Pages

วันพุธ, ธันวาคม 11, 2556

หากการเมืองมาถึงจุดเปลี่ยน

หลังจากข้ามซีกโลกมาอยู่บ้านนอกบ้านนา เอ้ย เมืองนอกเมืองนาซะนาน มองกลับไปเมืองไทยในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ก็ได้แต่นึกเสียดาย ที่การเมืองบ้านเราไม่ค่อยจะสู้ดี มีแต่ความวุ่นวาย แตกแยก มาถึงจุดนี้ฉั้นก็ได้แต่เสียดายนะ ที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเมืองไทย พยามจะเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่เพราะมันกำลังพัฒนานั่นแหละ มันเลยเป็นปัญหา เพราะประชาธิปไตย ... ก็รู้รู้กันอยู่

การเมืองวันนี้เลยเหมือนเล่นกีฬาสี แข่งกันว่าใครจะชนะ ตลกดี แม้จะขำไม่ออก 

ฉั้นเป็นคนกรุงเทพแต่กำเนิด บอกเลยว่าเคยชอบทักษิณ เคยทำงานในบริษัทเครือชินฯอย่างภาคภูมิใจมาเกือบสิบปี เคยลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้เค้าด้วย และก็เคยดีใจที่ได้นายกที่เก่ง ฉลาดหลักแหลม และดูเชื่อมั่น เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ 

แม้รู้ว่าเค้าเป็นนักธุรกิจระดับประเทศที่ผันตัวเองมาเล่นการเมือง แต่เมื่อก่อนไม่เข้าใจว่า การเมือง ก็เป็นเรื่องของธุรกิจได้เหมือนกัน จนมาอยู่ที่บราซิล นักการเมืองที่บราซิลนี่ก็โกงกินกันเป็นว่าเล่น บางคนโดนจับได้คาหนังคาเขา ต้องติดคุก ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ใช้เงินไปกับเหล้า ยา ผู้หญิง และความบันเทิงต่างๆอย่างเพลิดเพลิน สารภาพอย่างไม่ละอาย อาชีพนักการเมือง แท้จริงแล้วมันก็คือ มนุษย์เงินเดือน เหมือนอย่างเราๆท่านๆนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นคนไม่ซื่อสัตย์สุจริตก็จะหาเงินได้ด้วยการเล่นแร่แปรธาตุจากภาษีในรูปแบบต่างๆ จนบางคนรวย พอรวยมาก บางคนก็โลภมาก พอโลภมากมันก็เล่นแร่แปรธาตุมาก แต่จำได้ว่าทักษิณเค้าใจป้ำ เค้ามีมากเค้าก็ให้มากและทำมาก โปรเจ็คใหม่ๆผุดขึ้นเต็มไปหมดตอนเค้าเป็นนายกฯ เค้าเลยได้ใจจากมวลชนเยอะ โดยเฉพาะคนตามต่างจังหวัดที่มี "จิตใจดี" ไม่ลืมบุญคุณที่ได้รับจากนโยบายของทักษิณ ที่ได้ยินว่ามันทำให้พวกเค้าลืมตาอ้าปากได้ พวกเค้าเลยรักและปกป้องเพราะเชื่อว่า ทักษิณเป็นคนดี เป็นเหยื่อของการเมือง โดนกลั่นแกล้ง โดนโยนความผิด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ กลยุทธ์ของทักษิณในการซื้อใจคนต่างจังหวัดนี้ได้ผลเกินคาด เพราะในขณะที่พวกเค้าเห็นว่ามีแต่นโยบายของทักษิณเท่านั้นที่เข้ามาช่วยเหลือพวกเค้า ก็เลยยอมปิดหูปิดตาตัวเองไม่รับรู้เรื่องโกงกิน คอร์รัปชั่นที่อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์การหาเสียง ไม่ใช่ว่าพวกเค้า โง่ แต่เรียกง่ายๆว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ไปโดยปริยาย

ในขณะที่คนมีความรู้ซักหน่อย มีการศึกษา ทำมาหากินได้ด้วยความรู้ที่ร่ำเรียนมา ไม่ต้องพึ่งพานโยบายของรัฐบาลมากนัก และที่สำคัญพวกคนเหล่านี้แหละที่มีส่วนสำคัญในการเป็นแรงขับเคลื่อนให้ประเทศเดินไปข้างหน้า คนพวกนี้อาจไม่ได้อยู่ใน "เสียงส่วนใหญ่" ของระบบการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แต่คนพวกนี้แหละที่รู้ทันแถมเผลอๆเป็นกลุ่มที่อาจจะจ่ายภาษีมากกว่าชาวบ้านตามต่างจังหวัดหลายๆจังหวัดรวมกันซะอีก เราจึงดูถูกพวกเค้าไม่ได้เมื่อเค้าออกมาเดินขบวนต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" หลังจากหลักฐานมันชี้ชัดว่าทักษิณใช้กลเม็ดเด็ดพรายต่างๆมากมายในการคอร์รัปชั่น คนเหล่านี้จึงมองว่าประเทศจะเดินหน้าได้ยังไงถ้ามีผู้นำที่โกงกิน หรือถูกตราหน้าว่าโกงกิน

ถ้าคิดให้ดี คนฉลาดอย่างทักษิณ ใครกันจะกลั่นแกล้งเค้าได้ ทั้งฉลาด เฉียบแหลมเปี่ยมไปด้วยความรู้ ความทะเยอทะยาน มีอำนาจ ชั้นเชิง และกลยุทธ์ การใช้อำนาจทางการเมือง แก้กฏหมายต่างๆนานาเกี่ยวกับเรื่องภาษีเพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจส่วนตัว...ฉั้นจึงเชื่อหมดใจว่ามันเป็นไปได้ การทำลายอุปสรรคทางการเมืองเพื่อธุรกิจของเค้า...ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก การทุ่มเงินซื้อเสียงก็เป็นเรื่องปกติสำหรับพ่อค้าอย่างเค้า แม้กระทั้งการหาทางแก้กฏหมายเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่คนมีความรู้อย่างเค้าต้องพยายามคิดหาทางให้จนได้ แค่เรื่องแค่นี้...แม้แต่ฉั้นเองยังคิดได้ โดยไม่ต้องมีใครมาบอกให้เชื่อ แล้วยิ่งมีตัวบทกฏหมายเข้ามารับรองความผิดด้วยแล้ว ฉั้นยิ่งเกิดความสงสัยว่าคนบางกลุ่มที่ปกป้องเค้าเพราะในใจลึกๆอาจคิดว่า ถ้าพวกเค้ามีปัญญา ทำได้เหมือนที่ทักษิณทำ โกงได้เหมือนที่ทักษิณโกง พวกเค้าอาจจะเลือกทำเหมือนกันก็เป็นไปได้ อย่างงั้นรึป่าว!! ซึ่งอันนี้แหละที่น่ากลัว!!

เรื่องการเมืองไทยวันนี้เลยบ่งบอกคุณภาพความคิดคนแต่ละคนได้อย่างแท้จริงในความคิดของฉั้น

แต่สำหรับฉั้นแล้ว อุดมการณ์คือ

"ถ้าพ่อฉั้น หาเงินเลี้ยงฉั้นด้วยการโกงเงินเค้ามา ฉั้นจะไม่ภูมิใจเลย แล้วถ้าแม่ฉั้นช่วยปกปิด และปกป้องพ่อ ด้วยการบอกฉั้นว่าพ่อทำเพื่อครอบครัว ฉั้นก็จะโกรธแม่ด้วยที่ปกป้องคนผิด และสนับสนุนให้พ่อไม่รู้สึกผิด และไม่ยอมรับผิด" 

แม้ฉั้นจะพยามเปิดใจให้เห็นอีกมุมนึง ด้วยการศึกษาคุณยิ่งลักษณ์ ไปติดตามเฟสบุ๊คดู ก็เห็นกะตาว่ามีคนชอบเธอเยอะแฮ่ะ แน่นอนคงเป็นเพราะบารมีของพี่ชาย รวมทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกท่าทาง และการแต่งกาย คุณสมบัติทางการศึกษา และชาติตระกูล เธอก็เลยดูดีมีสง่าราศี ที่สำคัญมีวัยวุฒิที่อ่อนกว่า สั่งได้ เป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาดของทักษิณที่ทำไมเค้าถึงเลือกเธอ แต่คิดเล่นๆถ้าเธอไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่เป็น Working Woman คนนึง ฉั้นก็คงจะชื่นชมเธออยู่เหมือนกันนะ

แต่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง แล้วอยู่ดีๆ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มาลงเล่นการเมือง แล้วลงสมัครรับเลือกตั้ง เธอจะสอบผ่านได้ง่ายดายอย่างนี้รึป่าว ก็ไม่แน่... แต่ที่แน่ๆ เธออยู่ในแวดวงนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีทักษิณ แล้วถ้าสมมุติเธอสอบผ่านการเลือกตั้งอย่างขาวสะอาด ทักษิณ ไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วเธอจะโดนรุมด่า ว่าโง่ ว่าควาย ว่าดีแต่อ่านโพย ว่าเป็นหุ่นเชิด ว่าอ่านหนังสือไม่ออก พูดภาษาอังกฤษห่วย โกหกสื่อนอก ฯลฯ อย่างที่โดนรุมด่าอย่างทุกวันนี้รึป่าว?

แต่เอาเหอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ตอนนี้การประท้วงบ้านเรา มันไม่ใช่แค่ยุบสภา หรือ นายกลาออก เรื่องก็จบ เพราะถ้าง่ายแบบนั้น คนเรือนล้านคงไม่ต้องออกมาให้เหนื่อย นอนตีพุงดูละครอยู่บ้านดีกว่า แต่เจตจำนงค์ที่มันมากกว่านั้น คือ ต้องการต่อต้านการโกงกิน การคอร์รับชั่น โดยต้องการต่อต้านตั้งแต่สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราอาจมองข้ามๆกันไปแบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แล้วทำกันอย่างไม่ละอายในชีวิตประจำวันของคนเราทุกคนด้วย ไม่ว่าการ "ใต้โต๊ะ" ให้ตำรวจ การ "แป๊ะเจี๊ยะ" ฝากลูกให้ได้เข้าเรียน การติดสินบนพวกข้าราชการ การมีอานิจสินจ้างให้ลูกค้า และอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ควรหายไปจากโลก จากประเทศไทย หายไปจากความไม่ละอายในจิตใจของทุกคน หลายคนอาจมองว่าคิดการณ์ใหญ่ที่เป็นไปไม่ได้ หลายคนอาจมองว่าได้คืบจะเอาศอก ประท้วงให้เกิดความวุ่นวาย แต่สำหรับฉั้นมองว่า ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ามันจะถึงจุดเปลี่ยน ก็ควรเป็นเวลานี้แหละ เหมาะที่สุด คนขี้โกง และคนไม่ยอมรับผิดไม่สมควรได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจ จิตสำนึกแบบนี้ต้องถูกปลูกฝังในคนไทย ความมักง่าย เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ทำให้คนเราไม่สำนึกผิด ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ไม่ละอายต่อการทำผิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจน ไม่เกี่ยวกับการศึกษาสูงหรือต่ำ ไม่เกี่ยวกับชาติตระกูล เทือกเถาเหล่าก่อ แต่มันเป็นเรื่อง "จิตสำนึก"

หากใครได้แวะเข้ามาอ่าน และมีโอกาสอ่านเรื่องราวหลายๆเรื่องที่ฉั้นเคยเขียนๆ จะรู้ว่าฉั้นจริงจังกับเรื่องแบบนี้ การที่ตัวอยู่ไกลและเห็นว่าหลายล้านคนที่เมืองไทยมีจิตสำนึกที่ดีที่อยากปลุกให้คนไทยตื่นอีกครั้ง ฉั้นจึงขอเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดัน ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน คิดดี ทำดี สำนึกดี และสนับสนุนคนดี ไม่มีอะไรยากเกินไป และไม่มีอะไรสายเกินไปถ้าไม่เริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ฉั้นเชื่อว่า จิตสำนึกที่ดีเท่านั้น ที่จะทำให้คนเราอยู่ในสังคมไหนๆก็ได้ อย่างเคารพตัวเอง ไม่ทำผิดในสิ่งที่บ่งบอกถึงการดูถูกตัวเองไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยหรือใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม  



วันศุกร์, พฤศจิกายน 29, 2556

โดนปล้นในบราซิล

หลังจากผ่านไป 3 ปี กับการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล การได้ยินได้ฟังเรื่องราว โดนจี้ โดนปล้น ถือเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ชิด เช่น พี่สะใภ้ แม่สามี พี่เขย เพื่อนห่างๆ ร้านอาหารแถวบ้าน ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แม้กระทั่งตู้เอทีเอ็มข้างบ้าน แต่ไม่เคยคิดเลย ว่าวันนึงจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

เพราะฉั้นเชื่อเรื่อง Law of Attraction เชื่อว่าตื่นขึ้นมาทุกเช้า ควรเริ่มคิดถึงสิ่งดีๆ ขอบคุณที่ยังมีข้าวให้กิน มีเตียงนุ่มๆให้นอน มีเงินให้ใช้ มีสามีที่ดี และมีลูกที่น่ารัก ขอบคุณที่ยังมีชีวิตที่ไม่ขาดแคลน ไม่ลำบาก ฯลฯ แต่ Law of Attraction เห็นทีคงจะใช้ไม่ได้ผลสำหรับการอยู่ที่นี่ เพราะแม้จะฝืนใจให้คิดแต่เรื่องดีๆเพื่อดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา ก็ยังไม่วาย มีเรื่องให้ปวดหัวอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าเรื่องเล็กๆไปยังเรื่องใหญ่ๆ เช่น เหมดไม่มาทำความสะอาด เพื่อนบ้านซ่อมบ้านเป็นปีเป็นชาติ แม่สามีวุ่นวาย พี่สะใภ้ไม่เป็นมิตร เพื่อนมีน้อย สื่อสารกับใครเค้าไม่ได้ ทำอะไรก็ติดขัด ฯลฯ แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ยังไม่เครียดเท่ากับวันดีคืนดี โดนโจรปล้นซึ่งๆหน้านี่สิ มันเครียด มันกลัว มันหดหู่ จนไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกยังไง 

หลังจากเกิดเหตุการณ์โดนปล้นกลางวันแสกๆโดยไอ้โม่งมันขับมอร์ไซต์มา เอาปืนมาเคาะกระจกรถ กรรโชกทรัพย์ ได้นาฬิกาเราไป 2 เรือน ทิ้งรอยนิ้วมือมันไว้ให้ดูต่างหน้าที่กระจกหน้าต่างรถ เรากลัวจนตัวสั่น ห่วงแต่ลูกที่หลับอยู่เบาะหลัง ได้แต่ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อย่างน้อยมันปล้นแล้วมันก็ไป หลายคนที่นี่บอกฉั้นว่ามันเป็นเรื่อง "ปกติ" ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ บางคนเกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้ง เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ แต่สำหรับฉั้นแล้ว คำว่า "ปกติ" จริงๆแล้วใช้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะการโดนปล้นแบบมีปืนมาจ่ออยู่ตรงหน้า เสียงปืนที่เคาะเรียกตรงกระจกหน้าต่างรถ ดัง ปึงๆๆ จนป่านนี้มันยังก้องอยู่ในหัว แบบแผ่นเสียงตกร่องที่เล่นแล้วเล่นอีกซ้ำๆให้ขวัญหนีดีฝ่อ เสียงไอ้โจรกระจอกนั่นแม้จะเป็นภาษาโปรตุกีซก็ยังคงดังซ้ำๆอยู่ในหัวแบบนึกทีไรก็ทั้งโกรธและทั้งกลัว ปืนที่มันยื่นไปยื่นมาอยู่ตรงหน้าสามีเรา เพื่อกรรโชกเอาทรัพย์สินของเรา จินตนาการว่าถ้าไม่ให้มัน มันจะทำยังไง ยิ่งนึกยิ่งผวา อาการร้องไห้แบบร้องไม่ออก มื้อไม้สั่นเทาอยู่ในรถกันสองคนกับอีกหนึ่งชีวิตที่ไร้เดียงสา ยิ่งคิดก็ยิ่งรักตัวกลัวตาย เพราะความห่วงลูกยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด 

ถ้าอยู่เมืองไทย หลายคนก็ปลอบใจด้วยการบอกว่า "ถือว่าฟาดเคราะห์" หรือ หลายคนอาจบอกว่าเป็น "กรรมเก่า" แต่หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน(เกิน) ทำให้ฉั้นเชื่อเรื่อง ฟาดเคราะห์และกรรมเก่า น้อยลงมาก เราไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้ใช้ชีวิตที่นี่กันแบบง่ายๆ ไม่ได้ทำงานแบบหาเช้ากินค่ำ รอรับเงินเดือนกันแบบสบายๆ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆสำหรับที่นี่ ฉั้นไม่ได้นั่งกินนอนกินรอใช้เงินเดือนสามี เราสองคนทำงานหนัก ฉั้นเลี้ยงลูกเองด้วยความอดทนขั้นสูง แฟบทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์และเก็บหอมรอมริบ พอเรามีมากพอ เราก็แค่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการซื้อข้าวของดีๆมีราคามาเก็บไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง เพื่อต่อสู้ และอดทนฟันฝ่าต่อไป ในที่ที่อาหารราคาแพง เสื้อผ้าราคาแพง รัฐบาลโกงกิน คนจนขี้ขโมย คนรวยแล้งน้ำใจ สังคมเสื่อมทราม ภาวะเงินเฟ้อ เราต้องกัดฟันทน ต่อสู้เพื่ออนาคต 

เราสมควรได้รับสิ่งที่ดี หรือ เป็นเจ้าของสิ่งที่เราคู่ควร
เราไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยการเบียดเบียนใคร
กรรมเก่า เป็นสิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้
เคราะห์ เป็นสิ่งที่อาจจะเกิดเมื่อไรไม่มีใครรู้

แต่เรื่อง "กรรมใหม่" หรือ "กรรมปัจจุบัน" ฉั้นยังคงเชื่อหมดใจ สอดคล้องกับเรื่อง "เหตุและผล" หรือ "Behavior and Consequences" ที่ฝรั่งเชื่อกัน มันก็คือ "กรรมและผลของกรรม" ใครทำอะไรไว้ย่อมต้องได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ

ฉั้นรู้แต่ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่สมควรเกิดกับเรา หากเราได้ใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่ผู้คนมีจิตสำนึกที่ดีกว่านี้ มันเป็นเรื่องที่มนุษย์เอาเปรียบมนุษย์ ใช้กิเลสของตัวเองทำร้ายคนอื่น ขโมยของของคนอื่นเพียงเพราะตัวเองไม่มีสำนึกเรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี มันเป็นเรื่องของจิตสำนึกของพวกขยะสังคม ที่ไม่มีปัญญาทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต เห็นการขโมยเป็นเรื่องทำง่าย ได้เงินง่าย และไม่แน่คนพวกนี้อาจตายไปง่ายๆอย่างไร้ค่า ไร้คนใยดี คนประเภทนี้มีอยู่มากมาย และมันทำให้คนดีท้อแท้ และวิตกจริต 

ฉั้นได้แต่อโหสิกรรม เพราะไม่อยากอาฆาตแค้น ด่าทอ สาปแช่ง ให้ตัวเองจิตตก ทรัพย์สินเงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ อย่างที่คนไทยสอนกันมาแต่ไหนแต่ไร ฉั้นต้องเข้มแข็งเพราะยังมีหน้าที่ที่ต้องทำ ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป แต่จากนี้ ชีวิตจะดำเนินต่อไปยังไง เป็นเรื่องที่ต้องคิดและตัดสินใจให้เร็ว ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายๆมันจะมาเปล่ียนแปลงฉั้น เปลี่ยนแปลงความคิด และจิตวิญญาณของฉั้น

และก็ได้แต่พร่ำบ่นในใจว่า "นี่เหรอ(วะ) ชีวิตของคนบราซิล!"

วันพุธ, กันยายน 25, 2556

Narcissistic Personality Disorder

เคยเจอมั้ย คนประเภทที่ ดูดี๊ ดูดี ทั้งรูปร่างหน้าตา กิริยา มารยาท การพูดการจา น้ำซุ่มน้ำเสียง ฯลฯ เกิดมาได้ยังไงอะไรก็ดูดีไปหมด เห็นปุ๊บหลงรัก พอได้รัก ก็ช่างเป็นโชค เพราะนอกจากดูดีแล้ว ยังมีเสน่ห์ มีรสนิยม ช่างเอาอกเอาใจ ไม่มีขาดตกบกพร่อง เรียกว่า ถ้าใครได้ไปเป็นภรรยา(ใช่ ฉั้นหมายถึงผู้หญิง) ถือว่า โชคดีสุดๆ หรือถ้าใครได้เป็นเพื่อนก็รู้สึกภูมิใจที่มีเพื่อนสวยๆ เอาไว้อวดใครๆ ยิ่งพอได้รู้จักก็ยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น เพราะมีเธอไปไหนต่อไหนด้วยแล้วช่างทำให้ทริปนั้นๆสนุกและมีชีวิตชีวาขึ้นอีกเยอะ ยิ่งพอคบกันไปหลายๆปี ความสนิทยิ่งถึงขั้นรู้จักรู้ใจ รู้ตับไตใส้พุง รู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร รู้สึกว่าไว้ใจ จนอยากบอกเล่าทุกเรื่องราวภายในใจ จนกลายเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิท (หรือคนในครอบครัว) ที่รู้ใจ แต่แล้ววันดีคืนดี คนคนนี้กลับกลายเป็นคนเดียวที่ไม่มางานวันเกิดเรา หรืออาจจะมาวันเกิดเราด้วยชุดสีดำสนิทศรีษะจรดปลายเท้า พร้อมกับของขวัญราคาถูกแสนถูกมามอบให้เราในวันเกิด หรืออาจเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัวคนเดียวที่ไม่มาร่วมแสดงความยินดีในงานวันแต่งงานของเรา หรืออาจเบี้ยวนัดเราในงานวันเกิดครบขวบของลูกคนแรกของเรา ด้วยเหตุผลแบบไม่มีเหตุผล อาจเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิท หรือ คนในครอบครัวคนเดียวที่ทำให้เราเจ็บเข้ากระดูกดำ ด้วยการเอาเราไปพูดลับหลังให้เสียหาย ทำให้เพื่อนรักเพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัวคนอื่นเกลียดเราโดยเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไร หรืออาจจะเป็นคนที่มาบอกเราว่า คนอื่นนินทาเราลับหลังว่าอย่างไรให้เราต้องโกรธจนตัวสั่น และเกลียดคนคนนั้นเข้าใส้ และไม่คิดแม้แต่จะไต่ถามความจริง

คนคนนี้เป็นคนที่อยากได้อะไร ต้องได้ดั่งใจ (โดยเฉพาะสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรได้) ถ้าไม่ได้จะโกรธเกรี้ยวอาละวาท เจ้าคิดเจ้าแค้น โดยเฉพาะกับคนที่ใจแข็ง ไม่อ่อนข้อ จะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ให้หาเรื่องแก้แค้นด้วยวิธีสกปรก แล้วถ้าโดนจับได้ จะทำเป็นโมโหเดือดดาล เฉไฉเปลี่ยนเรื่องจนทำให้เรื่องราวกลับตาลปัตร จากความผิดเค้ากลายเป็นความผิดเรา หรืออาจเป็นฝ่ายพยามยั่วโมโหคนอื่นให้โกรธ เพื่อชวนทะเลาะ แล้วแสร้งทำตัวเป็น 'เหยื่อ' ที่เจ็บยิ่งกว่า ให้คนอื่นกลายเป็นคนผิดซะเอง และจะเกลียดมากถ้าโดนเพิกเฉย เดินหนี หรือทอดทิ้ง คนคนนี้ไม่รู้ข้อจำกัดของคำว่า "ความเป็นส่วนตัว" ถือวิสาสะเข้าบ้านคนอื่น  หยิบใช้ข้าวของหรือทรัพย์สินของคนอื่น สอบถามเรื่องราวส่วนตัวของคนอื่น ฯลฯ ได้อย่างไม่รู้สึกผิดที่ไม่ขออนุญาตก่อน คนคนนี้จะเลือกใช้ช่วงวันเวลาที่สำคัญ เช่น วันเกิด วันแต่งงาน วันพิเศษต่างๆ เป็นอาวุธในการทำร้ายจิตใจคนอื่น อาจจะผิดนัดเราในวันสำคัญด้วยการบอกว่ามีนัดกับคนอื่นที่ไม่สำคัญเท่าไรทับซ้อนกัน หรืออาจนัดคนนู้นคนนี้ให้มาเจอกันในวันสำคัญดังกล่าวเพื่อสร้างความอึดอัด สับสน และงงงวย หรือบางทีอาจใช้วิธีที่ในละครเรียก 'ขโมยซีน' อย่างหน้าตาเฉย ในเวลาที่เราต้องการคนคนนี้ที่สุดจะเป็นวันที่เค้าหรือเธอไม่ว่างเจอ และมันจึงกลายเป็นเวลาที่เรามักจะเจ็บปวดและผิดหวังที่สุดเช่นกัน คนคนนี้เป็นคนที่รู้ความลับและความเป็นไปเกี่ยวกับเราทุกอย่างเพราะเป็นคนที่คอยถามไถ่ เป็นห่วงเป็นใย สร้างความไว้ใจ จนมันกลายเป็นอาวุธให้เค้าใช้ทำร้ายเราในภายหลัง คนคนนี้เมื่อเห็นเราประสบความสำเร็จหรือมีความสุข จะไม่เคยเอ่ยปากแสดงความยินดี แต่จะพูดทับถมด้วยเรื่องความสำเร็จของคนอื่นหรือตัวเองให้เรารู้สึกว่าความสำเร็จหรือความสุขของเราไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าของเธอหรือคนอื่นๆที่เธอรู้จัก หรืออาจทำเป็นเฉยเมยไม่แยแส หรือเจ็บกว่านั้น อาจพูดถึงปมด้อยของเราขึ้นมาแทน เพราะคนคนนี้รู้ดีว่าอะไรคือจุดอ่อน อะไรคือขอเสียของเรา แล้วเค้าก็จะคอยตอกย้ำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก และเป็นคนที่แข่งขันกับเราอย่างเป็นนัยๆอยู่ตลอดเวลา คนคนนี้สร้างเรื่องโกหกและมีเราเป็นหนึ่งในตัวประกอบของเรื่องโกหกนั้น เรื่องโกหกทั้งหลายต้องมีใครซักคนที่ดูแย่และเธอคนเดียวที่ดูดีหรืออาจเป็นคนที่โดนกลั่นแกล้งรังแก คนคนนี้ไม่มีความสามารถพิเศษ ไม่เคยมีผลงานอะไรโดดเด่น แต่มีความอิจฉาริษยาขั้นสูงที่ผลักดันให้เป็นคนอยากได้ อยากมี อยากเป็น และพยามเป็นดาวเด่น หรือเป็นจุดสนใจของทุกคน ชื่นชอบคำชม คำเยินยอ ภาพลักษณ์ภายนอกจึงต้องดูดี โดดเด่น และต้องบ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวย เช่น เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ บ้าน และรถ ที่เป็นสิ่งที่สังเกตุเห็นได้ง่ายๆ รวมไปถึง วิถีการใช้จ่ายก็ต้องดูฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยด้วย ชอบดูถูกคนอื่น และชอบให้ข้าวของหรือของขวัญแก่คนอื่นด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะการ 'ให้' บางครั้งใช้เป็นการบ่งบอกว่าตัวเอง ดีกว่า เหนือกว่า หรือมีมากกว่า บ่อยครั้ง 'ของขวัญ' จึงถูกใช้ในการสื่อสารข้อความบางอย่างเป็นนัยๆอยู่เสมอ คนคนนี้วันดีคืนดีอาจพบว่าเป็นคนที่ติดแบล็คลิสต์จากการเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือข้าวของดีๆแพงๆที่เธอใช้อาจไม่ใช่ของเธอ หรืออาจไม่ได้ซื้อหาด้วยตัวเอง บางอย่างได้มาเพราะเห็นว่าคนอื่นมีฉั้นจึงต้องมีบ้าง ถ้ามีให้ดีกว่าไม่ได้ มีให้เหมือนกันหรือคล้ายกันก็ยังดีเพราะมีความอิจฉาริษยาขับเคลื่อนอยู่ คนประเภทนี้หลายคนแต่งงานตั้งแต่ยังอายุน้อย มักเป็นคู่ที่ทุกคนเห็นว่าเหมาะสม และมีความสุข แต่กลับหย่าร้างกันอย่างกระทันหันจนทุกคนตะลึง  แต่หากไม่หย่าร้างก็จะเป็นคู่ที่เห็นชัดว่าไม่มีความสุขแต่กลับใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยืดเยื้อและยาวนาน เป็นคนที่ห่วงเรื่องภาพลักษณ์ตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงมักแสดงออกว่ามีความสุข ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ ชอบช่วยเหลือ ชอบมีส่วนร่วมกับชีวิตคนอื่น แต่ก็มักเป็นคนที่สร้างปัญหาให้คนอื่นปวดหัวอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรเป็นปัญหาก็สามารถทำให้เป็นปัญหาได้ เนื่องจากจิตใจส่วนลึกที่ไม่มีความสุข จึงต้องการเห็นว่าคนอื่นมีปัญหาและไม่มีความสุขด้วยเช่นกัน ใครที่มีความสุขเมื่อเจอคนประเภทนี้จึงอาจกลายเป็นคนที่โดนทำลายความสุขให้พังทลาย  เพราะคนประเภทนี้เห็น "คนที่ไม่มีปัญหา" เป็น "ตัวปัญหา" 

โชคร้ายที่คนประเภทนี้มักจะเป็นคนใกล้ตัว เช่น เพื่อนสนิท คนในครอบครัว คนที่นับถือ รัก และไว้ใจ คนที่เราทุ่มเทแรงกายแรงใจ บอกเล่าเรื่องราวของเราให้ฟังเพื่อหวังให้เค้าจะร่วมสุขร่วมทุกข์ และเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเรา แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน เมื่อคนที่เราหลงรักตั้งแต่แรกเห็นเมื่อหลายปีก่อน คนที่สวยงามไร้ที่ตินั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง มีแต่คนที่สร้างภาพ หลอกลวงตัวเองและคนอื่น เสพติดการทำร้ายคนอื่น และมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการดื่มด่ำความเจ็บปวดของคนอื่น(ที่ใกล้ชิด) เป็นคนที่เราพบว่าเราต้องใช้เวลาและพลังมากมายในการครุ่นคิดว่า ทำไมเค้าถึงทำร้ายจิตใจเราได้ลงคอ แม้อยากง้อขอคืนดีแต่ก็ทั้งรักทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน คนที่ปั่นหัวเราจนมึนแต่ก็ตัดใจจากเค้าไม่ได้ คนที่ทิ้งเราไป แต่ก็ยังทำเหมือนมีเยื้อใย ยื้อเราไว้ แล้วก็ทำร้ายเราซ้ำแล้วซ้ำอีก   

..............................................................................................

คุณเคยเจอคนประเภทนี้ซักคนหรือสองคน หรืออาจจะหลายคนมั้ยในชีวิตคุณ ถ้าเจอ หลีกหนีให้ไกล แสนไกล ถ้าเจอ พยามถอนความรู้สึก และจิตใจ ออกมาก่อนจะสาย

คนประเภทนี้ ไม่เปลี่ยน และไม่คิดจะเปลี่ยน เพราะพวกเค้าคิดว่าเค้า 'เพอร์เฟ็ค'
ถ้าจะมีใครซักคนที่เป็นคนผิด หรือคนที่เจ็บ คนคนนั้นต้องไม่ใช่เค้า คนพวกนี้ป่วย(Narcissistic Personality Disorder) ป่วยทั้งที่ไม่รู้ว่าป่วย ป่วยแบบรักษาไม่ได้ เพราะพวกเค้าคิดว่า เค้าไม่ได้เป็นอะไร

เค้าแค่เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แค่ดีกว่าทุกคน สวย รวย เก่ง ฉลาด เป็นที่คลั่งใคล้หลงไหล
มีสิทธ์ทำอะไรก็ได้ ถูกเสมอ และสมควรจะได้รับความสุขมากกว่าใครๆ
คนประเภทนี้หากเจอเรื่องผิดหวังแรงๆ กระทบกระเทือนจิตใจ อาการจะยิ่งรุนแรงขึ้น
จินตนาการที่พวกเค้าสร้างอย่างสลับซับซ้อน เพื่อโกหกหลอกลวงใครต่อใครเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เค้าต้องการ อาจกลายเป็นเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนต่อคนใกล้ชิด คนที่รักพวกเค้า เชื่อพวกเค้า
เค้าไม่ต้องการจิตแพทย์ เพราะพวกเค้าเชื่อว่า เค้ารู้จักตัวเองดี ใช่ และพวกเค้าก็รู้ดีซะด้วยว่าพวกเค้ากำลังทำอะไรอยู่
รู้ดียิ่งกว่าจิตแพทย์ซะอีก

แต่ถ้าคนประเภทนี้ เป็นคุณ
???




วันเสาร์, กรกฎาคม 13, 2556

เลี้ยงลูกแบบฝรั่ง

พอชีวิตมันเปลี่ยน Topic ในแต่ละโพสต์ หลังๆเลยเปลี่ยนไปด้วยเลย! ^^ ก็ตอนนี้กลายเป็นแม่คนแล้ว ใจคอเลยมีแต่ลูก ลูก ลูก แล้วก็ลูก!! 

ฉั้นเลี้ยงลูกเอง คนเดียว ทุกวัน ตลอด 24 ชม. การมีลูกเป็นลูกเสี้ยว แล้วมาเกิดในต่างแดนแบบนี้ อะไรมันก็แปลกแตกต่างไปหมดเมื่อเทียบการการเลี้ยงดูแบบไทยๆหรือแบบที่ฉั้นเกิดและเติบโตมา เรื่องอาหารการกิน เรื่องการเลี้ยงดู เรื่องการใช้ชีวิต สิ่งที่ยากคือ การเป็นครอบครัวเดียวกันในขณะที่คนเป็นพ่อก็เติบโตมาอีกแบบ ฉั้นซึ่งเป็นแม่ก็เติบโตมาอีกแบบ จึงต้องเลือกและเรียนรู้ว่าการเลี้ยงดูแบบไหนที่มันจะเหมาะและดีที่สุดต่อลูก มันไม่ง่ายเพราะเราเป็นแม่ไทยในเมืองฝรั่ง จะเลี้ยงลูกแบบที่แม่เราเลี้ยงเราก็ไม่ดี จะเลี้ยงแบบฝรั่งจ๋าอย่างที่แม่เค้าเลี้ยงเค้าก็ไม่ได้ เพราะความแตกต่างตรงนี้แหละทำให้ฉั้นต้องศึกษาจากสื่อต่างๆมากมาย ทั้งหนังสือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ทั้งจากอินเตอร์เน็ต ทั้งจากหมอ บางอย่างเห็นด้วย บางอย่างไม่เห็นด้วย ต้องเรียนรู้และทดลอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ 'ลูก' ถ้าสิ่งที่ทำแล้วเค้าไม่ต่อต้าน ทำแล้วเค้ายังมีความสุข เติบโต แข็งแรง สำหรับฉั้น นั่นล่ะคือสิ่งที่เวิร์คที่สุด

เลี้ยงแบบฝรั่งเลี้ยงยังไง
เท่าที่สังเกตุ ฝรั่งเค้าจะเน้นเรื่องมารยาทและระเบียบวินัยนะ เพราะสังคมมันอยู่กับการแข่งขันกันมาก อาจไม่ทุกครอบครัวหรอกที่จะมารยาทดีและมีระเบียบวินัย เพราะพวกฝรั่งเองเค้าก็เลี้ยงแบบลองผิดลองถูกเหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่ฉั้นไม่เห็นว่าเค้าจะเน้นเรื่องแสดงความรัก ความอ่อนโยน หรือเน้นเรื่องพื้นฐานจิตใจอะไรมาก แต่จะเน้นว่าลูกต้องเก่ง ต้องแกร่ง ต้องสู้คนอื่นเค้าได้หรือต้องดีกว่าคนอื่นอะไรอย่างงั้น หลักๆก็เลยจะประมาณนี้

เรื่องการกิน
ระเบียบวินัยในการกิน คือ ต้องกินเป็นเวลา และกินเป็นที่เป็นทาง ต้องฝึกให้นั่งเก้าอี้ให้เรียบร้อย พวกฝรั่งเค้ามี High Chair ให้ลูกนั่งที่โต๊ะอาหาร แต่อันนี้ฝึกยากมากและก็ยังไม่ได้ผลเลย เพราะให้นั่งกินที่เก้าอี้สูงที่โต๊ะอาหารทีไร ลูกก็ปีนออกปีนออกทุ๊กกกที เมื่อก่อนยังปีนไม่ได้ก็ยกขาขึ้นพาด ทุบโต๊ะดังป๊าบๆๆ ฉั้นละปวดหัวตึ๊บ เลยเปลี่ยนมาฝึกให้นั่งเก้าอี้เตี้ยๆแทนก่อน ลูกเพิ่ง 10 เดือนน่ะต้องค่อยเป็นค่อยไปหน่อย แต่จะพยามไม่วิ่งไล่ตามป้อน แต่ก็ไม่วาย ทั้งปีนทั้งป่ายเหมือนเดิม แต่ละมื้อ แต่ละมื้อ เล่นเอาเหนื่อยน่าดู เลยต้องใช้วิธีเปิดการ์ตูนให้ดูเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จริงๆไม่ถูกหรอก แต่ทำไงได้ พอลองแล้ว นั่งนิ่ง กินอย่างเรียบร้อย ตั้งอกตั้งใจ

เรื่องอาหาร
เด็กฝรั่งเค้ากินนมกันเยอะมาก ไม่ก็พวกโยเกิร์ต พวกโอ๊ต ซีเรียล ไรงี้ แต่ฉั้นมันคนไทย ไม่ชอบกินเล้ยยยย ของทั้งหมดที่ว่ามา แต่ก็ต้องฝึกให้ลูกกิน หมอที่นี่ก็แนะนำให้กินนมผสมตั้งแต่คริสโตเฟอร์เพิ่งเกิด เพราะตอนน้ันฉั้นน้ำนมน้อย หมอไม่อยากให้แม่เครียดเพราะมันจะส่งผลกระทบให้คนในบ้านเครียดไปด้วยและจะทำให้น้ำนมลด แต่จนกระทั่งตอนนี้หมอก็ยังแนะนำให้กินอยู่ แม้ฉั้นเองจะแอบต่อต้านในใจเพราะตอนนี้ฉั้นมีน้ำนมแล้วก็อยากให้เค้ากินนมแม่ แต่พอเห็นเค้าเริ่มน้ำหนักขึ้นช้าเพราะตัวเริ่มยืด ฉั้นเองก็เริ่มลดน้ำหนักด้วยเลยไม่ได้โด๊ปตัวเองเหมือนแรกๆ ที่สำคัญฉั้นไม่ได้เลี้ยงเค้าแบบให้ดูดจุกหลอก และไม่ได้ร้องปุ๊บเอานมให้กินปั๊บเค้าเลยเป็นเด็กที่กินแค่พออิ่มแล้วถ้าอิ่มเกิินไปเค้าก็จะแหวะออกมาเล็กน้อย ตอนนี้น้ำหนักเค้าก็เลยเริ่มเพิ่มน้อยกว่าส่วนสูง ฉั้นเริ่มกลัวเค้าจะโตไม่ทันเด็กฝรั่ง ก็ต้องยอมฝึกให้ดื่มนมผสม แต่เพราะมันรสชาติแปลกๆนะ เค้าก็เลยกินมั่งไม่กินมั่ง ชงแล้วต้องทิ้งมั่งอะไรมั่ง แต่ก็ต้องพยายาม เค้าไม่ชอบดูดจากขวดนมด้วยก็ต้องลองป้อนด้วยช้อน ทำทุกวิถีทาง แม้เค้าจะร่าเริง แข็งแรง และเป็นเด็กมีความสุขดี แต่คนเป็นแม่มันก็อดเครียดไม่ได้ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ยื่งพอเค้าเริ่มกินอาหารแล้ว ก็ต้องพยามทำอาหารที่มีประโยชน์ และอร่อย! พยามดูเมนูที่คิดว่าเค้าน่าจะชอบ ต้มน้ำซุปผักทีก็ต้องต้มให้หวาน เมนูข้าวก็ต้องทำเป็นข้าวตุ๋นให้มีรสชาติ มื้อไหนฉั้นกินเองแล้วไม่อร่อยก็ต้องตัดใจเททิ้ง ไม่อยากให้เค้ากินอาหารไม่อร่อย ไม่อยากให้เค้าเป็นเด็กอมข้าว หรือไม่ยอมกินข้าวแบบต้องบีบบังคับจับยัดปากอะไรอย่างงั้น โชคดีที่เค้ากินได้ ไม่งั้นฉั้นก็เครียดอีก หุหุ!!

การมีหมอประจำคอยมอร์นิเตอร์ตลอด ตรวจเช็คเป็นประจำและไปตามที่หมอนัดแบบไม่ขาด(มาตั้งแต่ตอนท้อง) แม้มันจะเครียดบ้างแต่มันก็ดีหลายอย่าง ลูกแข็งแรง มีพัฒนาการดี ทำให้ฉั้นได้รู้ความเป็นไปตลอด และยังช่วยให้ฉั้นดูแลลูกอย่างตั้งใจมากด้วย

เรื่องการนอน
คริสโตเฟอร์นอนคนเดียวในห้องส่วนตัวตั้งแต่แรกเกิดแบบเด็กฝรั่งเลย เราก็เตรียมห้องนอนและเครื่องนอนรวมถึงของประดับตกแต่งห้องให้เค้าอย่างดี มีกล้องมอร์นิเตอร์เค้าตลอด แค่เค้าร้องแอ๊ะเดียวเราก็ได้ยิน ฉั้นได้ยินว่าเด็กที่นอนเตียงเดียวหรือห้องเดียวกับพ่อแม่ตั้งแต่เกิด เค้าจะไม่ยอมแยกไปนอนห้องตัวเองเมื่อถึงเวลาอันควร และจะฝึกยาก เราก็เลยฝึกเค้าตั้งแต่เกิด และเราคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะแฟบเป็นคนตัวใหญ่พลิกตัวทีโคลงทั้งเตียงเชียว และแฟบเองก็กลัวว่าอาจจะไม่ปลอดภัยเพราะอาจพลิกไปทับหรือกระแทกลูกเอา และนี่เป็นวิธีที่ฝรั่งส่วนใหญ่ใช้ ประกอบกับห้องนอนเราเล็กด้วย แค่เตียงเราเองก็เต็มละ แรกๆฉั้นอยากจะให้เค้านอนด้วยกันใจจะขาดเพราะเวลาเค้าตื่น ฉั้นก็ต้องตื่น แล้วก็เดินท่อมๆไปดูลูก ง่วงก็ง่วงสุดๆ แต่ก็ต้องเดินงัวเงียไปให้นมลูก ทรมานตอนที่เพิ่งคลอดใหม่ๆ เพราะหลังผ่าตัด ทั้งเจ็บแผล ทั้งอ่อนเพลีย แต่ก็ต้องปีนขึ้นปีนลงจากเตียงเพื่อไปกล่อมลูก แถมตอนเค้ายังเล็กๆเกิดใหม่ๆต้องอุ้มเดินกล่อมทั่วบ้านเป็นชั่วโมงๆ แต่ผ่านไป 10 เดือนแล้ว พบว่าการที่เค้านอนคนเดียวในห้องส่วนตัวเงียบๆมันก็ดีตรงที่เค้าได้นอนเป็นเวลา เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ หลับสบาย พ่อกะแม่ก็ทำนู้นทำนี่ได้ ตอนเช้า จะตื่นกันกี่โมงก็ได้ ไม่รบกวนกัน การนอนสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเด็กมาก เพราะเวลาเค้าได้หลับสนิท Growth Hormone จะหลั่ง ทำให้เค้ามีการเจริญเติบโตดี แถมอารมณ์ดีด้วยเวลาเข้าได้นอนเต็มอิ่ม

ส่วนกลางวันก็มีเวลานอนกลางวันเป็นเวลาด้วย ฝึกจนเค้าง่วงเป็นเวลา หิวเป็นเวลา ก็ง่ายขึ้นอีกนิดสำหรับคนเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกเองคนเดียวอย่างเรา

ฝรั่งเค้าเน้นเรื่องฝึกให้ลูกสามารถหลับเองได้ด้วยนะ ไม่ใช่อะไรๆก็เอานมยัดปากให้หลับ เค้าใช้วิธีกล่อมให้ง่วงก่อนเข้านอน จะอ่านหนังสือ เล่านิทาน ร้องเพลง หรืออะไรก็ได้เพื่อให้ลูกเริ่มง่วงแล้วก็วางเค้าลงเตียง โดยไม่ต้องรอให้เค้าหลับคาตัก เพื่อให้เค้าเรียนรู้ที่จะหลับด้วยตัวเอง แต่ธรรมชาติของเด็กจะร้องๆๆๆๆ จนเหนื่อยแล้วผล่อยหลับ แต่ฝึกจนเมื่อเค้าเรียนรู้ที่จะหลับเองได้ เค้าก็จะไม่ร้องอีกต่อไป ฉั้นลองล่ะ แต่ไม่ได้ผล หุหุ!! เห็นเค้าร้องไห้ตอนที่วางเค้าลงเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป มันทำใจไม่ได้ เลยเลือกที่จะให้เค้าดูดนมจนหลับไปอย่างอบอุ่นสบายใจ แต่ไม่ปล่อยให้เค้าหลับคาตักจนสนิท ค่อยเอาเค้าวางลงเตียงตอนเค้าหลับเคลิ้มไป แล้วไปหลับสนิทบนเตียงเค้าเอง ง่ายกว่าและสบายใจกว่าเยอะ เอาน่า หยวนๆกันไป อย่าไปเคร่งเครียดอะไรมาก ต้องนึกถึงลูกไว้ก่อน แค่เค้าหลับคนเดียวได้ฉั้นว่าก็ดีแค่ไหนแล้ววว

เรื่องการลงโทษ
การสอนแบบฝรั่ง เค้าจะใช้วิธี Time Out ยังไม่เคยลอง เพราะลูกยังเล็กเกิน แต่เค้าว่าได้ผลคือ เวลาที่เราห้ามอะไร แล้วเค้าไม่ฟัง ให้เตือนก่อน 1 ครั้ง ถ้ายังไม่ฟังอีกก็ให้บอกว่า Time Out แล้วพาเค้ามุม ไม่ใช่มุมแดงมุมน้ำเงินนะ ไม่ใช่มวย แต่ให้นั่งในมุมหรือที่ประจำสำหรับทำโทษ ให้นั่งนิ่งๆนานตามอายุ เช่น 1 ขวบก็ 1 นาที แต่ก่อนให้นั่งต้องอธิบายก่อนว่า Time Out เพราะอะไร เช่น เตือนแล้วไม่ฟัง บอกว่าไม่ให้ทำแล้วยังทำ จึงต้องทำโทษ แล้วก็จับเวลา ถ้าไม่ยอมนั่งก็ต้องจับกลับไปนั่งจนกว่าจะยอมนั่งในมุม Time Out จนครบตามเวลา ความยากมันอยู่ตรง เด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้ชายเนี่ยมันไม่ยอมอยู่นิ่งแม้แต่เสี้ยววินาที! ต้องอาศัยความอดทน ความตั้งใจ และความเด็ดขาดของความเป็นแม่ ถ้าบอกว่า 'ไม่' ก็ต้อง 'ไม่' ถ้าบอกว่าจะทำโทษก็ต้องทำโทษ ตามนั้น ห้ามใจดีหรือใจอ่อน และห้ามใส่อารมณ์จนถึงขั้นลงไม้ลงมือตี แล้วถ้าทำโทษเสร็จก็ต้องอธิบายอีกด้วยเพื่อให้เค้าเข้าใจว่าเราลงโทษเค้าทำไม เพื่อให้เค้าพูดคำว่า 'ขอโทษ' และเราให้อภัย กอดแล้วก็จูบแก้มลูก เพื่อแสดงให้เค้ารู้ว่าเมื่อเค้าสำนึกผิดเราก็พร้อมให้อภัย ด้วยความรักและหวังดี เอิ๊กกกก....ตรู จะสำเร็จมั้ยเนี่ย!! -_-'

เรื่องความปลอดภัย
พวกฝรั่ง หรือแม้แต่ฉั้นเอง จะชอบพาลูกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พานั่งรถเข็นไปเที่ยวกัน สนุกดี ทำให้ต้องนึกถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ในรถต้องมี Car Seat มีรถเข็น ให้พร้อม บ้านช่องต้องสะอาด ข้าวของต้องเก็บเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเรียบร้อย ปลั๊กเปลิ๊กไฟอะไรก็ต้องปิดต้องป้องกันไม่ให้เค้าเอานิ้วเข้าไปแหย่เล่น ประมาณนี้

เรื่องภาษา
แม้จะยังหนักใจว่าลูกจะเริ่มพูดภาษาอะไรได้ก่อน แต่เราก็เลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ความเป็นแม่ก็ใช้ภาษาไทยปนไปเยอะอยู่เพราะมันรู้สึกความใกล้ชิดมากกว่า แต่เห็นพ่อเค้ายังไม่พูดภาษาโปรตุกีซเพราะกลัวลูกสับสนแล้วจะพูดได้ช้า เราก็ต้องต้องเสียสละบ้างไรบ้าง ดังนั้น คาดว่าคริสโตเฟอร์คงจะเรียก Daddy กับ Mommy ได้ก่อนที่จะเรียก พ่อ กับ แม่ เป็นแน่

นึกออกประมาณนี้ก่อนนะ 

วันศุกร์, กรกฎาคม 05, 2556

10 feelings that's going to happen when you are a parent

1. Feeling guilty. Whether you are breastfeeding or formula. Should you train your children to sleep or not. Should you return to work or be a stay at home mom. You will feel guilty all the time. You'll wonder if your decision would be right or wrong. Other people can make you feel guilty too, whether they said it or not. The solution is to accept whatever you have selected. Whether it's right or wrong, it's based on the best solution for the child and your family. Guilt, in fact it's influenced by the opinions of the others.

2. Feeling angry. Anger is an emotion that is deadly dangerous, especially if it happens to your spouse, your children or even yourself. You have an anger in many cases, such as a driver tries to cross cut you. Waiting queues at the supermarket for a very long time because of just one woman, etc. This happens because you are overtired. The solution is to find some times to get some sleep, and to relieve your stress.

3. Feeling yourself incompetent. When your children don't stop demolish the house, don't listen to you. You may have thought that someone would have come, knock the door and pick them away because sometimes you're just so overwhelming. But it doesn't mean that you are a bad mother.

4. Feelings competitive. If you have friends or relatives who have children the same age, you are always secretly competing. Even though you do not brag or boast about it but it could be secretly glad when your daughter can walk before your close friend one or your son scores better than the son of your best friend.  It's really unavoidable.

5. Feeling unsatisfied (sometimes). If you say no, you never miss the time when you have no child, which is free and fun that means you're lying. If you say you're 100% satisfied with the life you are now, you are also lying again. However it's occasionally, for example, just when you don't sleep enough or never sleep well through the night since 2009. But believe me, you never regret that you have children.

6. Sense of fun. You never regret to have children because it makes you have fun every day. Although sometimes, be provoked or challenged by your children. It also makes you happy. The smile, hug and kisses, as well as the handshake between you and them.  It's been a pleasure.

7. Intensity grateful and appreciation. When you become a parent yourself, you appreciate your parents more than ever. Hands up, if you agree! Now you have this feeling when you are a parent, then you can call your mother to apologize and say thank you for what she's done to you and for you. You will even feel appreciate your spouse and yourself more. Even only 10 minutes for having a cup of coffee peacefully can make you feel appreciate too.

8. Feeling more clever to think strategically how to win the situation. Knowingly when to fight or to step back. Learn how to love wholeheartedly and realize that your heart is actually much bigger than you've ever thought. You're more protective and so much love forever for your children.

9. Feeling humble and simple. Being parents will give you the peace of mind and more simple life. But if you won't, that is also normal.

10. Feeling being loved. The love from your childen is so pure. When you look into their eyes and they wrap their little hands around you. That's called love.

Credit to : Pediatrician Dr. Suteera Auepairojkij(สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ)

วันจันทร์, มีนาคม 11, 2556

No Pain, No Gain

หลังจากเป็น 'คุณแม่' มาจะครบ 6 เดือน ฉั้นเพิ่งเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง เพิ่งเข้าใจว่าทำไมหลายๆคนจึงอยากมีลูกนักหนา เพิ่งเข้าใจความรักของคนเป็นแม่ที่มีต่อลูก เพิ่งเข้าใจคำว่า 'ยอมลำบากเพื่อให้ลูกได้อิ่ม' มันเป็นยังไง การมีลูกทำให้ชีวิตฉั้นเปลี่ยนไปมาก แต่ที่สำคัญมากกว่านั้น คือ ร่างกายฉั้นก็เปลี่ยนไปมากด้วย แน่นอนล่ะที่ก็ไม่พ้นเรื่องน้ำหนักตัว การมีลูกและการมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ฉั้นหลีกหนีความทุกข์จากคำวิจารณ์หรือคำถามบางคำถามที่ทิ่มแทงใจไปไม่พ้น โดยเฉพาะการกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ แม้จะรู้และเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่า มารยาทแย่ๆของคนไทยอย่างหนึ่งก็คือการทักเรื่องนำ้หนักตัว ไม่ว่าใครจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง คนบางคนจะคิดว่าการถามเรื่องน้ำหนักนั่นถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งในการทักทายไปแล้ว โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้เจอกันนานๆ ฉั่้นจึงหนีไม่พ้นที่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกที่พบว่าทุกคนชมลูกฉั้นเปราะว่าน่ารักอย่างงั้นน่ารักอย่างงี้ แต่ไม่มีเลยซักคนที่จะมองข้ามเรื่องความอ้วนของฉั้นด้วยการบอกฉั้นว่า ฉั้นทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ!! ไม่เหมือนพวกฝรั่งที่มารยาทของพวกเค้าคือการให้กำลังใจแล้วบอกให้ Keep up your work, you've done a good job! คือการได้ผลิตลูกที่น่ารัก สมบูรณ์แข็งแรง แปลกดีที่ฉั้นไม่เคยเจอเพื่อนฝรั่งคนไหนทักทายฉั้นว่าอ้วนจัง ทำยังไงถึงอ้วน เพราะก็รู้อยู่แล้วว่าการมีลูกก็ต้องแลกมาด้วยการบำรุงทุกวิถีทาง 

แน่นอน น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาอีก 10 โลของฉั้นหลังคลอดจึงทำให้ฉั้นกลายเป็นผู้หญิงตัวกลมที่ต้องอดทนรับคำวิจารณ์จากเพื่อนคนไทยไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความอ้วนนี่น่ากลัวเน๊อะ ฉั้นเพิ่งรู้ว่า การใส่ชุดอะไรก็ไม่สวย จะลุกจะนั่ง จะเดินจะเหินก็ปวดขา เนี่ย มันโคตรทรมานเลย ยิ่งกว่านั้นคือ การโดนทักว่า "โห อ้วนจัง!!" เนี่ย มันเจ็บจี๊ดดด!! แล้วไม่ใช่เจ็บท่ีโดนทักว่าอ้วนหรอกแต่มันเจ็บตรงที่ คนที่ทักนั่นเป็นคนที่ไม่เคยมีลูก ไม่เคยท้อง ไม่เคยรู้ว่าความลำบากของการตั้งท้องและความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั่นมันเป็นยังไง คนบางคนทักเพราะคิดว่าการอ้วนขึ้นเพราะมีลูกนั้นถือเป็นเรื่องน่ากลัว ถือเป็นการยอมเสียสละทั้งชีวิต คนบางคนอาศัยเวลาทั้งชีวิตในการตัดสินใจว่าจะไม่มีลูกเพียงเพราะรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ฉั้นเข้าใจ ฉั้นก็เคยผ่านจุดนั้นมา ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะมีลูก แต่ก็ยังต้องอาศัยความอดทนและกำลังใจมากมายเพื่อรับมือกับคำวิจารณ์หรือตั้งคำถาม เช่น 'ฉั้นไม่อยากเป็นแม่ที่สวยๆหุ่นดีๆกับเค้าบ้างเหรอ?' หรือถามฉั้นว่า 'แล้วพวกดาราที่เค้ามีลูกแล้วเค้าผอมๆกันเค้าทำไงอ่ะ?' บางคนก็ถามว่า 'แล้วทำยังไงถึงอ้วนได้ขนาดนี้' Y_Y ใครล่ะไม่อยากผอม ไม่อยากสวย ไม่อยากหุ่นดี ฉั้นเป็นคนหนึ่งล่ะที่อย๊ากอยาก แต่ฉั้นไม่ใช่เซเลบริตี้ จะได้คอยควบคุมอาหารอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่คนสวยหุ่นดีมาแต่กำเนิด และไม่ใช่ท้องตอนอายุน้อยๆอย่างสาวๆบางคน ตอนท้องมันก็หิว หิวก็ต้องกิน เพราะนึกถึงลูกในท้องที่ต้องหิวไปกับฉั้นด้วย หลังคลอดแล้วก็ยิ่งแล้วใหญ่ การให้นมลูกเอง เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง มันเหนื่อย เหนื่อยปุ๊บมันก็ต้องกินให้มีแรง อยากเห็นลูกดูดนมจากอก แล้วกลืนน้ำนมดังเอื๊อกๆ อย่างมีความสุข มันก็ต้องบำรุงตัวเองก่อน การได้เห็นลูกหลับคาอกอย่างมีความสุข การได้เห็นเค้าโตวันโตคืน สมบูรณ์แข็งแรง มันเป็นความสุขทางใจที่ไม่มีอะไรจะทดแทนได้ ถ้าฉั้นมัวแต่เครียดเรื่องน้ำหนัก มัวแต่ห่วงว่าตัวเองจะไม่สวย มัวแต่ระแวงว่าอ้วนแล้วสามีจะไม่รัก ลูกฉั้นอาจจะมีสุขภาพกายและใจที่ไม่แข็งแรงไปด้วย และนี่ไม่ใช่ข้ออ้าง สิ่งที่ฉั้นโชคดีที่สุดคือ การที่มีสามีที่ดีคอยให้กำลังใจฉั้นอยู่ตลอดเวลา เป็นพ่อและสามีที่สมบูรณ์แบบ ไม่เคยทำให้ฉั้นรู้สึกท้อใจในการเลี้ยงลูกด้วยการพูดจาทำร้ายจิตใจฉั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่คนที่ทำร้ายความรู้สึกฉั้นกลับเป็นคนอื่น คนที่ไม่เคยมีลูก และไม่คิดจะมีลูก ฉั้นพยายามข่มใจและข่มความรู้สึกไม่ให้สับสนและท้อแท้เพราะเรื่องนี้ แต่มันก็ยากนะ มันบั่นทอน มันทำให้ฉั้นหมดความมั่นใจและลดทอนความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเองลง ฉั้นได้แต่ตอบโต้ด้วยการอธิบายอย่างใจเย็น ว่าฉั้นต้องให้นมลูก ฉั้นอดอาหารไม่ได้ ฉั้นกลัวไม่มีน้ำนม แต่ก็จริงอยู่ที่ฉั้นก็เผลอตามใจปากไปบ้างเพราะความหิวเป็นเหตุ แฮ่ะๆ!! ^^'

แต่เอาเถอะ จะบ่นไปยังไงฉั้นก็ยังอ้วนอยู่ดี สู้มองหน้าลูก เล่นกับลูก พูดคุยกับลูกให้มีความสุขแทนดีกว่า เพราะถึงยังไงน้ำหนักฉั้นก็ยังไม่ลดภายในวันนี้พรุ่งนี้อยู่ดี เลิกให้นมลูกเมื่อไรจะกลับไปผอมสวยไฉไลกว่าเดิมให้ดู!! 
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...