญว่าเค้าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหรือไม่ สำคัญที่สุดคือ ฉั้นเข้าใจและรับรู้ถึงความรักของพวกเค้า ที่ไม่มีคำว่าลำเอียง ไม่มีคำว่าไม่เท่าเทียม และไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว

แม้เราไม่เคยบอกรักกันด้วยคำพูดเลย และแม้รู้ว่าพ่อคงไม่ได้เข้ามาอ่าน แต่ฉั้นก็อยากบอกเค้าว่า
รักพ่อและแม่มากที่สุด ขอบคุณความรักของทั้งคู่ที่มีให้เราเสมอมา
สุขสันต์วันพ่อค่ะ  


วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 17, 2554

Culture Shock เมื่อออกนอกกะลา

คนไทยถูกสอนให้ไม่ตัดสินคนจากภายนอก
คนต่างชาติมองคนที่ภาพลักษณ์์ภายนอกเป็นอันดับแรก
คนต่างชาติส่วนใหญ่เชื่อและตัดสินคนจากภาพแรกที่เห็น ส่วนใหญ่จะตัดสินว่ามีหรือจนไว้ก่อน หลายๆคนมีความเชื่อว่าถ้าภาพลักษณ์ภายนอกดูไม่ดี ก็ไม่มีใครอยากจะรู้จักถึงเบื้องลึกของจิตใจ หลายคนจึงทำงานหนักกับตัวเอง ใส่ใจตัวเองมากๆ ไม่ยอมแก่ ไม่ยอมเหี่ยว ศัลยกรรมเลยเป็นที่นิยมมาก
ในขณะที่คนไทยก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ดูดีแบบธรรมชาติ สวยก็สวยแบบธรรมชาติไปเลย เพราะเชื่อว่าต้องรู้จักให้ลึกถึงจิตใจถึงจะตัดสินได้ว่าเป็นคนจิตใจดีรึป่าว ก็ดีนะ ทุกคนเลยต้องฝึกให้สวยมาจากภายในจิตใจ

การทำร้ายผู้อื่น ทั้งทางร่างกาย วาจา และใจ ถือเป็นความผิดที่แจ้งตำรวจจับได้นะ โดยเฉพาะกับเด็ก
ถ้าโดนตี โดนทำร้ายร่างกาย แม้จะโดยพ่อแม่ พ่อแม่ก็โดนจับได้
คนไทยหลายคนยังเติบโตมาครอบครัวหรือโรงเรียนที่ทำโทษด้วยการตี สามีภรรยาหลายคู่ยังตบตีกันเป็นว่าเล่น และตำรวจยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากมายนักอยู่เลย

คนไทยนิยมตั้งคำถามที่เกี่ยวโยงเข้ากับเรื่องส่วนตัวเพื่อแสดงมารยาทและให้ความสนิทสนม
คนต่างชาตินิยมตั้งคำถามแบบข้อมูลเพื่อเลี่ยงการเกี่ยวโยงกับเรื่องส่วนตัวเพราะถือว่าผิดมารยาท 
คนไทยถามเรื่องส่วนตัวกันหน้าตาเฉยจนบางครั้งคนตอบลำบากใจ แต่ถ้าถามแล้วไม่ตอบกลับกลายเป็นคนตอบผิดมารยาท แต่สำหรับฝรั่งถ้าคนถามถามคำถามเกี่ยวโยงกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องที่คนตอบไม่อยากตอบ ถือว่าคนถามผิดมารยาท ก็แค่บอกให้รู้ไปเลยว่า 'None of your business!' หรืออย่างรักษาน้ำใจก็ 'I don't feel comfortable to talk about this.' เป็นอันว่าจบบทสนทนา 

คนไทยติดกับสังคมแบบพึ่งพาอาศัยกัน
คนต่างชาติอยู่ในวัฒนธรรมของการพึ่งพาตนเอง
ไม่แปลกที่จะเห็นคนไทยบางคนไว้ใจคนอื่นได้ทั้งที่ไม่ใช่แม้แต่คนรู้จัก เกรงใจคนอื่นทั้งที่ไม่ใช่แม้แต่คนในครอบครัว ยอมมองข้ามบางสิ่งบางอย่างแล้วให้อภัยทั้งที่ไม่ใช่แม้แต่เพื่อน เพราะนั่นคือสังคมไทยที่พยามมีข้อแม้กับชีวิตให้น้อยๆ มีไลฟ์สไตล์แบบเรียบง่าย เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้สบายๆ แบบที่ฝรั่งไม่นิยมและทำไม่เป็นซะด้วยซ้ำ
ฝรั่งที่มองการณ์ไกลจะทำงานหนักและเริ่มเก็บเงินตั้้งแต่เนิ่นๆเพื่อไว้ใช้ในวัยเกษียณโดยไม่พึ่งพาใครแม้แต่ลูกหลาน

คนไทยมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างขึ้นอยู่กับคนหมู่มาก 
คนต่างชาติมีความคิดเห็นที่เป็นของตัวเอง
คนไทยมักยอมมีความคิดเห็นคล้อยตามคนหมู่มากได้ในหลายๆการตัดสินใจ อาจเพราะไม่มั่นใจความคิดตัวเองว่าถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี อายที่ต้องแสดงความคิดเห็นที่เป็นของตัวเอง กลัวที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง เผลอๆบางที...ไม่มีความคิดเห็นเลยซะด้วยซ้ำ เพราะถูกปลูกฝังมาให้สงบปากสงบคำ เกรงใจผู้อื่น ไม่พูดสอดแทรกผู้ใหญ่ ฯลฯ ในขณะที่พวกฝรั่งจะอายมากถ้าไม่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง หรือไม่ได้พูดสอดแทรกเพื่อแสดงการโต้แย้ง หรือ แม้แต่การคล้อยตามความคิดเห็นคนอื่นไปแบบง่ายๆ ก็เป็นเรื่องน่าแปลกได้เหมือนกัน

คนไทยหลายคนแสดงออกคล้ายกับเป็นเด็กอายุ 18 ตลอดเวลา
คนต่างชาติส่วนใหญ่เมื่ออายุครบ 18 เค้าเชื่อว่าพวกเค้าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
พวกเค้าจะพยามตัดสินใจด้วยตัวเอง พยามแสดงออกทางความคิดและท่าทาง การพูดจา รวมทั้งการแต่งตัว เพื่อให้สมกับอายุ (Age approriate) และเมื่อคิดว่าดูแลตัวเองได้แล้ว เค้าจะย้ายออกไปอยู่ลำพัง จะไม่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ เพราะต้องการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง (ผิดบ้างพลาดบ้างก็มีเยอะ) ส่วนพ่อแม่เองส่วนใหญ่ก็อึดอัดที่ลูกบางคนไม่ยอมออกไปอยู่ข้างนอก ไปดูแลตัวเองกันซักที ฝรั่งหลายๆคนจึงดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายช่วงตัว ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเทียบกับคนไทย ฝรั่งหลายคนถึงกับอึ้งว่า ทำไมคนไทยดูเด็กจัง ทั้งหน้าตา บุคลิก ท่าทาง ก็พ่อแม่คนไทยยังนิยมบอกว่าลูกๆของตัวเอง 'ยังเด็กอยู่' เสมอ ต้องอยู่ในกรอบ ในกฏ ในระเบียบ คนไทยก็เลยดูเป็นเด็กตลอดกาล

คนไทยให้ความสำคัญเรื่อง อายุ
ฝรั่งไม่สนใจใครอายุเท่าไร ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียม
เป็นธรรมดามากที่เห็นพ่อแม่ลูกคุยกันราวกับเป็นเพื่อน ไม่มีคำสอนชัดเจนเรื่องการต้องตอบแทนบุญคุณ พี่น้องไม่ค่อยสนว่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง ครูกะลูกศิษย์ยังเล่นหัวกันได้ หรือแม้แต่คนชราก็ต้องดูแลตัวเองกันไป ใครอยากพูดอะไรตอนไหนก็พูด อาการ 'เถียงหัวชนฝา' มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แถมบางทีพวกเค้าตะโกนใส่หน้ากันซะงั้น แล้วบอกว่านี่ล่ะคือวิธีสื่อสารกันของพวกเค้า เอิ๊กกก ช๊อค!! คำถามเรื่องอายุ สำหรับฝรั่งเลยกลายเป็นเรื่องผิดมารยาท
ไม่เหมือนคนไทยที่ต้องไหว้อย่างอ่อนน้อม เรียกพี่ เรียกน้องให้รู้ใครเด็กใครผู้ใหญ่ โดนตำหนิติเตียนเป็นเรื่องใหญ่ถ้าไม่มีสัมมาคารวะ นั่งค้ำหัวผู้ใหญ่ ใครไม่ลุกให้คนแก่นั่งบนรถเมล์ถือว่าใจดำ ฯลฯ

คนไทยจึงอยู่ในสังคมที่คนส่วนใหญ่ให้ความเคารพยำเกรงกัน
ส่วนคนต่างชาติส่วนใหญ่ชอบเรียกร้องอยากให้คนอื่นให้ความเคารพยำเกรง ทั้งที่ตัวเองทำไม่เป็น!

โรงเรียนยันมหา'ลัย เด็กไทยใส่ยูนิฟอร์ม ห้ามสำอางค์ ห้ามแต่งหน้า ห้ามไว้เล็บ ห้ามปล่อยผม ฯลฯ
โรงเรียนฝรั่งไม่มียูนิฟอร์ม เด็กแข่งกันแต่งตัว แต่งหน้า ทาปาก แข่งกันสวย แข่งกันมีแฟนตั้งแต่อายุ 14
ในโรงเรียนฝรั่งขึ้นชื่อเรื่องเด็กอันธพาล หรือ Bully ที่มีนิสัยชอบ ล้อเลียนและกลั่นแกล้ง คนที่อ่อนแอกว่า เด็กผู้ชายอาจต่อยตีไปตามประสา แต่เด็กผู้หญิงจะโจมตีกันด้านรูปร่างหน้าตาให้ได้เจ็บช้ำน้ำใจ เช่น ล้อว่าอ้วน ขี้เหล่ จมูกใหญ่ ฟันเหยิน น่าเกลียด ต่างๆนานา จริงบ้างไม่จริงบ้าง ใครที่โดนล้อจะกลายเป็นคนที่ไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ เด็กบางคนทนแรงกดดันไม่ไหว ก็ต้องไปเรียนที่บ้านแบบ Home School แทน น่าสงสารเน๊อะ แค่อ้วนก็ผิดด้วย เครียดแต่เด็กเลย!

คนไทยชื่นชอบการผูกมิตรไมตรี
ฝรั่งใช้ชีวิตอยู่กับการแข่งขัน
เห็นฝรั่งแข่งขันกันได้แข่งขันกันดี ไม่ว่าเรื่องเรียน เรื่องรัก เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เรื่องอาหารการกิน เรื่องความสวยความงาม เรื่องความสามารถพิเศษ เรื่องการประสบความสำเร็จ ฯลฯ เหมือนการแข่งขันซึมลึกอยู่ในสายเลือด จะเห็นเกมโชว์และเรียลลิตี้มากมายหลายรายการที่ทำเงินได้มหาศาล ด้วยกันนำคนมาแข่งกันทำเรื่องไร้สาระให้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นขึ้นมาได้ เช่น หาคู่เดทแข่งกัน แข่งกันเอาชนะใจผู้ชายคนเดียว หรือแข่งอยู่ร่วมกันในบ้านหลังหนึ่งโดยไม่ให้ถูกโหวตออก เป็นต้น ผู้คนส่วนใหญ่ต่างตกอยู่ในสังคมที่ต้องพิสูจน์ว่า ดีกว่า เหนือกว่า เป็นที่มาของคำว่า 'Ego' ที่หลายๆคนไม่ยอมก้มหัวให้ใครก็เพราะคำๆนี้
การอยู่เมืองนอก รอยยิ้มพิมพ์ใจ จึงไม่ส่งผลดีได้ในหลายๆโอกาส
ผิดกับคนไทยที่ยอมๆหยวนๆกันได้ตลอดเวลา หากต้องแข่งขันกับใครจะรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่มีความสุข บางคนประหม่า กลัวจนขนลุกขนพองก็มี มันไม่ชินอ่ะ รู้สึกกดดัน(ตัวเอง)


อาหารไทยเราจะไม่ยึดติดกับมารยาทและลำดับการเสิร์ฟมากมาย
เมนูไหนเสร็จก่อนเสิร์ฟก่อนก็ได้ ยิ่งปาร์ตี้สไตล์ชาวบ้าน ปูเสื่อนั่งเปิบกับพื้น หยิบกิน จิ้มกิน หนุกหนาน
 แต่อาหารฝรั่ง จะให้ความสำคัญกับเรื่องการเสิร์ฟตามลำดับก่อนหลัง
อาหารว่าง อาหารคาว อาหารหวาน โดยเฉพาะตามร้านอาหารดีๆ แถมอุปกรณ์ในการรับประทานก็ไม่ควรสับสน ฝรั่งเข้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนในเมืองไทยที่เสริ์ฟโดยคนไทย เห็นคนไทยเสิร์ฟสลัดพร้อมพาสต้า ถึงกับงง! แถมบางร้านไม่รู้มารยาทการเสิร์ฟไวน์ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าอาย(แต่เราก็ไม่อาย อิ๊ อิ๊!)

เมืองไทยมีอาหารขายตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งข้างทาง ต้นซอย ยันท้ายซอย และเซเว่นอีเลเว่น
เมืองนอก ไม่มีอาหารขายข้างทาง มีแต่ในร้านอาหาร ร้านเบเกอร์รี่ ห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดกันตั้งแต่หกโมงเย็น แถมวันอาทิตย์ก็ปิดอีก พวกร้านที่เปิดขายตลอด 24 ชั่วโมงจะหายากมาก
การทานอาหารนอกบ้านก็แพงมากด้วย คนอยู่เมืองนอกจึงต้องฝึกทำอาหารกินเองไปโดยปริยาย
ไม่เหมือนเมืองไทย และอาหารไทยอะไรก็อร่อยไปหมด คนไทยเลยกินได้ตลอดเวลา จนมีสุขลักษณะและนิสัยกินที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องสุขภาพซักเท่าไร ก็มันอร่อยนี่!

อาหาร เช้า กลางวัน เย็น ของคนไทยเหมือนกัน คือ จะกินอะไรตอนไหนก็ได้
กินข้าวเหนียวหมูปิ้งในมื้อเย็นก็ได้ กินข้าวจานโตๆในมื้อเช้าก็ได้ กินอาหารเผ็ดๆเป็นมื้อเช้ายังได้เลย อันนี้ฝรั่งเห็นก็ตกใจเหมือนกัน

คนไทยรู้จักพิซซ่าและคิดว่าพิซซ่าที่อร่อยควรมีทั้งแบบแป้งหนานุ่ม แป้งบางกรอบ กินกับซอสมะเขือเทศ พริกป่น หรือออริกาโน่แห้งแล้วแต่ชอบ
พิซซ่าของแท้ นิยมแบบแป้งบางกรอบ และเพิ่มรสชาติด้วยการเหยาะน้ำมันมะกอก(Olive Oil) เท่านั้น  

เมื่องไทยไม่มีวันไหนที่ห้างสรรพสินค้าปิด
ที่บราซิลและนิวซีแลนด์(เข้าใจว่าอีกหลายประเทศทางซีกโลกตะวันตกน่าจะคล้ายกัน) ห้างสรรพสินค้าปิดช่วงวันหยุดราชการ วันปีใหม่ วันคริสต์มาส หากจะเปิดก็จะเปิดหลังบ่ายสองโมงเป็นต้นไปเท่านั้น เพื่อให้สิทธิ์ทุกคนได้หยุดพักผ่อนเหมือนกัน

ผู้หญิงไทยตั้งท้อง จากนุ่งยีนส์เปลี่ยนเป็นสวมชุดนอน
ฝรั่งตั้งท้อง ขอนุ่งยีนส์ และบิกินี่ ให้สบายใจ
ฝรั่งนิยมออกกำลังกายตอนตั้งท้อง ด้วยการ เดิน วิ่งเบาๆ ว่ายน้ำ เพื่อให้ลูกในท้องแข็งแรง ชุดคลุมท้องของเค้าจะเป็นกางเกงยีนส์ที่มีผ้ายืดๆยึดติดกับเอวกางเกงยีนส์เพื่อใช้พยุงท้องกลมๆ หรือไม่ก็เสื้อผ้าแฟชั่นคนท้องไปซะเลย
แต่จะไม่มีชุดคลุมท้องแบบคนไทยที่ออกแบบคล้ายชุดนอน!!

คนไทยรักเด็ก เห็นเด็กเล็กๆน่ารักๆ โดยเฉพาะเด็กฝรั่ง จะเข้าไปทักทายเล่นด้วย
ฝรั่งไม่ชอบ!!
ฝรั่งไม่ไว้ใจใคร โดยเฉพาะคนที่ชอบมาเล่นกับลูกตัวเอง ฝรั่งจะหวง และห่วง และกังวลมาก
ยิ่งไปแตะต้องตัวลูกเค้าก็ยิ่งแล้วใหญ่
สังคมเค้ามีคดีลักพาตัวเยอะน่ะ และเด็กฝรั่งก็น่ารักๆกันทั้งนั้นอีกด้วย เลยไม่มีใครตื่นเต้นที่เห็นลูกคนนั้นคนนี่น่ารัก

การโชว์เนื้อหนังมังสา การกอด จูบ แตะเนื้อต้องตัว รวมไปถึงเรื่องเซ็กซ์
สำหรับฝรั่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
คำว่า 'One night stand' หรือการมีความสัมพันธ์กันแค่ชั่วข้ามคืน ฝรั่งเค้าหมายความตามนั้นจริงๆ
ถ้าบังเอิญใครไปมีความสัมพันธ์แบบ one night stand แล้วผิดหวังที่ไม่มีการติดต่อกลับมาในวันรุ่งขึ้น
ก็จงทำใจเถอะจ๊ะ

อีกเรื่องที่แตกต่าง คือ ฝรั่งไม่สามารถเข้าใจคนไทยได้ในเรื่อง ความรักที่มีต่อสถาบันกษัตริย์
ฝรั่งเข้าใจว่าหากเราเรียกสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า 'สถาบัน' นั่นหมายความว่าเป็นสิ่งที่สังคม จัดตั้งให้มีขึ้นเพราะเห็นประโยชน์ว่ามีความต้องการและจำเป็นแก่วิถีชีวิตของคน แต่สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่แตะต้องได้ วิพากษ์วิจารย์ได้ และเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม เฉกเช่นเดียวกับ สถาบันกษัตริย์ของอังกฤษ แต่เมื่อเห็นคนไทยรักและเทิดทูน สถาบันกษัตริย์ไทย ในทางตรงข้าม...การวิพากษ์วิจารย์ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและห้าม พวกเค้าจึงแปลกใจ ฉั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกันว่า เป็นเพราะเราถูกปลูกฝังมาเนิ่นนานว่าพระมหากษัตริย์ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความรัก เคารพ เทิดทูนอย่างสูงสุดของปวงชน และคนไทยถือว่าพระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนสมมุติเทพ
ฝรั่งไม่เข้าใจหรอก เพราะฉั้นเอง...ตอนนี้ก็เริ่มไม่เข้าใจเหมือนกัน นับตั้งแต่มีคนบางกลุ่มที่ใช้ 'ความรัก' ที่คนไทยมีต่อพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง เป็นข้อต่อรองกระทำการบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจ และใช้ประโยชน์จาก 'ความรัก' นั้น เสมือนเป็น 'จุดอ่อน'


ในความเหมือน ประเทศไทยมีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
ประเทศอื่นก็มีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคมเหมือนกัน
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ประสบปัญหาการเมืองที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีนักการเมืองคอร์รัปชั่น ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีคนเห็นแก่ตัวมากมาย ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ไว้ใจนักการเมืองไม่ได้ ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีปัญหาข้าวยากหมากแพง ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีประชากรเกือบล้นประเทศ ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ไม่ได้ผู้นำประเทศที่ถูกใจซักที ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีปัญหาขัดแย้งทางความคิด ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีทั้งคนรวยและคนจนปนเป ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีคนรวยดูถูกคนจน ไม่ใช่ประเทศเดียวที่คนมีการศึกษาเอาเปรียบคนด้อยการศึกษา ไม่ใช่ประเทศเดียวที่.......ฯลฯ
เพราะเหตุผลข้อเดียว .... ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวบนโลกใบนี้

วันเสาร์, พฤศจิกายน 05, 2554

ธรรมชาติอาจให้คำตอบ

ตอนนี้แม่ฉั้นไม่มีบ้านอยู่ เพราะบ้านแม่จมน้ำไปแล้ว น้องชายก็กำลังบวช ส่วนพ่อก็ตั้งใจทำงานรับใช้ศาสนาหลังเกษียรช่วงนี้เลยตามดูแลพระ(น้องชาย)ไปพลางๆระหว่างบวชให้ครบหนึ่งพรรษา ฉั้นอยู่ไกลได้แต่ส่งกำลังใจไปให้คนทางบ้าน เหลือแต่พี่สาวคนโตที่ต้องคอยดูแลแม่ งานก็ต้องทำ แม่ก็ต้องดูแล แถมต้องคอยวางแผนพาแม่หนีน้ำอีก!!

คนทุกคนมีความทุกข์กันทั้งนั้น แต่ใครบ้างที่จะเห็นแก่ตัว แบ่งปันแต่ความทุกข์ของตัวเองไปให้คนอื่น แต่เก็บความสุขไว้กับตัว ไม่เผื่อแผ่ให้ใครเลย การมีความสุขอยู่คนเดียว ความสุขมันไม่ใหญ่เท่ากับการแบ่งปันความสุขให้คนอื่นด้วยหรอก พี่สาวฉั้นเข้มแข็งมากที่ต้องคอยกระเตงแม่ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยโดยไม่แสดงอาการท้อแท้ แม้ตัวจะอยู่ไกลแถมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่คนเดียวแต่ฉั้นยังเชื่อในพลังและคุณค่าของความรักและการร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่นะ  และก็เชื่อเรื่องกฏแรงดึงดูดด้วย เคยได้ยินกฎแห่งแรงดึงดูดของจักรวาลมั้ย คนเราสามารถใช้กฏแรงดึงดูดของจักรวาลสร้างผ่านความรู้สึกนึกคิดของเราได้นะ 'ทุกสิ่งที่เราคิดคือสิ่งที่เป็นจริง' ถามตัวเองว่าเราจะใช้พลังแห่งความคิดนั้น สร้างสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ร้ายให้เป็นจริงในชีวิตเรา?

ภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่ไม่รู้เมื่อเทียบกับภัยความแตกแยกของคนในชาติ อันไหนจะร้ายแรงกว่า ภัยอันหลังนี้ได้ทำลายความรักและความสามัคคีของคนไทยไปมาก และสร้างความโกรธเคือง เครียดแค้น ลำเอียง และใจแคบให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีคูณ เป็นเหมือนพลังแห่งการดึงดูด ที่ดึงดูดแต่ความเลวร้ายมาสู่ เพื่อตอบสนองความคิดนั้นให้เป็นจริง! ฉั้นเคยได้ยินว่าคนไทยเมื่อก่อน เค้าทำอาหารก็เอาไปแบ่งปันเพื่อนบ้าน ไม่อยู่บ้านก็ฝากคนข้างบ้านดูแลบ้านให้ งานบุญทีไรก็ตุเลงกันไปช่วยลงมือลงแรง รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนญาติโกโหติกา มาวันนี้ถ้าถามคนที่อยู่ในกรุงเทพ พวกเค้าคงบอกว่า ภาพลักษณ์แบบนั้นน่าจะเหลืออยู่แต่ในต่างจังหวัดแล้วมั้ง แปลว่าคนต่างจังหวัดยังรัก ช่วยเหลือและแบ่งปันกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนญาติโกโหติกา อย่างงั้นรึป่าว แล้วคนกรุงเทพละ อยู่กันยังไง รักกันยังไง รักแล้วแสดงออกยังไง หรือทำมาหากินกันอย่างเดียว เมื่อมีงาน มีเงิน ก็ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือขอความช่วยเหลือจากใคร จึงไม่มีโอกาสได้แบ่งปันความรักให้ใคร หรือเพราะคนที่มาอยู่ในกรุงเทพส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาหาเงิน หาอาชีพ เสร็จแล้วก็กลับไปหาความรักที่บ้านต่างจังหวัดของตัวเอง กลับเอาเงินไปช่วยเหลือครอบครัวตัวเอง กลับไปเป็นที่พึ่งยามยากให้คนที่บ้านตัวเอง ทิ้งให้คนกรุงเทพ(จริงๆ)อยู่กับงาน เงินทอง วัตถุต่อไป แล้วเมื่อมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในภาวะแตกแยกแบบนี้ในกรุงเทพ ความรักและความสำนึกในบ้านเกิดเมืองนอนของแต่ละคนจะมีเท่ากันเหรอ ไม่แน่นะ...เมื่อภัยธรรมชาติสงบลงแล้ว แหล่งทำกินอาจไม่ใช่แหล่งทำกินอีกต่อไป คนกรุงเทพอาจต้องกลับมาพึ่งพาอาศัยกันและช่วยเหลือกันอย่างเมื่อก่อน และคนต่างจังหวัดอาจต้องกลับไปทำมาหากินที่บ้านเกิดของตัวเอง และเมื่อนั้นคงได้คำตอบสำหรับหลายๆคำถาม.... อาจได้เห็นความเท่าเทียม อาจได้เห็นอัศวิน เห็นผู้ร้าย เห็นคนดี เห็นคนฉวยโอกาสในยามทุกข์ยาก หรือแม้กระทั่งคนช่วยเหลือกันแบบไม่มีเงื่อนไข 

เราอยู่ประเทศที่กำลังพัฒนา สิ่งที่ต้องทำใจ คือ การที่มีคนคอยนั่งเฝ้ารอ แบมือขอความช่วยเหลือ มันมีมากกว่าคนที่ทำหน้าที่พัฒนาอยู่หลายเท่าตัว แล้วก็หายากนะคนที่จะช่วยเหลือใครโดยไม่หวังผลตอบแทน โชคไม่ดีนักที่นักการเมืองช่วงหลังๆดันหันมาเล่นการเมืองแบบพ่อค้าและนักการตลาด เน้นทำราคาดี มีโปรโมชั่น เข้าถึงลูกค้าถูกกลุ่ม ลูกค้าติดใจ เพราะชอบโปรโมชั่น เลยซื้อแล้วซื้ออีกมันอยู่นั่น ผู้นำประเทศก็เลยกลายเป็นกลุ่มนักการตลาด ที่ไม่เอาใจพวกกลุ่มลูกค้ารู้มาก เรื่องมาก เอาใจยากแถมไม่ซื้อ ทำการตลาดลำบาก หาเงินลำบาก ปล่อยให้พวกนี้ปากเปียกปากแฉะไปแล้วกัน เพราะยังไงก็ไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย! พวกคนที่อยากเป็นนักการเมืองจริงๆ อยากบริหารประเทศจริงๆ หรือ พวกใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี เลยไม่ค่อยได้ผุดได้เกิด เพราะทำการตลาดไม่เก่ง เฮ้อ...น่าเสียดาย!!

แต่ถึงยังไง ฉั้นก็ยังมีความเชื่อว่า ด้านอื่นๆในประเทศไทยอาจจะ 'กำลัง' พัฒนา แต่ด้านคุณภาพจิตใจไม่มีประเทศไหนที่พัฒนาได้เท่าเรา และก็เชื่อว่าคนไทยยังรักกันอยู่นะ เพียงแค่รอวันที่จะเข้าใจกันและยอมรับในความเป็นจริงบนบรรทัดฐานเดียวกัน คนผิดยอมรับผิด คนโกรธเริ่มให้อภัย คนเดือดร้อนได้รับการเยียวยา แต่จะใช้เวลานานแค่ไหนในการรอคอย หรือต้องให้เสียหายกันอีกมากซักเท่าไรถึงจะคุ้มค่าความแค้น ระหว่างรอนี้ก็ต้องทนชอกช้ำเพราะต้องโดนธรรมชาติลงโทษความแตกแยก โดยเฉพาะกรุงเทพที่โดนลงโทษหนัก ทั้งโดนเผา ทั้งโดนน้ำท่วม ก็ได้แต่หวังว่าทุกคนจะมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ... คนเรา ถ้าทนอยู่กับความเกลียดชังที่คุกรุ่นอยู่ในใจได้ ก็ต้องทนอยู่กับด้านน่าเกลียดของสังคมได้ แล้วถ้าหัวใจเรียนรู้ที่จะรักได้เมื่อไร ก็จะเห็นมุมที่น่ารักของสังคมที่ตัวเองอยู่ได้เอง

วันศุกร์, ตุลาคม 14, 2554

Exotic Brazil!

หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ บราซิล มาหลายด้าน หลายคนว่าเป็นประเทศที่อันตราย หลายคนว่าประเทศนี้ผู้ชายหล่อ, ผู้หญิงสวย แถมเซ็กซี่อีกต่างหาก บางคนบอกว่าเป็นประเทศที่มีธรรมชาติสวยงาม บางคนรู้จักแต่ฟุตบอลบราซิล ส่วนบางคนก็สนใจเรื่องดนตรีและเสียงเพลงอันมีเอกลักษณ์ หลายคนสนใจว่าบราซิลเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจทั้งที่จริงๆแล้วก็ยังยากจนและอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ฟังดูแล้วเหมือนจะมีทุกอย่างอยู่ในตัวเอง ช่างเป็นประเทศที่น่าสนใจชวนให้อยากรู้อยากเห็น

ฉั้นเขียนเกี่ยวกับบราซิลไว้หลายโพสต์ บ่นไปเรื่อยเปื่อยตามประสา(คนแก่อยากระบาย อุ๊บส์ >.< )!!   การมาอยู่บราซิล ถ้าให้พูดอย่างไม่โกหก ขอบอกว่ายิ่งอยู่ยิ่งอยากจะกลับเมืองไทยทุกวัน!! เพราะพูดคุยกับใครก็ไม่ได้ ฟังเค้าคุยกันก็ไม่รู้เรื่อง ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวที่มันน่าปวดหัวและไม่น่าดึงดูดใจซึ่งก็ต้องอาศัยการปรับตัวปรับใจกันสาหัส แต่บางคนก็อาจหลงรักบราซิลเข้าอย่างจังนะ คงขึ้นอยู่กับมุมมองของชีวิตแต่ละคนจริงๆ และอยู่ที่จะเจอะเจอกับสภาพแวดล้อมใกล้ตัวยังไงด้วย

มีหลายอย่างเกี่ยวกับบราซิลที่ถ้าไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองคงไม่มีทางรู้ บราซิลได้รับอิทธิพลโดยตรงจากอเมริกาและประเทศแถบยุโรปที่นอกเหนือจากด้านเชื้อชาติและเผ่าพันธ์ุแล้ว วัฒนธรรมของบราซิลก็เหมือน 'ฝรั่ง' ทั่วไปนั่นแหละ พวกเค้าไม่มีความแตกต่างด้านวัยวุฒิ เด็กไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใหญ่ ไม่ว่ากับพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ การเปิดเผยเรื่องเรือนร่างและเรื่องเพศสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ การแสดงออกทางอารมณ์ก็ถือเป็นเรื่องปกติ คำเล่าลือว่าลูกสะใภ้กับแม่ผัวมักเป็นศตรูกันเหมือนในละครน้ำเน่านั้นจึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง เพราะผู้หญิงบราซิลจะไม่อ่อนหวานและไม่เอาอกเอาใจใคร บางคนถึงขั้นอารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิดฉุนเฉียวด้วย ผู้ชายบราซิลบางคนอาจเจ้าชู้แบบไม่เก็บอาการ เพราะสื่อหลายสื่อที่นี่ช่างชอบยั่วยุปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศกันมาก มี Sex Shop อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่น้อยกว่า Motel ที่คล้ายม่านรูดบ้านเรา ได้ยินว่าตกแต่งอย่างแฟนตาซี คนไปใช้บริการมากมาย หนังสือโป๊หลายต่อหลายฉบับถูกวางขายหน้าร้านหนังสืออย่างสะดุดตายิ่งกว่าหนังสือพิมพ์รายวันซะอีก รายการทีวีที่นี่สามารถฉายอะไรก็ได้แบบ 'Uncensored' ทั้งหนังทั้งละคร ทั่งรายการวาไรตี้ ชอบมีโชว์อกตู้มและบั้นท้ายของสาวๆขนาดเบ้อเริ่มเทิ่มในบิกีนี่ไซส์เด็กให้เห็นเป็นประจำ!! -_-' หนุ่มๆดูแล้วคงมีความสุขจนน้ำลายไหลย้อย ส่วนสาวๆหลายคนเลยมีความเชื่อว่าความเซ็กซี่คือความงามที่แท้จริง วัฒนธรรมการทักทายของที่นี่ก็เป็นการกอดและจูบกันจ๊วบจ๊าบ...ซึ่งก็ดูเป็นมิตร(สนิทแนบ)ดีแท้!


ปัญหาหย่าร้างมีให้เห็นอยู่ใกล้ๆตัว คงด้วยหลายๆสาเหตุที่ว่ามาด้วย แต่เค้าว่าเวลาหย่าร้่างภรรยาจะได้ทรัพย์สินของสามีครึ่งหนึ่งตามกฏหมายหย่าพร้อมกับค่าเลี้ยงดูลูกๆจากสามีทุกเดือน จึงได้ยินมาว่ามีไม่น้อยที่ผู้หญิงใช้เป็นทางอ้อมในการหาเงินเข้ากระเป๋า จริงรึป่าว ไม่รู้!! เด็กๆที่นี่จะเคยชินกับปาร์ตี้วันเกิดอันใหญ่โตกันตั้งแต่ 2 ขวบ ยังไม่ทันรู้อิโหน่อิเหน่เลย จนกระทั้งอายุครบ 15 เป็นธรรมเนียมว่าเด็กผู้หญิงจะต้องมีงานวันเกิดที่จัดอย่างอลังการ...แบบว่าต้องใส่ 'ชุดราตรี' ไปงานกันเลยว่างั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่ออะไร!!  โรงเรียนที่บราซิลจะไม่มีกฏระเบียบอะไรมากมาย ไม่มียูนิฟอร์ม จะใส่อะไรไปเรียนก็ได้ จะแต่งหน้า ทาปาก ทำผม ทำเล็บ ได้ทั้งนั้น แข่งกันสุดฤิทธ์ การเรียนการสอนมีเพียงแค่ครึ่งวัน (ไม่รู้ครึ่งวันที่เหลือจะมีซักกี่คนที่กลับบ้านอ่านหนังสือ เข้าห้องสมุด หรือเรียนพิเศษ) การกอดจูบที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวก็จะเห็นพวกเค้านั่งกอดจูดกันอย่างประเจิดประเจ้อ ใครไม่เคยจูบหรือจูบไม่เป็นถือเป็นเรื่องน่าอาย ปัญหาขาดแคลนแรงงานครูอาจารย์ก็มีมากขึ้น ไหนจะปัญหายาเสพติดอีก พ่อแม่ที่ดีเลยต้องเหนื่อยหนักเพื่อคอยเฝ้าระวังเรื่องพวกนี้ น่าเห็นใจจริงๆ!!

ฉั้นอยากจะเรียกที่นี่ว่าเป็น Free Country หรือประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบ Free Style นะ เพราะมีความอิสระทางการพูด การแสดงออก ไม่มีคำสอนหรือการปลูกฝังอะไรที่เน้นการเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจ คนส่วนใหญ่อยากทำอะไรก็ทำ คนที่นี่ถ้าไม่อยู่โหมดปกป้องระวังภัย คือ ระวังตัวเองตลอดเวลา ไม่เที่ยวไม่ดื่ม จริงจังและซีเรียสกับการใช้ชีวิต ทำงานหนัก ขยันขันแข็ง รักและหวงแหนครอบครัวมาก ไม่ยอมเป็นมิตรกับใครง่ายๆ ตั้งการ์ดอยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะก็ ก็จะเป็นคนประเภทสบายๆไปเลย มีความสุขไปเรื่อยๆกับความบันเทิงเริงรมย์ การดื่ม การเที่ยว การร้องรำทำเพลงแบบเต็มเหนี่ยว ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายทั้งสองโหมดเรียกว่าอยู่คนละขั้วเลยทีเดียว เรื่องการเปิดเผยทางความรู้สึกและอารมณ์เนี่ย ก็ทำให้เห็นบ่อยเหมือนกันที่ผู้คนอาจทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น ขับรถโฉบเฉี่ยวกันบนท้องถนนก็โมโหฉุนเฉียวจริงจัง ข่าวฆาตกรรมเลยมีให้ดูทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ผู้หญิงที่นี่ถ้ามีเงินจะใช้เงินไม่อั้นไปกับการช้อปปิ้ง คนรวยบางคนจึงประโคมใส่เครื่องประดับของมีค่า โดยเฉพาะนาฬิกาเรือนโตๆยี่ห้อแพงๆเนี่ย ชอบมาก เพื่อบ่งบอกความร่ำรวยและแสดงให้เห็นถึงฐานะทางการเงิน ไม่แปลกใจที่การปล้น การจับเรียกค่าไถ่ หรือการขโมยของจึงเกิดขึ้นเป็นประจำ แถมคนพวกนี้จะพยามวางตัว เหมือนในละครไทยเปี๊ยบ ชอบแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม ทำเล็บ เข้าร้านเสริมสวย และดูถูกพวกคนที่มีสตังค์น้อย ส่วนคนมีสตังค์น้อยที่ว่าส่วนใหญ่อาจจะทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด เลี้ยงเด็ก รับทำเล็บ ฯลฯ เพราะความอิสระทางสังคม จึงเห็นผู้คนตะโกนข้ามหัวกันก็ได้ เอาเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะเวลาคุยกันก็ได้ ใส่รองเท้าเดินในบ้านก็ได้ เพราะเค้าไม่เคารพยำเกรงกัน จะไปไหน จะทำอะไรจึงต้องระวังตัวไว้ก่อน เช่น ตามร้านอาหาร ก็ไม่ควรวางกระเป๋าให้ห่างสายตา บางร้านมีสายล็อกกระเป๋าติดไว้ที่เก้าอี้ให้ด้วย! หรือตามห้างฯ ออฟฟิศ คอนโดที่พักอาศัย ระบบรักษาความปลอดภัยแต่ละที่ก็ดูแน่นหนา(ซะจนรู้สึกไม่ปลอดภัย) แถมกล้องวงจรปิดตามถนนหนทาง ตามตรอก ซอก ซอย มีความสำคัญมาก เพราะเวลามีเหตุร้ายเกิดก็จะได้หลักฐานจากกล้องวงจรปิดนี่ล่ะบ่อยมาก ขโมยขโจรที่นี้ก็ล้ำหน้าถึงขนาดระเบิดตู้ ATM เพื่อขโมยเงินในตู้กันแล้ว!!

ประเทศบราซิลเป็นประเทศใหญ่ จำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 5 ของโลก มีทรัพยากรธรรมชาติของตัวเองมากมาย มีทั้งน้ำมันดิบ ทั้งปลูกข้าว ทั้งเลี้ยงวัว ทั้งเหมืองแร่ ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งกาแฟชั้นดี ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันเกือบครึ่งของประเทศก็ยังเป็นคนจน ไม่มีความรู้ รายได้น้อย ความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมากมายอยู่ตามชุมชนแออัด สิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ระบบการคมนาคม ถนนหนทาง การจราจร ก็ยังล้าหลังอยู่ ค่าเงิน Reais ถึงแม้แข็งแรง แต่ถ้าเทียบกับค่าภาษีสูงลิ่วและข้าวของที่แพงโคตะระแล้ว คนเลยไม่อยากจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย(แม้จะมีการคืนภาษีให้ตอนสิ้นปีก็เถอะ) แถมมีการนัดหยุดงานกันบ่อยๆ ระบบขนส่งมวลชนมั่ง คนขับรถไฟใต้ดินและคนขับรถเมล์มั่ง ช่วงนี้ก็พนักงานธนาคารและไปรษณีย์ นัดกัน Strike เรียกร้องขอขึ้นเงินเดือน บริษัทจะไล่ออกซะเลยก็ไม่ได้ เพราะกฏหมายคุ้มครองแรงงานที่นี่ระบุว่า ถ้าจะไล่ใครออกต้องจ่ายค่าชดเชย(ได้ยินว่าคุ้มแสนคุ้มสำหรับการตกงานซักพักใหญ่ๆ) แถมกฏหมายใหม่ระบุเพิ่มต้องแจ้งล่วงหน้าให้ท่านลูกจ้างที่เคารพทราบอย่างน้อย 3 เดือนด้วยอ่ะ! แต่ใครที่มีเงินเดือนเยอะๆก็กลับไม่อยากช้อปปิ้งในบราซิลกันนะ บินไปช้อปเมืองนอกเมืองนา อเมริกา ยุโรปกันดีกว่า เพราะค่าภาษีสินค้าในบราซิลก็สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดไปเที่ยวอเมริกาได้สบายๆ ไปอเมริกาซื้อข้าวของ คุณภาพดี ราคาถูกกว่าที่นี่ตั้งเยอะ คุ้มกว่าเป็นไหนๆ

แม้การมาท่องเที่ยวในบราซิลจะยังพอมีความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจอยู่มากโดยเฉพาะธรรมชาติอันงดงามอย่างป่าเขาลำเนาไพร เช่น ป่าดงดิบ Amazon ทางตอนเหนือของบราซิล หรือน้ำตกขนาดยักษ์ Iguazu ที่ขั้นระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน บราซิลและอาร์เจนติน่า หรือแม้แต่ทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลมและบิกินี่ อย่าง Rio de Janeiro, Florianopolis, Guaruja ฯลฯ แต่เพราะช่วงวันหยุดและวันแดดออก คนจะแห่กันไปเที่ยวจนแน่นขนัด การจราจรติดแหง่กอีก ไปแย่งแดด แย่งผืนทราย และแย่งอากาศกันหายใจอยู่บนชายหาด ฮืมมม...เปลี่ยนใจมั้ย?

อีกเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องภาษา คนไทยอย่างเรานอกจากจะต้องทนทรมานใจกับเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างแล้ว ภาษาอังกฤษที่ถึงพูดได้คล่องหรือใช้งานได้ดีก็แทบไม่มีประโยชน์ เพราะการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันที่นี่ดูเหมือนจะเป็นศูนย์ "0" พวกเค้าไม่รู้ภาษาอังกฤษและพยายามจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษให้ปวดหัว(กบาล)ด้วย หากจำเป็นต้องสื่อสารก็ต้องแถภาษาโปรตุกีซแบบ snakeๆfishๆ ไปเลย (ถ้าสามารถ!) ไม่ต้องถามใครให้เสียเวลาว่า "คุณพูดภาษาอังกฤษมั้ย? - Você fala Inglês?" ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆก็ค่อยเฉลยว่าจริงๆแล้ว "เราพูดภาษาโปรตุกีซได้นิดหน่อย - Eu falo um pouco de Português!" แต่พอเฉลยแล้วพวกเค้าอาจเดินหนีไปเลยก็ได้ เจอบ่อย!! หรือเค้าอาจจะถามเราต่อว่า แล้วเราพูดภาษาอะไร อังกฤษหรือสแปนิช อันนี้ก็เจอบ่อยเหมือนกัน!!


เออ....บ่นมากก็เหนื่อย!! เอาเป็นว่าใครที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ถาวรก็คงต้องปรับตัวให้ได้ อาจจะมีความสุขไปกับงานรื่นเริง วันหยุดนักขัตฤกษ์ กิน ดื่ม เที่ยว เต้นรำ ไปตามประสา หรือไม่ก็อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปหน่อย ก็จะมีชีวิตที่สงบๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ส่วนฉั้น ไม่หวังจะอยู่ที่นี่ถาวร เลยยังปรับใจไม่ได้ซักที อยู่มาก็ครบปีแล้ว ดูข่าวสารมากก็เครียด ดูละครมากก็เอียน ดูรายการทีวีมากก็กลุ้ม ไปไหนมาไหนก็ที่เดิมๆบ่อยเข้าก็เบื่อ จะให้ดูบอลทั้งวี่ทั้งวันก็คงไม่ไหว ก็เลยต้องหาอะไรทำให้มันยุ่งๆเข้าไว้ ทำไงได้ล่ะ ยุบหนอ พองหนอ!! อย่างงี้ไง...ฉั้นถึงได้คิดถึงบ้านไม่เลิกซักกะที :-(

วันจันทร์, ตุลาคม 03, 2554

1 ปีที่(พยายาม)อยู่...อย่างมีความสุข



ครบ 1 ปีแล้ว เย้!!! เหมือนจะดีใจยังไงบอกไม่ถูกที่อยู่บราซิลครบ 1 ปี เวลาช่างทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ดีจริงๆ แม้จะเป็นเรื่องยากมากที่พยายามไม่คิดว่า ทำไมบางครั้งเวลามันถึงได้ช้าจัง หรือบางทีเวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิ๊น เพราะการอยู่อย่างไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน จิตใจเลยจดจ่อกับเรื่องเวลาเป็นพิเศษ แต่ก็ถือว่าฉั้นได้เรียนรู้อะไรมากมายหลายอย่างจากการมาอยู่ที่นี่ มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้น ทั้งบุคลิกท่าทาง ความคิดความอ่าน ความระแวดระวังรอบคอบในการใช้ชีวิต มันจะเปลี่ยนแบบชั่วคราวหรือถาวรก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆมันเริ่มต้นจากการต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สังคม ผู้คน และการดำเนินชีวิตให้อยู่รอดของตัวเอง 

มันยากอยู่นะที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆที่ ทุกๆวัน เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราทำเพื่อ 'ใคร' หรือเพื่อ 'อะไร' แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะมี 'วิธีคิด' แบบไหนมากกว่า 

การปรับมุมมองของตัวเองบ้าง ก็มีประโยชน์ เพราะบางครั้งก็ต้องยอมรับและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่าง การทำใจให้กว้างกว่าเดิม เข้าใจและเปิดใจรับรู้สิ่งใหม่ๆ ฉั้นอาจไม่ได้ยอมรับในทุกสิ่งทุกอย่างในซีกโลกฝั่งอเมริกาใต้นี้ เพราะมีหลายอย่างที่มันขัดกับวัฒนธรรมที่เราเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก แตกต่างกับสังคมที่เราเกิดและเติบโต แต่การฝืนหรือยึดติดอยู่กับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไป มันก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเลย

การใช้ชีวิตอยู่อย่างระมัดระวัง เป็นการปรับตัวอย่างหนึ่ง ไม่มีคำว่า ชิลๆ สบายๆ อะไรก็ได้... ทุกอย่างต้องคิดต้องตรึกตรอง มันก็เป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่ง ให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่อ่อนต่อโลกจนเกินไป

การอยู่ในที่ที่ไม่มีผู้คนที่รู้จัก...ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง การไม่มีภาษาที่ถนัด ก็ต้องหัดเรียนรู้วิธีที่จะสื่อสาร การที่ไม่มีสถานที่ที่คุ้นชิน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้รอดและปลอดภัย ไม่มีอาหารที่ถูกปาก ก็ต้องลิ้มลองอาหารรสชาติใหม่ๆและมีความสุขกับอาหารที่ดีและมีประโยชน์ และแม้ไม่มีศาสนาที่นับถือ ก็ต้องอยู่ได้ด้วยจิตใจที่ยึดมั่นในความถูกต้องและความดี


เลิกพร่ำบ่นเถอะ ฉั้นบอกตัวเอง ว่าให้เลิกพร่ำบ่นกับอะไรต่างๆรอบตัวที่มันไม่ได้ดั่งใจ เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างคนทนรับสภาพ หดหู่และห่อเหี่ยวกับบางอย่างที่เราไม่ปรารถนาจะรับฟังหรือรับรู้ หรือโหยหาบางสิ่งที่รักและคิดถึง บางครั้ง...จิตใจเราเองต่างหากที่ไม่นิ่งพอที่จะไม่ตัดสินอะไรต่ออะไร ว่าถูกหรือผิด ดีหรือเลว ขาวหรือดำ หลายครั้งเราตัดสินจากประสบการณ์ตัวเอง จากอดีตของตัวเอง บรรทัดฐานของตัวเอง อาจคิดมากไป หวาดระแวงมากไป ยึดติดมากไป หรือ อะไรก็ตาม...

อาชญากรรม อุบัติเหตุ ปล้น ฆ่า มีข่าวให้เห็นอยู่ทุกวัน ละครเนื้อหาไม่เหมาะสมมีให้ดูอยู่ทุกคืน คนแล้งน้ำใจ ไม่เคารพกฏ กติกา มารยาท ก็มีอยู่เกลื่อน แต่จะพร่ำบ่นไปทำไมถ้าเราแก้ไขอะไรไม่ได้ หาอะไรที่ตัวเองชอบหรือสนุกๆทำ พบปะผู้คนบ้าง ไม่ว่าคนในครอบครัว เพื่อนใหม่ๆ เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของแฟน แฟนของเพื่อน ที่มีโอกาสได้นัดเจอกัน ได้พบปะ พูดคุย หรือแม้แต่ทำอาหารให้เค้าชิม ไปออกกำลังกายให้จิตใจเบิกบานและสุขภาพแข็งแรง ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา เพ่ิมวิสัยทัศน์ใหม่ๆ เลือกอยู่กับคนที่เรารักและสบายใจ ทำใจให้ว่างเปล่ากับคนบางคนที่เราอาจตะขิดตะขวงใจ แค่นี้ความสุขเล็กๆเกิดขึ้นได้แล้ว


อย่าอยู่อย่างตามหาความสมบูรณ์แบบ ฉั้นฝึกที่จะพอใจและชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองมี การมาอยู่ที่นี่ทำให้ฉั้นนั่งคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ หรือแท้จริงแล้วทุกความสมบูรณ์แบบต้องประกอบไปด้วยความไม่สมบูรณ์ในสัดส่วน 1:1 เสมอ?!? ทุกวันที่เราตื่นมา ใช่ว่าอากาศจะสดใสชวนให้เบิกบานใจอยู่ทุกวัน แต่นั่นแหละ...ความสมบูรณ์แบบของธรรมชาติ ถ้าจิตใจเราไม่เบิกบานตามไปด้วย ก็เป็นเพราะความสมบูรณ์แบบในจิตใจที่ต้องมีความไม่สมบูรณ์แบบบางอย่างซ่อนอยู่!! ....เอาน่า อย่าเครียดไปเลย ชีวิตมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ....

อยู่อย่างมีแผน 2 เสมอ ฉั้นไม่เคยกลัวกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะทุกครั้งที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงฉั้นก็แค่รับผิดชอบกับมัน เราไม่มีวันล้มเหลวหรอกถ้าเราเตรียมความพร้อมด้วยแผน 2 (หรือ 3, 4...) ไว้เสมอ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว


ดูแลตัวเองและคนที่รักดีกว่า ในชีวิตคนเราจะมีซักกี่คน ที่เราจะรักเค้ามากมาย และจะมีซักกี่คนที่เค้าก็รักเรามากมายเช่นกัน มีซักกี่คนที่ไม่ต้องติดต่อพูดคุยกันตลอดเวลาแต่ความผูกพันก็ยังเหมือนเดิมเสมอ ฉั้นนึกดู.....ไม่มากเกินกว่าจะนับหรอก ใส่ใจคนเหล่านั้นเป็นพิเศษ ดูแลให้เค้ามีความสุขเท่าที่จะสามารถทำได้


ไม่ต้องถึงขั้นพยายามทำอะไรเพื่อใครต่อใคร หัดทำเพื่อตัวเองก่อน ซื่อสัตย์กับความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องตอบรับกับทุกคำเชิญ แต่อย่าปฎิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องพยายามทำอะไรเพื่อให้ตัวเองดูดี แค่เป็นคนดีก็พอ

บางทีฉั้นก็ไม่รู้หรอก ว่าอะไรคือสิ่งที่ฉั้นรักหรือเกลียดที่นี่ อาจจะไม่มีเลยก็ได้! แต่ไม่ว่าสิ่งรอบตัวจะเป็นยังไง แค่ทำให้ได้อย่างที่คิดและพูดมา ...จะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ฉั้นว่า...คนเราก็น่าจะมีความสุขได้ทั้งนั้น... 

วันจันทร์, กันยายน 19, 2554

15 Awesome Thoughts from 15 Awesome People


1. Woody Allen on showing up.
“Eighty percent of success is showing up”

One of the biggest and simplest things you can do to ensure more success in your life – whether it is in your social life, your career or with your health – is simply to show up more. If you want to improve your health then one of the most important and effective things you can do is just to show up at the gym every time you should be there.

The weather might be bad, you might not feel like going and you find yourself having all these other things you just must do. If you still go, if you show up at the gym when motivation is low you will improve a whole lot faster than if you just stayed at home relaxing on the sofa.

I think this applies to most areas of life. If you write or paint more, every day perhaps, you will improve quickly. If you get out more you can meet more new friends. If you go on more dates your chances of meeting someone special increases. In a way success is quite a bit about numbers. The really successful people have often tried and failed a lot more than the average person.

2. Nike on taking action.
“Just do it!”

Quite a while back I sat around and thought about Nike’s old catchphrase that seems to pop up from time to time. I thought: “Well, that’s easy to say, but it’s not so easy to just do”. So I concluded that it was just another catchphrase that people throw out because well, they have to say something.

Now I can see that there is actually some really useful advice in that catchphrase. So what changed? Well, I guess I figured out that you can’t really sit and think yourself out of something. And I figured out that I was thinking way too much. And that I identified closely with what I thought and felt.

This tip is connected to the previous one. People often have a hard time with showing up consistently. Why? Because of inner resistance and bad habits (such as overthinking things). Sometimes you can motivate yourself out of such a negative headspace by, for example, reviewing why you want to show up (improve your health, earn more money etc).

Sometimes that won’t work though. And it’s those times that can send people spiralling into negative spirals going downwards or positive spirals going upwards. Because some people will stay at home when they encounter the resistance. And some will just go and do what they want to do anyway, despite that their mind and emotions might be saying “no, no, no!”

Don’t trust your thoughts or feelings too much or take them too seriously. You may want change in your life. But your mind may want homeostasis (everything to remain stable). And so there is a conflict. And so there is an inner resistance to change.

You don’t want to get stuck in overthinking things or thinking that your thoughts or emotions are in complete control of what you do. You want to stop listening to what they are saying – or screaming – and go and do whatever it is that you deep down want to do.

3. Anaïs Nin on what we see.
“We don’t see things as they are, we see them as we are.”

This was one of the biggest revelations I had when I first got into personal development.
I realized that the world was perhaps not fixed in some pattern. I realized that I was mistaking my view of the world with the world itself.

Because the world can be viewed from many different points. And it does change according to who is watching it.

An optimistic person will for example notice the opportunities, things to be grateful for and that even though things may be hard or bad right now they will change once again. The pessimist will likely stay stuck in inaction, think that his or her world will not change and look down on the optimist as some gullible and naïve fool and that way find a way to feel superior and good about himself/herself.

I have tried both ways in my life. I highly recommend going the optimistic route.

This quote is also interesting because it helps you realize that what you see in your world can also say things about you.
            
If you find a lot of hostility and standoffishness towards you in your world then perhaps you are more like that than you would like to think too?

If something about people irritates you then perhaps it is because that quality is something you yourself have and it is something you do not like about yourself?

Think about your world and what it can tell you about yourself. Think about yourself and how you may be interpreting the world in ways that do not serve you very well.

4. Confucious on the simplicity of life.
“Life is really simple, but we insist on making it complicated.”

The mind loves to think. So it thinks and thinks about things. Making them more and more complex than they ever really were. And so you bog yourself down with too many thoughts and perhaps a lack of action due to things just seeming too complicated and hard.

Don’t get lost in details and unimportant things. Realize what is most important in your life and discard what you don’t need.

Then spend more time and energy on the important things in your life. And stop thinking so much and instead take action to gain a better understanding of life and of yourself.

5. Winnie the Pooh on appreciating the little things.
“Nobody can be uncheered with a balloon”

Daily happiness is to a large part about appreciating the small things. If you just allow yourself to be happy when accomplishing a big goal or when having some great luck then you are making life harder than it needs to be.

Instead, focus on appreciating things that you may take for granted.
Take two minutes and find things in your life you can appreciate now. If you want a few suggestions, here are a few of the things that I like to appreciate:
§  My food.
§  The weather.
§  My health.
§  Friends and family.
§  This blog and the opportunity to write about what I want.
§  You, the reader.
§  Myself and the fine things about me.

The funny thing is that if you just start appreciating something you can very quickly start jumping around with your attention and appreciate just about anything around you. You may start with the food you are eating right now. Then move your attention to the phone and appreciate that you can contact anyone – and be contacted by anyone – you’d like. You might then move your attention outside, through the window and see the wonderful sunshine, then kids having fun with a football and then a really attractive person walking by. And so on.

Or you can take a couple of minutes each night and write down 5 things you are grateful for in a journal.

Doing any of these two exercises will over time make it easier to naturally in everyday situations be more appreciative and grateful for your life.

6. Audrey Hepburn on worrying what others are thinking about you.
“I never think of myself as an icon. What is in other people’s minds is not in my mind. I just do my thing.”

One of the biggest part of thinking and doing what you really want is to stop caring so much about what other people think of you.

A lot of the actions you take – or do not take – may be because you need approval from other people. When we are young we get grades in school that tells us that we are “good”. This makes it very easy to create a life where you always go looking for the world to give you the next hit of approval. It may be from your family, boss, friends, co-workers and so on.

But this need creates neediness. And the stronger the need the stronger the neediness. And so other people will sense this. And approval may be withheld or used to manipulate you. Or they may just not like your neediness.

The people on the other hand that do not care that much about getting approval often do more of what they want deep inside. They may be considered courageous for instance. So the way they live their lives will gain appreciation and approval from the people around them. It’s a bit counter-intuitive.

7. Helen Keller on fear.
“Avoiding danger is no safer in the long run than outright exposure. The fearful are caught as often as the bold.”
“Security is mostly a superstition. It does not exist in nature…. Life is either a daring adventure or nothing.”

You cannot sit on your hands and take it easy and hope to get things done. At least not the things you really want to get done (which often may be the things you fear doing).

Why do people sit on their hands and get comfortable in their ease and quiet though? Well, one big reason is because they think they are safe there. But the truth is what Keller says; safety is mostly a superstition. It is created in your mind to make you feel safe. But there is no safety out there really. It is all uncertain and unknown.

You may get laid off.Someone may break up with you and leave.Illness will probably strike.        
Death will certainly strike in your surroundings and at some point come to visit you too.

Who knows what will happen an hour from now?

This superstition of safety is not just something negative. It’s also created by your mind so you can function in life. No point in going all paranoid about what could happen a minute from now day in and day out. But there is also not that much point in clinging to an illusion of safety. So you need to find balance where you don’t obsessed by the uncertainty but also recognize that it is there and live accordingly.

When you stop clinging to your safety life also becomes a whole lot more exciting and interesting. You are no longer as confined by an illusion and realize that you set your limits for what you can do and to a large extent create your own freedom in the world. You are no longer building walls to keep yourself safe as those walls wouldn’t protect you anyway. You can instead start your own daring adventure. Perhaps slowly at first, but still.

8. Winston Churchill on your troubles.
“When I look back on all these worries, I remember the story of the old man who said on his deathbed that he had had a lot of trouble in his life, most of which had never happened”

Most things you fear will happen never happen. They are just monsters in your own mind. And if they happen then they will most often not be as painful or bad as you expected. Worrying is most often just a waste of time.

This is of course easy to say. But if you think back and remind yourself of how little of what you feared throughout your life that has actually happened you can start to release more and more worry from your thoughts.

This makes it a lot easier to start doing more of what you really want in life. And to move through your day to day life with a lighter, happier and more optimistic attitude.

9. Wayne Dyer on what you teach people.
“Maxim for life: You get treated in life the way you teach people to treat you.”

This is a very important point and something I think is perhaps often missed by people who want to improve their social lives and make it more positive. They may think “well, I have been so nice towards everyone for the last few months but it doesn’t seem to have changed their behaviour towards me much”.

This is the “nice guy/girl” problem. He or she is very nice but there is no assertiveness. There is no changed feeling within about how you feel you deserve to be treated. You may still be nice just to get approval from other people. You feel the craving need. And you then are less likely to get the approval.
We do to a large extent choose how we want to be treated. How you expect people to treat you can have a big effect on how you allow yourself to act and how people around you view and treat you. If you start creating a role for yourself where you always let people do what they want to you then you may create some pretty destructive and negative things.

·         You may create an identity for yourself where you get used to always taking whatever anyone doles out. You create a kind of victim identity where you may look happy on the outside but don’t feel so good on the inside. But since you have gotten used to it after a while you may accept it and think that: this is just who I am.
·         You may create a concept in the minds of the people around you that it’s OK to treat you this way. Either because you seem so positive despite what they are doing so they think it’s OK. Or just because you aren’t saying no and some people may take advantage of that.

Look, you can’t please everyone. I think both Eleanor Roosevelt and Buddha have mentioned something along the lines that whatever you do there will always be people who don’t like what you are doing. And that’s OK. That’s normal.

Going around trying to please everyone at your own expense isn’t healthy though. Or even a realistic thing to attempt. It eats away at you both mentally and physically.

So be nice. Be positive. But make sure you set your own standards, rules and limits too. And remember that you might as well do what you want because there will always be critics.

10. Kahlil Gibran on sorrow and joy.
“The deeper that sorrow carves into your being, the more joy you can contain. Is not the cup that holds your wine the very cup that was burned in the potter’s oven? And is not the lute that soothes your spirit, the very wood that was hollowed with knives? When you are joyous, look deep into your heart and you shall find it is only that which has given you sorrow that is giving you joy. When you are sorrowful look again in your heart, and you shall see in truth that you are weeping for that which has been your delight.”

Your pain and sorrow is in retrospect often a gift. It makes you stronger. More empathic and understanding. It helps you out in some way and guides you. You can always look back it when you feel down and be happy that you aren’t in that place anymore.

And it’s often in the sorrow that we later on create our strengths. Many very fit people started on that path because they had hit a big low point health wise. And many great speakers or just very social people may have been being deathly shy at a young age. It’s to a large extent all that emotional leverage and all those painful emotions that at least initially give people a great motivation to change their lives in a radical way.

Your sorrow expands the spectrum of human experience, understanding and emotions for you. You become more grateful because of your sorrow. The sorrow carves deeper. And the deeper it carves, the more joy you will also be able to contain. The sad times make the happy times even sweeter.

11. Mahatma Gandhi on being the change.
“You must be the change you want to see in the world.” “As human beings, our greatness lies not so much in being able to remake the world – that is the myth of the atomic age – as in being able to remake ourselves.”

If you change yourself you will change your world. If you change how you think then you will change how you feel and what actions you take. And so the world around you will change. Not only because you are now viewing your environment through new lenses of thoughts and emotions but also because the change within can allow you to take action in ways you wouldn’t have – or maybe even have thought about – while stuck in your old thought patterns.

And the problem with changing your outer world without changing yourself is that you will still be you when you reach that change you have strived for. You will still have your flaws, anger, negativity, self-sabotaging tendencies etc. intact.

And so in this new situation you will still not find what you hoped for since your mind is still seeping with that negative stuff. And if you get more without having some insight into and distance from your ego it may grow more powerful. Since your ego loves to divide things, to find enemies and to create separation it may start to try to create even more problems and conflicts in your life and world.

12. Ernest Hemingway on keeping your eyes on where you are going.
“Never mistake motion for action.”

It’s very easy to get lost in busy work. You may spend much time in your in-box or filing and organizing things. But at the end of the day or week, what have you accomplished?
Just because you’re moving doesn’t mean that you are moving in the direction you really want to go. To do that you have to do the things that you know are really important and in alignment with your goals. And not getting lost in busy work.

So, improve your effectiveness and productivity. But, more importantly, never lose your view of your big picture. And take the action and do the things you need to do to get yourself where you want to go.

13. Samuel Beckett on failure.
“Ever tried. Ever failed. No matter. Try Again. Fail again. Fail better.”

This is an easy and relaxed attitude towards failure. An attitude that says that failure is as just about as normal as cooking your food or brushing your teeth. I remind myself of this one when I have failed or made a mistake. Or when the fear of failure pops up. It pulls out all the drama one might associate with failure. And makes it easier and less burdensome to take action.

14. Kristen Zambucka on reality and changing your world.
"Though I might travel afar, I will meet only what I carry with me, for every man is a mirror. We see only ourselves reflected in those around us.Their attitudes and actions are only a reflection of our own.The whole world and its condition has its counter parts within us all.
Turn the gaze inward. Correct yourself and your world will change.”

This is perhaps my favourite quote. I like it because it reminds me that even though there is big, big world out there with many possibilities and people in the end big change in your life comes down to you changing yourself.

As I mentioned above, it’s very easy to get stuck in thinking that your perspective, the lens through which you view reality is reality itself. But you can’t really see reality. You can only see it filtered through the lens. And the lens is you.

Changing, for example, a very negative attitude to a very positive one changes how you view yourself and your entire world. But it’s very hard to convince anyone of this. You just have to choose to try another perspective and just use it for a month or so. Even though homeostasis may want to draw you back to the comfortable stability of your old viewpoint. Which may cause you to rationalize that this positive attitude stuff is uncool or cheesy.

Truth is life will never be as in your dreams if you don’t change and correct yourself. No one is coming to save you. No book or personal development guru, not your parents, no knight/lady in white armour. Yes, people around you can of course be a big help.

But as an adult in this world it is time to grow up and save yourself. Not just because it is the right thing to do. But also because it is what actually works.

15. Mark Twain on following your heart.
“Twenty years from now you will be more disappointed by the things that you didn’t do than by the ones you did so. So throw off the bowlines. Sail away from the safe harbor. Catch the trade winds in your sails. Explore. Dream. Discover.”

An awesome quote. And I really don’t have much to add to that one. Well, maybe to write it down and keep it as a daily reminder – on your fridge or bathroom door – of what you can actually do with your life.

วันอาทิตย์, สิงหาคม 28, 2554

ปารีส, ฝรั่งเศส เมืองในฝัน(จริงหรือ?)

หลังจากไปเที่ยวฝรั่งเศสทริปนี้ อดหวนนึกถึงสมัยเรียนมัธยมไม่ได้ แม้จะนานมาาาาาากแล้วก็ตาม เด็กที่คำนวณไม่เอาอ่าว วิทยาศาสตร์ไม่เอาไหน สาขาศิลป์-ภาษา เลยถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มเรียนภาษาฝรั่งเศส จนเกิดความใฝ่ฝันว่าซักวันจะต้องไปเยือนประเทศนี้ให้ได้!! แม้ว่าจะเรียนไปงงไปตลอด 3 ปีจนต้องถามตัวเองอยู่ทุกวันนี้ว่า ตกลงเพราะมันยากหรือเพราะเราโง่กันแน่?? พอเรียนจบก็ดันรีบเก็บคืนอาจารย์ไปซะหมด เหลือไว้แต่เพียง ความรู้งูๆปลาๆ ให้สามารถทักทายเป็นภาษาฝรั่งเศสแบบง่ายๆได้ รู้มารยาทในการจิบไวน์มานิดหน่อย แล้วก็มีความจำเลอะเลือนเล็กน้อยเกี่ยวกับประวัติของ หอไอเฟล ประตูชัย ถนนช็องเซลิเซ่ แถมท้ายด้วยขนมเครปฝรั่งเศส และหลุยส์ วิตตอง...เกี่ยวมั้ย?

ฉั้นตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อรู้ว่าเราจะไปเที่ยวปารีสกัน เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าล่วงหน้าเป็นเดือน เพื่อมีเวลาคิดชุดที่สวย ใส่สบาย และถ่ายรูปขึ้น!! ทั้ง หอไอเฟลเอย ประตูชัยเอย ถนนช็องเซลิเซ่ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ มหาวิหาร นอร์ท-ดาม พระราชวังใหญ่ เล็ก แม่น้ำแซน ..... ทุกอย่างต่างอยู่ในแผนการเดินทางเรียบร้อย เหลือเพียงนับวันรอ......

จากเซา เปาโล, บราซิล ฉั้นกับคุณแฟบเดินทางไปลงที่สวิตเซอร์แลนด์เพราะจะถือโอกาสแวะเยี่ยมเพื่อนที่สวิตเซอร์แลนด์ด้วย แต่ก่อนแวะเยี่ยมเราก็ขอไปเที่ยวให้เพลิดเพลินก่อน เราจึงต่อเครื่องจาก Zurich Airport, Switzerland ไปยังฝรั่งเศสด้วยสายการบินประจำชาติฝรั่งเศส คือ 'Air France' ถึงท่าอากาศยานนานาชาติปารีส-ชาร์ล เดอโกล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสแล้ว(อืมม พูดซะเต็มยศเลย!!) เราต้องการสัมผัสบรรยากาศของการท่องเที่ยวจริงๆจึงตัดสินใจนั่งรถไฟเข้าเมือง ปารีส เพราะได้ยินว่าคนที่นี่ใช้รถไฟกันอย่างแพร่หลาย มีทั้งรถไฟวิ่งรอบเมืองและรถไฟเชื่อมกับประเทศต่างๆหลายประเทศในยุโรป  และด้วยความหวังที่ว่าเผื่อจะได้เก็บบรรยากาศความสวยงามของประเทศฝรั่งเศสจากสองข้างทาง

ผู้คนเดินขวักไขว่ที่สถานีรถไฟซึ่งเชื่อมต่อกับ Airport เราเข้าคิวซักพักเพื่อซื้อตั๋วรถไฟไปลงสถานี St. Michel, Notre Dame หลังจากได้ตั๋วแล้วก็ไปรอที่ชานชาลาหน้าตาเก่าๆ รถไฟก็เก่าๆ เป็นรถไฟธรรมดา ไม่ใช่รถไฟฟ้าหรูหราทันสมัยแบบที่ฉั้นคิด(ไปเอง)หรือแบบที่เปรียบเทียบกับกรุงเทพฯบ้านเรา รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนหลังจากรอมาประมาณเกือบสิบนาที กระเป๋าใบใหญ่ๆของนักท่องเที่ยวแต่ละคนวางระเกะระกะข้างตัวของใครของมัน ดูแล้วก็ค่อนข้างกินที่อยู่ไม่น้อย รวมทั้งของเราสองคนที่ใบใหญ่เอาการอยู่ ผ่านไปสถานีแล้วสถานีเล่ามีแต่คนขึ้นไม่มีคนลง จึงเบียดเสียดยัดเยียดแน่นเอี๊ยดไปหมด ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นพวกคนผิวสีบ้าง บางคนก็พูดภาษาแปลกๆฟังไม่ถนัดบ้าง บางคนก็มองมาที่กระเป๋าเรา เหมือนแอบด่าเป็นนัยๆว่า 'มันกินที่!!' เราพยายามไม่สบตาเพราะแอบระอายใจ ข้างทางก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ลอดอุโมงค์แล้วอุโมงค์เล่า ด้วยความที่เป็นเวลา 5 โมงเย็น ช่วงเลิกงานพอดี คนจึงแน่นจนแทบไม่มีที่ยืน สุดท้าย...ก็มีเสียงใครบางคนตะโกนมาบอกกับเราและสาวเกาหลีข้างๆจนได้ว่ากระเป๋าพวกคุณน่ะ เอาขึ้นไปไว้ข้างบนชั้นวางได้มั้ย? รถมันแน่น!! โอ้โห...นึกในใจ กล้าพูดนะนั่น กระเป๋าใบก็ใหญ่ หนักๆก็หนัก จะให้ยกขึ้นไปยังไงไหว แต่ยังคิดไม่ทันเสร็จ คุณแฟบก็ประชดความแน่นเอี๊ยดด้วยการจัดการแบกกระเป๋าใบของฉั้นขึ้นไปวางบนชั้นวางอย่างรวดเร็ว อ้าวเฮ้ย...แล้วจะเอาลงไหวมั้ยนั่น ... ฉั้นตกใจ แต่ด้วยสายตาของแต่ละคนบนรถไฟที่แน่นขนัด ไม่พูดอะไร คงจะปลอดภัยกว่า! เราสองคนเริ่มกังวลเพราะไม่มีทีท่าว่ารถไฟจะว่างลงเลย ยังไม่ทันตั้งตัว หันมาอีกที ที่ว่างจากกระเป๋าของฉั้นก็ถูกแทนที่ด้วยคนตัวดำๆแต่งตัวประหลาดๆคนหนึ่ง ที่มาพร้อมลำโพงเล็กๆ 2 ตัวห้อยอยู่ข้างเอว และเสียงเพลงเร็กเก้ที่ดังลอยมาเผื่อแผ่ฉั้นและคนบนรถ แค่เสียงเพลงยังไม่เท่าไรแต่ท่าเต้นนี่สิ...มันรับไม่ไหว!! มาโยกประชิดหัวไหล่กันเลยทีเดียว!! ทันทีที่ถึงสถานีที่มีคนเริ่มทยอยลง ฉั้นกะคุณแฟบก็หันมาสบตากันหนึ่งแว้บบอย่างรวดเร็ว และเป็นที่รู้กันว่า ต้องป้ายนี้แล้วล่ะ ที่ต้องรีบลงเพราะไม่งั้นอาจไม่ได้ลงอีกเลย ว่าแล้วก็รีบแบกกระเป๋าใหญ่ๆสองใบของเราลงจากขบวนรถไฟทันทีด้วยเวลาตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที เฮ้ออ....ถอนหายใจหนึ่งเฮือก!! ทั้งที่ยังไม่ถึงที่หมาย ทำให้เราต้องเดินลากกระเป๋าต่อไปอีก เพื่อหาแท็กซี่แทน!! แต่เดินมาซักพัก นี่มันที่ไหนฟระเนี่ย หาแท็กซี่ก็ไม่เจอ เหงื่อเริ่มแตก ผู้คนก็เดินขวักไขว่ ข้าวของขายเต็มสองข้างทาง ตึกรามบ้านช่องก็ไม่สวย แถมมีทหารเดินถือปืนตรวจตราอยู่หลายนายอีกต่างหาก!! เฮ้ย นี่มัน ปารีส รึป่าวหรือสนามรบที่ไหน?? เริ่มงง!!

ในที่สุดก็เจอแท็กซี่ Mercedes Benz คันงาม!! (ไม่น่าเชื่อว่าในปารีส มีแท็กซี่ เบนซ์ คันโก้ ให้ได้โบกอยู่มากมายเป็นเรื่องปกติ)จากที่นั่น คือ Odeon หนึ่งป้ายก่อนถึงที่หมายของเรา คือ St. Michel, Notre Dame เราโบกแท็กซี่เพื่อนั่งต่อไปยัง Le Notre Dame Hotel โรงแรมที่เราจองไว้ พร้อมกับอาการถอนหายใจอย่างโล่งอกแรงๆหนึ่งเฮือก!!

มหาวิหาร นอร์ท-ดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris)

เมื่อเข้าสู่จุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ภาพปารีสเมืองในฝันจึงปรากฏขึ้น!! เป็นคนละเรื่องกับที่ผ่านมาเมื่อกี้เหมือนหนังคนละม้วน เพราะ เมืองปารีส เป็นเมืองมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจำนวนกว่า 30 ล้านคนต่อปี แค่รายได้จากการท่องเที่ยวหลายพันล้านยูโร มากเป็นอันดับ 3 ของโลกแล้ว ไม่แปลกที่ตึกรามบ้านช่องจึงต้องยังคงรูปแบบโครงสร้าง สถาปัตยกรรมแบบเดิมๆไว้ ไม่มีการสร้างตึกหน้าตาทันสมัยขึ้นมาเบียดบังความงามของตึกยุคโบราณ เพราะผู้คนที่มาท่องเที่ยวต่างก็มาเพื่อดูความสวยงามที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตกันทั้งนั้น ดังนั้น การเก็บรักษาอาคารบ้านเรือนด้วยการบูรณะซ่อมแซมจึงถือเป็นภาระกิจหลัก ไม่เว้นแม้แต่โรงแรมที่เราเข้าพักก็เป็นโครงสร้างกึ่งปูนกึ่งไม้ ที่ภายในอาคารยังคงเป็นโครงสร้างที่ทำด้วยไม้คาน พื้นยังคงดังเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อยเวลาเดิน ฝาผนังก็กั้นด้วยไม้ ยกเว้นห้องน้ำเล็กๆที่เป็นปูน กับลิฟท์เล็กๆที่มีไว้ให้พออำนวยความสะดวก แม้โรงแรมจะกั้นห้องอย่างประหยัดเนื้อที่มากๆแต่ราคาไม่ได้ประหยัดตาม เพราะทำเลที่อยู่ใกล้มหาวิหาร นอร์ท-ดาม ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่ง สนนราคาจึงตกอยู่คืนละประมาณ 187Euro (8,000++ บาท) ไม่รวมอาหารเช้ากันเลยทีเดียวเชียว  

การท่องเที่ยวชมวิวทิวทัศน์รอบเมืองปารีส จะเดินก็ได้ นั่งเรือก็ดี หรือจะโดยสารรถบัสเปิดประทุน (คือเหมือนนั่งบนหลังคารถอ่ะ) ชมวิวรอบเมืองก็น่าสนใจ ส่วนเราเลือกเดินในวันแรก เพราะถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ก็เลยเดินกันไป... ตั้งแต่ มหาวิหาร นอร์ท-ดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris) เลียบแม่น้ำแซน (Seine River) ไปยังพิพิธภัณฑ์ออเซ (Musee d'Osey) ที่งดงาม เข้่าสู่ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musee du Louvre) อันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ ที่ภายในเก็บรักษาผลงานทางศิลปะระดับโลกมากมาย รวมทั้งภาพโมนาลิซ่าอันเลื่องชื่อ เดินไปเรื่อยจนเข้าสู่ถนนช็องเซลิเซ่ (Avenue des Champs-Élysées) ถนนช้อปปิ้งเลื่องชื่อที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวขจีปกคลุมให้ร่มเงาไปตลอดทาง บางจุดก็ตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ อากาศเย็นๆสบายๆทำให้เราและผู้คนอีกมากมายเดินเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งไปถึงร้านหลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) สาขาสำนักงานใหญ่ที่ลูกค้ามาเข้าคิวรอซื้อประหนึ่งว่ากระเป๋าแต่ละใบราคาถูกแสนถูก(โดยเฉพาะชาวเอเชีย) ฉั้นไม่ได้เสียสตางค์แต่อย่างใด แค่อยากดูให้เห็นกับตาว่าร้านจะใหญ่โตหรูหราขนาดไหน เห็นแล้วก้อ....หญ่ายโตเจงๆ!! และการเดินทางในจุดท่องเที่ยวหลักก็สุดที่ถนนช็องเซลิเซ่ตรงประตูชัยฝรั่งเศส(Arc de Triomphe Etoile) ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน 

จากนั้นเราเดินต่อไปอีกโดยข้ามถนนไปอีกสองสามเส้นย้อนกลับไปยังหอไอเฟล (Torre Eiffel) ชื่นชมความสูงเสียดฟ้าจนติดอันดับโลกกันเป็นที่เรียบร้อย ฝนก็ตกพอดี เราจึงต้องโดยสารแท็กซี่เพื่อไปช้อปปิ้งกันต่อที่ Galleries Lafayette ห้างชื่อดังของปารีส ซึ่งมีอยู่ถึงสองสาขาแล้ว ด้านในตกแต่งตระการตา และละลานตาไปด้วย สินค้า Brand Name ระดับ Hi-end ทุกแบรนด์ที่ถูกใจสาวๆยิ่งนัก เครื่องสำอางค์ เครื่องประดับ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า มีให้เลือกทุกยี่ห้อ(ที่แพงๆ)กันเลย Channel, Prada, Louis Vuitton, Gucci, Fendi, Balenciaga, Lancome, Estee Lauder, Clinique โอ้วว อีกมากมาย สำหรับผู้ชายก็ใช่ย่อย ถึงขั้นต้องแยกไปอีกตึกหนึ่งเป็นแผนกผู้ชายโดยเฉพาะ บนชั้นดาดฟ้าของห้างยังเป็นจุดชมวิวเมืองปารีสที่มองไปเห็นหอไอเฟลตั้งเด่นเป็นสง่าในระยะไกลด้วย ความงามและความอลังการของนครปารีสทำให้ลืมไปเลยว่า หลังจากเดินมาทั้งวันจนลากขาต่อไปไม่ไหวแล้ว มารู้ตัวอีกทีก็ขอเรียกแท็กซี่จาก Galleries Lafayette กลับโรงแรม....กินมื้อเย็น อาบน้ำอาบท่า แล้วก็เข้านอน หลับเป็นตาย!!

Seine River (แม่น้ำแซน)

Musee d'Osey (พิพิธภัณฑ์ ออเซ)


Musee du Louvre (พิพิธภัณฑ์ลูฟร์)
Louis Vuitton สาขาสำนักงานใหญ่
Arc de Triomphe Etoile (ประตูชัยฝรั่งเศส)
Torre Eiffel (หอไอเฟล)


เมื่อเที่ยวสถานที่หลักๆไปในวันแรกแล้ว วันที่สองก็เลยเริ่มสำรวจที่อื่นๆต่อ เช่น Place de L'Opera หรือโอเปร่าฮอลล์ ซึ่งเราก็เดินผ่านเส้นเดิมที่เดินไปเมื่อวาน(ยังไม่เข็ด) เริ่มเดินเลียบแม่น้ำแซน วันนี้ผ่านด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเริ่มขาลากอีกรอบ ก็จะเจอ Galleries Lafayette อีกครั้ง แต่วันนี้ไม่ช้อปปิ้ง เพราะเราเข้าไปเยี่ยมชม Place de L'Opera ซึ่งเป็นโอเปร่าฮอลล์สุดหรูอลังการอยู่ไม่ห่างจากกัน เป็นที่ที่ยังมีการแสดงโอเปร่าอยู่เป็นประจำ วันนี้แม้เราเดินไม่ไหวแต่ก็อดชื่นชมศิลปะความงามภายในที่ตกแต่งอย่างงดงามตระการตาไม่ได้ ถ่ายรูปจนหนำใจ เสร็จแล้วก็แวะเดินเล่นและกินมื้อเที่ยงกันบริเวณถนนใกล้เคียงเป็นแหล่งช้อปปิ้งชั้นดีที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้าน Cosmetic อย่าง Sephora ที่ขายเครื่องสำอางค์ทุกอย่าง ทุกแบรนด์, ร้านเสื้อผ้าแบรนด์สวยๆพอจับจ่ายไหวอย่าง H&M, Zara ฯลฯ, ร้านร้องเท้า กระเป๋า และอื่นๆอีกเพียบ จากนั้นเราก็กลับโรงแรม เพื่อไปกินมื้อเย็นแถวซอยด้านหลังโรงแรมเรา ที่หน้าตาชวนให้นึกถึง ถนนข้าวสาร เสียนี่กระไร วันนี้กินขนมเครปฝรั่งเศสด้วย (ของแท้ต้องขายข้างทาง) อิ่มแล้วก็อาบน้ำเข้านอน สบายใจ........

Place de L'Opera

ยังมีอีกหลายที่ที่เราแวะไปในวันต่อมา สวนสวย Jardin du Luxembourg สวยสุดๆสวยจนต้องตะลึงงัน เดินจาก Notre Dame ไม่ไกล เข้าไปเดินเล่นนั่งเล่น ถ่ายรูปเล่นอย่างเมามัน สาแก่ใจแล้ว วันนี้เราจะนั่งเรือเยี่ยมชมพระราชวังดีกว่า จากท่าเรือใกล้ๆ มีเรือประเภทเรือโดยสารที่ซื้อตั๋วเหมาจ่ายรายวัน(Batobus) ประมาณ 18 Euro(800++บาท) เรือจะแล่นเลียบแม่น้ำแซนเพื่อจอดตามสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆต่างๆ เมื่อมีตั๋วแล้ว ผู้โดยสารจะขึ้นหรือลงที่ท่าเรือไหนก็ได้้ตามใจ เรานั่งไปลงท่าเรือใกล้ ถนนช็องเซลิเซ่ เดินดู Grand Palais และ Petit Palais พระราชวังใหญ่และเล็กที่อยู่ตรงข้ามกัน มีรูปปั้นบุคคลสำคัญหลายคน เช่น Winston Churchill, Charles de Gaulle ... แล้วก็เดินไปตามถนน ช็องเซลีเซ่ กันอีกรอบ ถ่ายรูปเล่น แวะจิบกาแฟ ช้อปปิ้งอีกเล็กน้อย แล้วก็นั่งเรือกลับโรงแรม

Jardin du Luxembourg


Grand Palais
Petit Palais

หนุกหนานประมาณนี้ และแล้วก็ถึงเวลากลับ เช้าของวันสุดท้าย แม้จะยังผวากับรถไฟขามา แต่เพราะค่าแท็กซี่ไปถึงแอร์พอร์ตกว่า 60 Euro(<3,000 บาท) เมื่อเทียบกับค่ารถไฟแล้ว เรายอมลำบากดีกว่า! หลังจากเช็คว่าต้องขึ้นรถไฟสายสีอะไรเพื่อตรงไปยังสนามบินเรียบร้อยแล้ว กินอาหารเช้ารองท้องกันแล้ว เราก็ Check out และแบกกระเป๋าถูลู่ถูกังไปยังสถานีรถไฟ St. Michel ทันทีเพื่อขึ้นรถไฟสายสีฟ้า โชคดีที่วันนั้นเป็นเช้าวันเสาร์ เราจึงไปกันแบบสบายๆคนไม่แน่นมาก แม้ว่าจะเป็นวันหยุดของประเทศฝรั่งเศสพอดี ที่ผู้คนต่างก็ออกเดินทางไปพักผ่อนเช่นกัน

ถึงสนามบินตรงเวลา เราเตรียมตัวเช็คอินเพื่อบินไปยัง Geneva, Switzerland เพื่อเยี่ยมเพื่อนเรา แต่ อ้าว...ทำไมเที่ยวบินเราถูก Cancel!!! เป็นไปได้หรือนี่ เที่ยวบินที่เราจองไว้ นักบิน นัดกันหยุดงาน "นักบิน Strike" เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น!! ผู้โดยสารรอเก้อ ค้างเติ่งเต็มเคาน์เตอร์เช็คอิน รวมทั้งเรา ซักพักใหญ่ๆเราได้เช็คอินเพื่อเดินทางในเที่ยวบินถัดไปตอน 5 โมงเย็นแทน เออ..ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ไป เราเข้าไปนั่งรอหน้า Gate อย่างใจจดใจจ่อ รอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็ 4 โมงเย็น แทนที่ Gate จะเปิด กลับมีประกาศ Cancel เที่ยวบินของเราอีกรอบ!!! เฮ้ย..ทำไมเพิ่งมาบอก ปล่อยให้รอตั้งหลายชั่วโมง เราเดินไปสอบถามหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่แทนที่จะได้คำตอบ พนง.หญิงชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง กลับแสดงอาการหงุดหงิดแถมออกอาการชี้นิ้วใส่หน้าเรา เพื่อไล่ให้เราและผู้โดยสารคนอื่นๆอีกหลายคนไปติดต่อเคาน์เตอร์ Air France ด้านนอกเอาเอง!!! 

ฉุนขาด นอกจากโชคไม่เข้าข้างเรื่องเที่ยวบินแล้ว ยังมาเจอบริการไม่เอาไหนของคนฝรั่งเศสอีก หน้าเคาน์เตอร์ Air France ด้านนอก ยังคงเนืองแน่นไปด้วยผู้โดยสารจำนวนมาก ที่เที่ยวบินดีเลย์บ้าง ถูกยกเลิกบ้างต่อแถวกันยาวเหยียด เราเปลี่ยนใจ...จะนั่งรถไฟไปแทน จึงไปขอกระเป๋า 2 ใบของเราคืน......  เราต้องไปต่อแถวที่หน้าห้อง Luggage Claim แต่ด้วยความวุ่นวายสับสนอลหม่านทำให้เจ้าหน้าที่สายการบินหากระเป๋าของเราเจอเพียงแค่ใบเดียว เออ...ความซวยบังเกิด!!  ผู้โดยสารหลายคนยืนอออยู่เต็มทั้งหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ลามไปยังเคาน์เตอร์เซอร์วิสชั้นล่าง และลามไปยังห้อง Luggage Claim ของ Air France แต่ละจุดเต็มไปด้วยผู้โดยสารเข้าคิวรอ เรื่องทั้งหมดต้องโทษความเห็นแก่ตัวของ นักบิน แต่เพียงผู้เดียว ที่ทำให้ทุกคนต้องรับกรรม เหมือนไม่เคยเตรียมการมาก่อนทั้งที่ได้ยินว่าคนฝรั่งเศสไม่พอใจอะไร เอะอะก็นัดกันหยุดงาน ให้ได้เดือดร้อนชาวบ้านชาวช่องไปทั่วเป็นประจำ แต่เจ้าหน้าที่ของสายการบินกลับไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์ยังไง รับมือกับอารมณ์โกรธของผู้โดยสารก็ไม่ไหว จนสุดท้ายทางสายการบินต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการแจกคูปองอาหาร และหาที่พักให้ผู้โดยสารที่ตกค้างอยู่หลายสิบคน 

เราวิ่งวุ่นเรื่องหากระเป๋าจนเหนื่อยแต่ก็ยังไม่เจอ จึงต้องรับเอาคูปองอาหารอย่างจำใจ เดินคอตกไปซื้อแซนด์วิชกิน แซนด์วิชก็แข็งโป้ก...อุ่นให้หน่อยก็ไม่ได้! ฝืนกินอย่างฝืดคอ จนเสร็จก็เดินไปนั่งรอรถบัสที่สายการบินบอกว่าจะจัดเตรียมมารับไปนอนที่โรงแรม(ไหนก็ไม่รู้)ตอน 5 ทุ่ม ง่วงก็ง่วง หนาวก็หนาว เหนื่อยก็เหนื่อย ในที่สุดรถก็มารับหน้า Terminal แต่.....ขึ้นไม่ได้เพราะรถเต็ม!! เออ..ซวยได้อีก!!

เมื่อไปไม่ได้ เราก็เริ่มโวยวายแบบไม่ยั้งอารมณ์ เพราะเบื่อกับท่าทีไม่แยแสของพนง.สายการบิน ความเห็นแก่ตัวของนักบิน และโชคชะตาของเราเอง ไม่ใช่แค่เราที่โวยวายยังมีผู้โดยสารอีกหลายคนที่ไม่ได้ขึ้นรถเหมือนเรา และแล้วคืนนั้นเราก็ต้องนอนที่ Airport เสียค่าโรงแรงอีกแพงโขอยู่ เพราะไม่มีทางเลือก เราเข้านอนอย่างซึมกระทือ ดมกลิ่นบุหรี่ในห้อง Smoky Room ทั้งคืน เพราะนั่นเป็นห้องสุดท้ายที่โรงแรมเหลือในคืนนั่นจริงๆ!!

ตื่นเช้ามา กินอาหารเช้าเสร็จ คุณแฟบนั่งคอตก เพราะหมดหวังกับการค้นหากระเป๋า แต่ฉั้นยังไม่ยอมแพ้ เพราะเมื่อเจอหนึ่งใบแล้ว อีกใบหนึ่งก็ต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งในแอร์พอร์ตนั่นแหละ เรารวบรวมสติเดินกลับไปที่ห้อง Luggage Claim อีกครั้ง เล่าให้พนง.รอบเช้าฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เช้าวันนี้ไม่วุ่นวายเหมือนเมื่อคืนวาน เจ้าหน้าที่จึงมีเวลาใส่ใจเรามากขึ้น สอบถามและค้นหาข้อมูลกันไปมาซักพักใหญ่ สุดท้ายก็พบว่ามีกระเป๋าหลงอยู่ด้านในหนึ่งใบ จะส่งมาให้ดูว่าใช่หรือไม่ เราเดินไปรออย่างใจจดใจใจจ่อที่สายพานเบอร์ 21 และแล้ว........พระเจ้าช่วยกล้วยทอด มันเป็นของเราจริงๆ!!! แล้วมันหายไปได้ไง พอก้มดูที่ Name Tag จึงรู้ว่ามันไม่ใช่ชื่อเรา แม่เจ้า...เจ้าหน้าที่ Check in ติด Name Tag เป็นชื่อใครก็ไม่รู้ มิน่าคอมพิวเตอร์มันถึงค้นหาชื่อเราไม่เจอ ฮืมมม...มันน่านัก!! 

เราแทบหมดแรงจากอารมณ์ขุ่นเคืองใจทั้งหมด แต่เมื่อเจอกระเป๋าแล้วเราก็รวบรวมสติกลับมาใหม่เพื่อเดินทางต่อด้วยรถไฟแทนโดยสายการบินชดใช้ค่าตั๋วรถไฟให้แทนค่าตั๋วเครื่องบินที่พวกเราจ่ายไป เราบอกกับตัวเองว่าพอกันที่สายการบินนานาชาติฝรั่งเศส Air France ที่เคยแม้กระทั่ง บินตกในมหาสมุทรแอตแลนติกเหตุเพราะนักบินไม่ประจำที่อยู่ในห้องคนขับขณะที่เครื่องบินฝ่ามรสุมทางอากาศ คร่าชีวิตผู้โดยสาร 228 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวบราซิลเลี่ยนเกือบทั้งลำ!! ทริป ปารีส ของเราและความประทับใจในความสวยงามและผู้คน เกือบพังไม่เป็นท่า

ตลอดทางฉั้นจึงคิดถึงคำพูดของอดีตหัวหน้าที่ปัจจุบันกลายเป็นรุ่นพี่ที่เคารพนับถือ เคยสอนไว้ตอนสมัยทำงานอยู่ฝ่ายขายว่า "Reality is not reality, perception is reality!!" จริงหรือไม่ ที่ความจริงมันไม่ใช่ความจริงหรอก ภาพที่ถูกสร้างขึ้นต่างหากคือความจริง ....นั่นสิ ถ้าบอกว่าคนเรามักเชื่อกับภาพที่เห็น ว่ามันคือความจริง โดยเฉพาะภาพที่สวยงาม ตราตรึง ชวนให้เชื่อและมีผลกับความรู้สึกประทับใจ แต่ในความเป็นจริง จริงๆล่ะ ในมุมที่เราไม่มีโอกาสได้เห็น มุมที่เราไม่มีโอกาสได้รับรู้ มุมที่มันไม่สวยงาม ไม่น่าประทับใจ มุมที่เราบังเอิญผ่านมาเจอ เราจะผิดหวังกับมันหรือจะยังคงตราตรึงกับภาพประทับใจแรก นครแห่งประวัติศาสตร์อย่าง ปารีส ก็เช่นกัน เมืองอันสวยงาม ที่แท้จริงแล้ว ฝรั่งเศส สร้างให้มันเป็นเมืองที่สวยงาม ให้ผู้คนแสนดี ให้สินค้ามีชื่อเสียงมีระดับราคาแพง แต่มันคือความงามเนื้อแท้ หรือมันเป็นเพียงภาพที่ถูกสร้างขึ้นให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมทั้งเราเอง หลงเชื่อกันแน่??
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...