Pages

วันพุธ, พฤศจิกายน 03, 2553

ประสบการณ์ทัวร์ประหลาด City Tour Sao Paulo, Downtown

City Tour Sao Paulo ถือเป็นประสบการณ์ City Tour ที่แปลกประหลาด โดยธรรมชาติของการไปท่องเที่ยว นอกจากจะต้องตื่นเต้น เตรียมสะพายกล้อง แต่งตัวมีสีสัน เตรียมเงินพกติดตัว แต่ครั้งนี้ กล้องไม่ควรเตรียม แต่งตัวควรมิดชิด พกเงินไปนิดเดียว และต้องไม่ใส่เครื่องประดับมีค่า! และนี่คือการเตรียมตัวท่องเที่ยวใน เซา ปาโล แผนการในวันนี้คือ City Tour Sao Paulo, Downtown

New Downtown และ Old Downtown คือ โซนในเมืองของ เซา เปาโล ซึ่งถ้าให้จินตนาการคำว่าในเมือง โดยปกติต้องนึกถึงบรรยากาศ ที่มีแหล่งช๊อปปิ้งหรูๆ มีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน ผู้คนแต่งตัวสวยงาม ข้าวของเยอะแยะละลานตา แต่สำหรับที่นี่ก็ละลานตาเหมือนกัน เพราะมีตลาดนัดขนาดใหญ่ขายของถูกอย่างสำเพ็งบ้านเรา มีตลาดสด ขายของสด ของแห้ง ขนม นม เนย ชีส ผลไม้ และอีกมากมาย ขนาดและหน้าตา เห็นแล้วชวนให้นึกถึง หัวลำโพง อาคารบ้านเรือน โบสถ์ โรงเรียน สำนักงานเก่าคร่ำคร่า แบบสถาปัตยกรรมโบราณสไตล์ บาร็อก (Baroque) และโกธิก (Gothic) แบบดิบๆ บ้างก็เก่าชำรุดทรุดโทรมแต่ก็ดูมีมนต์ขลัง บ้างก็ปรักหักพังอยู่ท่ามกลางตึกใหม่ๆ ที่ดูแล้วขัดตา ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ปนเปไปทั้งคนทำงานและคนจรจัด ย่าน Downtown นี้เมื่อ 30 ปีก่อนเคยเป็นแหล่งเจริญรุ่งเรือง เป็นที่ตั้งของ ธนาคาร และสำนักงานใหญ่ๆหลายแห่ง แต่เมื่อการเจริญเติบโตของเมือง เซา เปาโล ถูกพัฒนาไปอย่างไม่มีทิศทางเมื่อช่วง 20-30 ปีที่แล้ว ได้ยินว่าคนฐานะยากจนจากเมืองอื่นๆ อพยพเข้ามาหางานทำที่นี่และสุดท้ายก็ยึดพื้นที่ Downtown เป็นที่อยู่อาศัยแบบถาวร และแผนพัฒนาของรัฐบาลแทนที่จะพัฒนา Downtown ต่อไป กลับกลายเป็นมีแหล่งธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายกระจายไปในโซนอื่นๆ ซึ่งห่างจากย่าน Downtown ออกไป เช่น Paulista Ave. (เปาลิสต้า อเวนิว) เป็นต้น ปล่อยให้ทั้ง New Downtown และ Old Downtown เก่าเก็บ ชำรุดทรุดโทรมอย่างปัจจุบัน
Igreja de Se Cathedral
วันนี้ฉั้นเริ่มออกเดินทางโดยมีไกด์สาวมาดแมน นามว่า Flavia ขับรถมารับฉั้นที่บ้านย่าน Higienopolis (อีเจียนโนโปลิส) ตรงเข้าสู่ Downtown ซึ่งไม่ไกลกันมาก โบสถ์คริสต์ Igreja de Se Cathedral (อิเกรชา จี เซ่ คาเทรดราว) สไตล์ Gothic โบราณเป็นที่แรกที่ผ่าน โบสถ์นี้ถือเป็นโบสถ์ประจำเมือง ทั้งเก่าแก่และใหญ่โต ยังคงมีความสวยงามและมีมนต์ขลัง ตั้งอยู่ Se Square (เซ่ สแควร์) ใจกลางเมือง ที่ที่เราเข้าไปหาที่จอดรถในซอยใกล้ๆ เพื่อเดินเท้าผ่านเข้าสู่ Old Downtown


Para de Se หรือ Se Square ถือได้ว่าเป็น Center หรือใจกลาง Downtown ที่อีกด้านหนึ่งของ Square มีพิพิธภัณฑ์ Museu Anchiata (มิวเซอู อังชิเอต้า) ที่ภายในถูกปรับปรุงเป็นสวนนั่งเล่นส่วนหนึ่ง ปลูกต้นไม้หายากหลายชนิด และเป็นที่เก็บรักษาซากกำแพงเมืองบางส่วนที่ถูกสร้างแบบชาวอินเดียนแดงเมื่อพันกว่าปีก่อน ที่สร้างด้วยวิธีโยนดินเหนียวที่ละก้อนเข้าไปปะติดปะต่อกันจนเป็นรูปเป็นร่างกำแพงดินขึ้นมา ด้านฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์มีตึกโบราณสไตล์โกธิกดูเก่าแก่และมีมนต์ขลังอีกหลายตึกและก็มีอนุสวรีย์โบราณรูปร่างน่ากลัวกว่าตึกอีก..ตั้งอยู่!!




ฉั้นเริ่มหยิบ iPhone ขึ้นมาเก็บบรรยากาศและรูปถ่าย เสียงเตือนจากไกด์ก็ดังขึ้นทันทีว่าให้ระวัง ถ่ายแล้วก็รีบเก็บ เพราะที่นี่ iPhone ถ้าถูกฉกไปแล้วละก็ ขายได้ราคาที่เดียวเชียว! หลังจากเก็บ iPhone กลับเข้าที่อย่างเหลียวหน้าพะวงหลัง เราก็เริ่มเดินทางกันต่อผ่านตึกเก่าๆมากมาย และอาคารโบราณที่เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของธนาคารต่างๆใน เซาเปาโล ซึ่งปัจจุบันหลายๆแห่งได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปตั้งที่อื่นที่ใหม่กว่า ทิ้งตึกเก่าแก่นี้ไว้ให้ถูกแปรสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน เช่น Banco de Sao Paulo (บังคุ จี เซา เปาโล) หรือ Bank of Sao Paulo ที่บนชั้นสูงสุดของยอดตึก กลายเป็นจุดชมวิวเมืองเซาเปาโลแบบ 360 องศา มองลงมาเห็นบ้านเมืองชัดเจน ความแตกต่างที่ฉั้นเห็นจากมุมสูงก็คือ ที่นี่บ้านเมืองไม่ได้มีสีสันมาก ถ้าไม่สร้างด้วยปูนธรรมดาก็จะสร้างด้วยอิฐแดงแบบไม่พถีพิถัน ตึกไหนที่มีสีสันก็จะเห็นโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมา บริเวณโดยรอบ Downtown มีตึกใหญ่ๆสูงๆไม่มากนัก นอกจากตึกที่เรากำลังยืนอยู่และบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น มองไปไกลสุดตาเห็นภูเขาล้อมรอบเมืองอยู่ ถัดจากการชมวิวมุมสูง เราก็กลับลงมาเดินผ่านย่าน Downtown กันต่อ แวะเข้าไปใน Stock Market เนื่องจากแถวนี้เคยเต็มไปด้วยธนาคาร ตลาดหุ้นจึงมีบทบาทสำคัญในอดีต แต่ปัจจุบันโถงที่เคยเต็มไปด้วยโบรกเกอร์ก็ถูกผันให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ สำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่สนใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นเข้ามาดู เหมือนเป็นนิทรรศการแทน โดยเปิดสอนและให้คำอธิบายโดยผู้ที่เคยทำงานเป็นโบรกเกอร์เมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง และการบรรยายไม่มีภาษาอังกฤษมีแต่ภาษา Portuguese เท่านั้น!


ออกจากตลาดหุ้น เราก็แวะ Art Gallery บ้าง ธนาคารบ้าง และโรงหนังเก่าๆ หลายแห่ง จนมาถึง Teatro Municipal (เทอาโตร มิวนิซิปาว) ซึ่งเป็นโรงหนังในตึกโบราณสไตล์โกธิก ที่ปัจจุบันก็ยังมีกิจกรรมฉายหนัง ทั้งเก่าทั้งใหม่ มี Opera Hall และ Concert Hall มีแสดงละครเวที มีมุมร้านขายหนังสือ และมุมบริการจิบชากาแฟฟรีตามอัธยาศัย ดูแล้วน่าจะสุนทรีย์ ด้านหน้าโรงหนัง ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ้าง นักท่องเที่ยวชาวบราซิลเลี่ยนก็มี แล้วถ้าให้เดา ฉั้นน่าจะเป็นคนไทยคนเดียวที่หลงเข้ามาที่นี่! เรามาถึงในช่วงที่หน้าโรงหนังมีโชว์เล็กๆพอดี มีสองสาวแต่งตัวสวยงามสไตล์โบราณ และอีกสองหนุ่มสะพายกีต้า มาร้องเพลงกันเพื่อเชิญชวนให้คนเข้าไปเที่ยวชมในโรงหนัง ดูแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ


Teatro Municipal (เทอาโตร มิวนิซิปาว)


ที่ Old Downtown นี้มี Mercado Municipal (เมอร์ซาโด มิวนิซิปาว) คือตลาดสดขนาดใหญ่ที่พูดถึงในตอนต้น เป็นตลาดที่เก่าแก่และขึ้นชื่อเพราะขนาดใหญ่เกือบเท่า หัวลำโพง บ้านเรา มีความสวยงามซ่อนอยู่ภายในตึก ที่ตกแต่งด้านหน้าด้วยกระจกที่มีสีสันและลวดลาย ที่นี่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ขนม นม เนย ผลไม้ ชีส เครื่องเทศ เนื้อสัตว์ และอื่นๆอีกมากมายเต็มไปหมด และมีร้านอาหารอยู่บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นลอย ซึ่งคนจะแน่นเอี๊ยดในวันเสาว์อาทิตย์ อาหารขึ้นชื่อที่นี่ คือ Pie สอดใส้ชนิดหนึ่ง ชื่อ Pastel (พาสเทล) ขายดีสุดๆรสชาติเอร็ดอร่อยเหมือนแป้งทอดกรอบๆแล้วแน่นไปด้วยใส้พายด้านใน มีให้เลือกทั้งใส้กุ้ง ใส้ไก่ ใส้เนื้อ และขายดีที่สุดเหมือนจะเป็นใส้ปลา เรียก Pastel de Bacalhau (พาสเทล จี บาคาเลียว) บาคาเลียวแปลว่าปลา แต่เป็นปลาเค็มนะ ต้องเรียกปลาเค็มตากแห้งน่าจะเหมาะกว่า เพราะเค็มได้ใจจริงๆก่อนนำไปทำอาหารต้องล้างน้ำก่อนหลายๆรอบ บางทีล้างแล้วแช่น้ำค้างคืนไว้ยังไม่หายเค็มเลย แต่คนบราซิลชอบกิน โดยเฉพาะในพาสเทลทอดกรอบๆร้อนๆกินกับโค้กซ่าๆซักกระป๋องนี่ล่ะ ... อืมมม มิน่าลูกค้าเข้าคิวยาวเหยียดทีเดียวเชียว


Menu Pastel&others
Pastel 
และจากที่นั่น ถนนใกล้ๆกันก็มี ตลาดขายของถูกอย่างสำเพ็งบ้านเรา ตั้งอยูบนถนน 25 de Março (วินชิซิงกุ จี มาร์คโซ) ใหญ่โตมโหราฬ คนพลุกพล่านและมีของขายเกือบทุกอย่าง เช่น เครื่องประดับ ของประดิษฐ์ ของที่ระลึก ของเล่น เครื่องสำอางค์ และอีกมากมายขายในราคาถูก แต่อย่างเคยต้องเดินด้วยความระมัดระวัง (กระเป๋าตังค์และของมีค่า) และมีสติอยู่เสมอ เพราะคนยิ่งมากยิ่งอันตราย แต่หากชอบซื้อของถูกและต่อรองได้ ก็ต้องมาที่นี่ล่ะ




เราเดินรอบๆเมืองซักพักเพื่อเก็บบรรยากาศความกว้างใหญ่โตและความพลุกพล่านของเมือง ก่อนวนกลับมายังที่จอดรถและเริ่มขับรถวนรอบเมืองอีกนิดเพื่อเข้าสู่ New Downtown เราได้แวะอีกหนึ่งที่ คือ โบสถ์คริสต์แบบโบราณ ที่เก่าแก่ สวยงาม ดูลึกลับและมีมนต์ขลัง ภายในมืดทึม มีคนมานั่งสวดมนต์ขอพร มีรูปปั้นพระเยซู พระแม่มาเรีย สไตล์โบราณพิถีถิถันสวยงาม ส่วนหน้าของโบสถ์เป็นร้านขายขนมปังสูตรพิเศษที่หลวงพ่อในโบสถ์ท่าลงมือทำเองและขายในราคาย่อมเยาว์


เราเข้าสู่ New Downtown ซึ่งหน้าตาแตกต่างจาก Old Downtown อย่างเห็นได้ชัด เพราะโซนนี้ไม่มีอาคารโบราณใหญ่โต ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว มีแต่อาคารพาณิชย์หน้าตาธรรมดาและสถานีรถไฟใต้ดินหลายสถานีตั้งอยู่ สำหรับใครที่ต้องการเดินทางมา Downtown ก็สามารถโดยสารรถไฟใต้ดินได้ สะดวกกว่าเพราะไม่ต้องพะวงเรื่องการหาที่จอดรถให้วุ่นวาย สถานีรถไฟที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็น Luz Station (ลูซ สเตชั่น) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟแห่งใหญ่ มีรูปร่างและโคร่งสร้างสวยงามไสตล์อังกฤษ ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ คศ.1991 ฝั่งตรงข้ามเป็น Pinacoteca do Estado ซึ่งเป็น Art Gallery และ Musuem ขนาดใหญ่ สร้างด้วยอิฐสีแดงดูเป็นศิลปะดิบๆไม่พิถีพิถัน สร้างตั้งแต่ปี คศ. 1889 


ติดกันด้านข้างมีสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ที่เค้าว่ามีเจ้าตัว Sloth ซึ่งเป็นสัตว์อนุรักษ์ของบราซิล มีมากในป่า Amazon หน้าตาคล้ายกับหมีโควล่าแต่ว่าขี้เหล่กว่าเยอะ! มีนิ้ว 3 นิ้วพร้อมกับเล็บที่ยาวมาก ใช้ในการปีนขึ้นต้นไม้ แบบ Slow Motion ..Slow มากจนขึ้นชื่อและได้ฉายาว่า "เจ้าตัวขี้เกียจ" เพราะมันใช้เวลาเป็นวันๆ กว่าจะปีนถึงยอดไม้ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่ของมัน ซึ่งเมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้ว กว่าจะกลับลงมาอีกอย่างแสนจะเชื่องช้า ก็ประมาณอีกหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลงมาฉี่เท่านั้น เราแวะเข้าไปเดินเล่นในสวนเพื่อตามหาตัว Sloth เพราะฉั้นอยากเห็นตัวเป็นๆ แต่วันที่เราแวะไปมันเพิ่งจะลงมาฉี่ไปเมื่อวาน เลยพลาดโอกาสได้เห็น เสียดายจัง อดเห็นสัตว์ขี้เหล่! ในสวนสาธารณะ ฉั้นก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตุผู้คนที่เดินบ้างนั่งบ้างอยู่ในสวน มือก็กำกระเป๋าถือจนแน่น ตาก็สังเกตุเห็นผู้คน มองไปที่ใครก็รู้สึกเหมือนทุกคนกำลังจ้องมองมาที่ฉั้นเข้าทำนอง “ตื่นตูม” ปน “หวาดระแวง” ดูแล้วยิ่งชวนให้คิดถึงสวนลุมพินี ในยามค่ำคืนซะนี่กระไร ผู้หญิงบางคนแต่งตัวแปลกๆ นุ่งกระโปรงสั้น ผิวดำกร้านทาปากแดง ยืนตามต้นไม้บ้าง นั่งอยู่ตามเก้าอี้บ้าง ผู้ชายก็มาเดินทอดน่องบ้าง บางคนก็มานั่งมองโน่นมองนี่อย่างไม่มีจุดหมาย(หรือมีก็ไม่รู้)บ้าง ในขณะที่ฉั้นกำลังสังเกตุผู้คนในบริเวณรอบๆ Flavia ไกด์สาวมาดแมนของฉั้นยังคงเดินตามหา Sloth ต่อไปอย่างห้าวหาญ สมแล้วที่เป็นไกด์ เพราะดูไปดูมา ฉั้นชักจะเริ่มกลัว Flavia แทนซะเอง!

Luz Station











ด้านข้าง Pinacoteca do Estado


ด้านหน้า Pinacoteca do Estado
และแล้วการเดินทาง City Tour กว่าค่อนวันของฉั้นก็สิ้นสุดลง หลังจากสวนสาธารณะแห่งนี้เราเริ่มเดินทางออกจาก New Downtown พร้อมด้วยอาการหายใจทั่วท้องอีกครั้ง การท่องเที่ยว City Tour ครั้งนี้มอบความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับฉั้น เป็นการท่องเที่ยวแบบไม่พกกล้อง อาจหมดสนุกไปบ้างเพราะมัวแต่หวาดระแวง ทำไงได้ฉั้นอยู่ที่นี่ เหมือนคนไม่รู้หนังสือ เขียนก็ไม่ได้ อ่านก็ไม่ออก หากเกิดไรขึ้นกับฉั้นที่นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถสื่อสารกับตำรวจได้ยังไง แต่สุดท้ายการเดินทางท่องเที่ยวช่วงสั้นๆครั้งนี้ ก็ปลอดภัยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และได้พบเห็นผู้คนที่แตกต่าง ศิลปะที่บอกไม่ได้ว่าสวยหรือไม่สวย ดิบและเก่าและดูลึกลับ

บราซิลเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในตัวเอง มีอะไรมากมายที่น่าสนใจ เซา เปาโล เป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียม ความเก่าอยู่ท่ามกลางความใหม่ ความรวยใกล้กันแค่คืบกับความจน ความอวดร่ำอวดรวยมาคู่กับการโจรกรรม ความเลือดร้อนก็มาควบคู่กับการทะเลาะเบาะแว้งและการเข่นฆ่า ความปลอดภัยอยู่ใกล้นิดเดียวกับความอันตราย สิ่งต่างๆเหล่านี้ถูกแยกออกจากกันด้วยเส้นแบ่งบางๆเท่านั้น นั่นหมายความว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ใน เซา เปาโล คนที่นี้รู้ดีว่ามันเป็นอย่างนี้มาเนิ่นนานและดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลง

ประสบการณ์ทัวร์ประหลาด City Tour Sao Paulo, Downtown

City Tour Sao Paulo ถือเป็นประสบการณ์ City Tour ที่แปลกประหลาด โดยธรรมชาติของการไปท่องเที่ยว นอกจากจะต้องตื่นเต้น เตรียมสะพายกล้อง แต่งตัวมีสีสัน เตรียมเงินพกติดตัว แต่ครั้งนี้ กล้องไม่ควรเตรียม แต่งตัวควรมิดชิด พกเงินไปนิดเดียว และต้องไม่ใส่เครื่องประดับมีค่า! และนี่คือการเตรียมตัวท่องเที่ยวใน เซา ปาโล แผนการในวันนี้คือ City Tour Sao Paulo, Downtown

New Downtown และ Old Downtown คือ โซนในเมืองของ เซา เปาโล ซึ่งถ้าให้จินตนาการคำว่าในเมือง โดยปกติต้องนึกถึงบรรยากาศ ที่มีแหล่งช๊อปปิ้งหรูๆ มีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน ผู้คนแต่งตัวสวยงาม ข้าวของเยอะแยะละลานตา แต่สำหรับที่นี่ก็ละลานตาเหมือนกัน เพราะมีตลาดนัดขนาดใหญ่ขายของถูกอย่างสำเพ็งบ้านเรา มีตลาดสด ขายของสด ของแห้ง ขนม นม เนย ชีส ผลไม้ และอีกมากมาย ขนาดและหน้าตา เห็นแล้วชวนให้นึกถึง หัวลำโพง อาคารบ้านเรือน โบสถ์ โรงเรียน สำนักงานเก่าคร่ำคร่า แบบสถาปัตยกรรมโบราณสไตล์ บาร็อก (Baroque) และโกธิก (Gothic) แบบดิบๆ บ้างก็เก่าชำรุดทรุดโทรมแต่ก็ดูมีมนต์ขลัง บ้างก็ปรักหักพังอยู่ท่ามกลางตึกใหม่ๆ ที่ดูแล้วขัดตา ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ปนเปไปทั้งคนทำงานและคนจรจัด ย่าน Downtown นี้เมื่อ 30 ปีก่อนเคยเป็นแหล่งเจริญรุ่งเรือง เป็นที่ตั้งของ ธนาคาร และสำนักงานใหญ่ๆหลายแห่ง แต่เมื่อการเจริญเติบโตของเมือง เซา เปาโล ถูกพัฒนาไปอย่างไม่มีทิศทางเมื่อช่วง 20-30 ปีที่แล้ว ได้ยินว่าคนฐานะยากจนจากเมืองอื่นๆ อพยพเข้ามาหางานทำที่นี่และสุดท้ายก็ยึดพื้นที่ Downtown เป็นที่อยู่อาศัยแบบถาวร และแผนพัฒนาของรัฐบาลแทนที่จะพัฒนา Downtown ต่อไป กลับกลายเป็นมีแหล่งธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายกระจายไปในโซนอื่นๆ ซึ่งห่างจากย่าน Downtown ออกไป เช่น Paulista Ave. (เปาลิสต้า อเวนิว) เป็นต้น ปล่อยให้ทั้ง New Downtown และ Old Downtown เก่าเก็บ ชำรุดทรุดโทรมอย่างปัจจุบัน
Igreja de Se Cathedral
วันนี้ฉั้นเริ่มออกเดินทางโดยมีไกด์สาวมาดแมน นามว่า Flavia ขับรถมารับฉั้นที่บ้านย่าน Higienopolis (อีเจียนโนโปลิส) ตรงเข้าสู่ Downtown ซึ่งไม่ไกลกันมาก โบสถ์คริสต์ Igreja de Se Cathedral (อิเกรชา จี เซ่ คาเทรดราว) สไตล์ Gothic โบราณเป็นที่แรกที่ผ่าน โบสถ์นี้ถือเป็นโบสถ์ประจำเมือง ทั้งเก่าแก่และใหญ่โต ยังคงมีความสวยงามและมีมนต์ขลัง ตั้งอยู่ Se Square (เซ่ สแควร์) ใจกลางเมือง ที่ที่เราเข้าไปหาที่จอดรถในซอยใกล้ๆ เพื่อเดินเท้าผ่านเข้าสู่ Old Downtown


Para de Se หรือ Se Square ถือได้ว่าเป็น Center หรือใจกลาง Downtown ที่อีกด้านหนึ่งของ Square มีพิพิธภัณฑ์ Museu Anchiata (มิวเซอู อังชิเอต้า) ที่ภายในถูกปรับปรุงเป็นสวนนั่งเล่นส่วนหนึ่ง ปลูกต้นไม้หายากหลายชนิด และเป็นที่เก็บรักษาซากกำแพงเมืองบางส่วนที่ถูกสร้างแบบชาวอินเดียนแดงเมื่อพันกว่าปีก่อน ที่สร้างด้วยวิธีโยนดินเหนียวที่ละก้อนเข้าไปปะติดปะต่อกันจนเป็นรูปเป็นร่างกำแพงดินขึ้นมา ด้านฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์มีตึกโบราณสไตล์โกธิกดูเก่าแก่และมีมนต์ขลังอีกหลายตึกและก็มีอนุสวรีย์โบราณรูปร่างน่ากลัวกว่าตึกอีก..ตั้งอยู่!!




ฉั้นเริ่มหยิบ iPhone ขึ้นมาเก็บบรรยากาศและรูปถ่าย เสียงเตือนจากไกด์ก็ดังขึ้นทันทีว่าให้ระวัง ถ่ายแล้วก็รีบเก็บ เพราะที่นี่ iPhone ถ้าถูกฉกไปแล้วละก็ ขายได้ราคาที่เดียวเชียว! หลังจากเก็บ iPhone กลับเข้าที่อย่างเหลียวหน้าพะวงหลัง เราก็เริ่มเดินทางกันต่อผ่านตึกเก่าๆมากมาย และอาคารโบราณที่เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของธนาคารต่างๆใน เซาเปาโล ซึ่งปัจจุบันหลายๆแห่งได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปตั้งที่อื่นที่ใหม่กว่า ทิ้งตึกเก่าแก่นี้ไว้ให้ถูกแปรสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน เช่น Banco de Sao Paulo (บังคุ จี เซา เปาโล) หรือ Bank of Sao Paulo ที่บนชั้นสูงสุดของยอดตึก กลายเป็นจุดชมวิวเมืองเซาเปาโลแบบ 360 องศา มองลงมาเห็นบ้านเมืองชัดเจน ความแตกต่างที่ฉั้นเห็นจากมุมสูงก็คือ ที่นี่บ้านเมืองไม่ได้มีสีสันมาก ถ้าไม่สร้างด้วยปูนธรรมดาก็จะสร้างด้วยอิฐแดงแบบไม่พถีพิถัน ตึกไหนที่มีสีสันก็จะเห็นโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมา บริเวณโดยรอบ Downtown มีตึกใหญ่ๆสูงๆไม่มากนัก นอกจากตึกที่เรากำลังยืนอยู่และบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น มองไปไกลสุดตาเห็นภูเขาล้อมรอบเมืองอยู่ ถัดจากการชมวิวมุมสูง เราก็กลับลงมาเดินผ่านย่าน Downtown กันต่อ แวะเข้าไปใน Stock Market เนื่องจากแถวนี้เคยเต็มไปด้วยธนาคาร ตลาดหุ้นจึงมีบทบาทสำคัญในอดีต แต่ปัจจุบันโถงที่เคยเต็มไปด้วยโบรกเกอร์ก็ถูกผันให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ สำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่สนใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นเข้ามาดู เหมือนเป็นนิทรรศการแทน โดยเปิดสอนและให้คำอธิบายโดยผู้ที่เคยทำงานเป็นโบรกเกอร์เมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง และการบรรยายไม่มีภาษาอังกฤษมีแต่ภาษา Portuguese เท่านั้น!


ออกจากตลาดหุ้น เราก็แวะ Art Gallery บ้าง ธนาคารบ้าง และโรงหนังเก่าๆ หลายแห่ง จนมาถึง Teatro Municipal (เทอาโตร มิวนิซิปาว) ซึ่งเป็นโรงหนังในตึกโบราณสไตล์โกธิก ที่ปัจจุบันก็ยังมีกิจกรรมฉายหนัง ทั้งเก่าทั้งใหม่ มี Opera Hall และ Concert Hall มีแสดงละครเวที มีมุมร้านขายหนังสือ และมุมบริการจิบชากาแฟฟรีตามอัธยาศัย ดูแล้วน่าจะสุนทรีย์ ด้านหน้าโรงหนัง ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ้าง นักท่องเที่ยวชาวบราซิลเลี่ยนก็มี แล้วถ้าให้เดา ฉั้นน่าจะเป็นคนไทยคนเดียวที่หลงเข้ามาที่นี่! เรามาถึงในช่วงที่หน้าโรงหนังมีโชว์เล็กๆพอดี มีสองสาวแต่งตัวสวยงามสไตล์โบราณ และอีกสองหนุ่มสะพายกีต้า มาร้องเพลงกันเพื่อเชิญชวนให้คนเข้าไปเที่ยวชมในโรงหนัง ดูแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ


Teatro Municipal (เทอาโตร มิวนิซิปาว)


ที่ Old Downtown นี้มี Mercado Municipal (เมอร์ซาโด มิวนิซิปาว) คือตลาดสดขนาดใหญ่ที่พูดถึงในตอนต้น เป็นตลาดที่เก่าแก่และขึ้นชื่อเพราะขนาดใหญ่เกือบเท่า หัวลำโพง บ้านเรา มีความสวยงามซ่อนอยู่ภายในตึก ที่ตกแต่งด้านหน้าด้วยกระจกที่มีสีสันและลวดลาย ที่นี่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ขนม นม เนย ผลไม้ ชีส เครื่องเทศ เนื้อสัตว์ และอื่นๆอีกมากมายเต็มไปหมด และมีร้านอาหารอยู่บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นลอย ซึ่งคนจะแน่นเอี๊ยดในวันเสาว์อาทิตย์ อาหารขึ้นชื่อที่นี่ คือ Pie สอดใส้ชนิดหนึ่ง ชื่อ Pastel (พาสเทล) ขายดีสุดๆรสชาติเอร็ดอร่อยเหมือนแป้งทอดกรอบๆแล้วแน่นไปด้วยใส้พายด้านใน มีให้เลือกทั้งใส้กุ้ง ใส้ไก่ ใส้เนื้อ และขายดีที่สุดเหมือนจะเป็นใส้ปลา เรียก Pastel de Bacalhau (พาสเทล จี บาคาเลียว) บาคาเลียวแปลว่าปลา แต่เป็นปลาเค็มนะ ต้องเรียกปลาเค็มตากแห้งน่าจะเหมาะกว่า เพราะเค็มได้ใจจริงๆก่อนนำไปทำอาหารต้องล้างน้ำก่อนหลายๆรอบ บางทีล้างแล้วแช่น้ำค้างคืนไว้ยังไม่หายเค็มเลย แต่คนบราซิลชอบกิน โดยเฉพาะในพาสเทลทอดกรอบๆร้อนๆกินกับโค้กซ่าๆซักกระป๋องนี่ล่ะ ... อืมมม มิน่าลูกค้าเข้าคิวยาวเหยียดทีเดียวเชียว


Menu Pastel&others
Pastel 
และจากที่นั่น ถนนใกล้ๆกันก็มี ตลาดขายของถูกอย่างสำเพ็งบ้านเรา ตั้งอยูบนถนน 25 de Março (วินชิซิงกุ จี มาร์คโซ) ใหญ่โตมโหราฬ คนพลุกพล่านและมีของขายเกือบทุกอย่าง เช่น เครื่องประดับ ของประดิษฐ์ ของที่ระลึก ของเล่น เครื่องสำอางค์ และอีกมากมายขายในราคาถูก แต่อย่างเคยต้องเดินด้วยความระมัดระวัง (กระเป๋าตังค์และของมีค่า) และมีสติอยู่เสมอ เพราะคนยิ่งมากยิ่งอันตราย แต่หากชอบซื้อของถูกและต่อรองได้ ก็ต้องมาที่นี่ล่ะ




เราเดินรอบๆเมืองซักพักเพื่อเก็บบรรยากาศความกว้างใหญ่โตและความพลุกพล่านของเมือง ก่อนวนกลับมายังที่จอดรถและเริ่มขับรถวนรอบเมืองอีกนิดเพื่อเข้าสู่ New Downtown เราได้แวะอีกหนึ่งที่ คือ โบสถ์คริสต์แบบโบราณ ที่เก่าแก่ สวยงาม ดูลึกลับและมีมนต์ขลัง ภายในมืดทึม มีคนมานั่งสวดมนต์ขอพร มีรูปปั้นพระเยซู พระแม่มาเรีย สไตล์โบราณพิถีถิถันสวยงาม ส่วนหน้าของโบสถ์เป็นร้านขายขนมปังสูตรพิเศษที่หลวงพ่อในโบสถ์ท่าลงมือทำเองและขายในราคาย่อมเยาว์


เราเข้าสู่ New Downtown ซึ่งหน้าตาแตกต่างจาก Old Downtown อย่างเห็นได้ชัด เพราะโซนนี้ไม่มีอาคารโบราณใหญ่โต ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว มีแต่อาคารพาณิชย์หน้าตาธรรมดาและสถานีรถไฟใต้ดินหลายสถานีตั้งอยู่ สำหรับใครที่ต้องการเดินทางมา Downtown ก็สามารถโดยสารรถไฟใต้ดินได้ สะดวกกว่าเพราะไม่ต้องพะวงเรื่องการหาที่จอดรถให้วุ่นวาย สถานีรถไฟที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็น Luz Station (ลูซ สเตชั่น) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟแห่งใหญ่ มีรูปร่างและโคร่งสร้างสวยงามไสตล์อังกฤษ ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ คศ.1991 ฝั่งตรงข้ามเป็น Pinacoteca do Estado ซึ่งเป็น Art Gallery และ Musuem ขนาดใหญ่ สร้างด้วยอิฐสีแดงดูเป็นศิลปะดิบๆไม่พิถีพิถัน สร้างตั้งแต่ปี คศ. 1889 


ติดกันด้านข้างมีสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ที่เค้าว่ามีเจ้าตัว Sloth ซึ่งเป็นสัตว์อนุรักษ์ของบราซิล มีมากในป่า Amazon หน้าตาคล้ายกับหมีโควล่าแต่ว่าขี้เหล่กว่าเยอะ! มีนิ้ว 3 นิ้วพร้อมกับเล็บที่ยาวมาก ใช้ในการปีนขึ้นต้นไม้ แบบ Slow Motion ..Slow มากจนขึ้นชื่อและได้ฉายาว่า "เจ้าตัวขี้เกียจ" เพราะมันใช้เวลาเป็นวันๆ กว่าจะปีนถึงยอดไม้ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่ของมัน ซึ่งเมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้ว กว่าจะกลับลงมาอีกอย่างแสนจะเชื่องช้า ก็ประมาณอีกหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลงมาฉี่เท่านั้น เราแวะเข้าไปเดินเล่นในสวนเพื่อตามหาตัว Sloth เพราะฉั้นอยากเห็นตัวเป็นๆ แต่วันที่เราแวะไปมันเพิ่งจะลงมาฉี่ไปเมื่อวาน เลยพลาดโอกาสได้เห็น เสียดายจัง อดเห็นสัตว์ขี้เหล่! ในสวนสาธารณะ ฉั้นก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตุผู้คนที่เดินบ้างนั่งบ้างอยู่ในสวน มือก็กำกระเป๋าถือจนแน่น ตาก็สังเกตุเห็นผู้คน มองไปที่ใครก็รู้สึกเหมือนทุกคนกำลังจ้องมองมาที่ฉั้นเข้าทำนอง “ตื่นตูม” ปน “หวาดระแวง” ดูแล้วยิ่งชวนให้คิดถึงสวนลุมพินี ในยามค่ำคืนซะนี่กระไร ผู้หญิงบางคนแต่งตัวแปลกๆ นุ่งกระโปรงสั้น ผิวดำกร้านทาปากแดง ยืนตามต้นไม้บ้าง นั่งอยู่ตามเก้าอี้บ้าง ผู้ชายก็มาเดินทอดน่องบ้าง บางคนก็มานั่งมองโน่นมองนี่อย่างไม่มีจุดหมาย(หรือมีก็ไม่รู้)บ้าง ในขณะที่ฉั้นกำลังสังเกตุผู้คนในบริเวณรอบๆ Flavia ไกด์สาวมาดแมนของฉั้นยังคงเดินตามหา Sloth ต่อไปอย่างห้าวหาญ สมแล้วที่เป็นไกด์ เพราะดูไปดูมา ฉั้นชักจะเริ่มกลัว Flavia แทนซะเอง!

Luz Station











ด้านข้าง Pinacoteca do Estado


ด้านหน้า Pinacoteca do Estado
และแล้วการเดินทาง City Tour กว่าค่อนวันของฉั้นก็สิ้นสุดลง หลังจากสวนสาธารณะแห่งนี้เราเริ่มเดินทางออกจาก New Downtown พร้อมด้วยอาการหายใจทั่วท้องอีกครั้ง การท่องเที่ยว City Tour ครั้งนี้มอบความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับฉั้น เป็นการท่องเที่ยวแบบไม่พกกล้อง อาจหมดสนุกไปบ้างเพราะมัวแต่หวาดระแวง ทำไงได้ฉั้นอยู่ที่นี่ เหมือนคนไม่รู้หนังสือ เขียนก็ไม่ได้ อ่านก็ไม่ออก หากเกิดไรขึ้นกับฉั้นที่นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถสื่อสารกับตำรวจได้ยังไง แต่สุดท้ายการเดินทางท่องเที่ยวช่วงสั้นๆครั้งนี้ ก็ปลอดภัยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และได้พบเห็นผู้คนที่แตกต่าง ศิลปะที่บอกไม่ได้ว่าสวยหรือไม่สวย ดิบและเก่าและดูลึกลับ

บราซิลเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในตัวเอง มีอะไรมากมายที่น่าสนใจ เซา เปาโล เป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียม ความเก่าอยู่ท่ามกลางความใหม่ ความรวยใกล้กันแค่คืบกับความจน ความอวดร่ำอวดรวยมาคู่กับการโจรกรรม ความเลือดร้อนก็มาควบคู่กับการทะเลาะเบาะแว้งและการเข่นฆ่า ความปลอดภัยอยู่ใกล้นิดเดียวกับความอันตราย สิ่งต่างๆเหล่านี้ถูกแยกออกจากกันด้วยเส้นแบ่งบางๆเท่านั้น นั่นหมายความว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ใน เซา เปาโล คนที่นี้รู้ดีว่ามันเป็นอย่างนี้มาเนิ่นนานและดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลง

เม้าท์ Brazilian Girls

นึกถึงสมัยตอนเจอแฟบใหม่ๆ แฟบเคยบอกว่า แฟบหลงรักเมืองไทย และมีความสุขมากที่ได้อยู่เมืองไทย...และผู้หญิงไทยคือผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก... และแน่นอนแฟบต้องบอกว่าฉั้น “สวย”! ^^ คริ คริ วันนี้เราโยกย้ายข้ามทวีปมาอยู่บราซิล บ้านเกิดของแฟบเอง ถือเป็นโอกาสของฉั้นที่จะได้มาสัมผัสความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ผู้คนและความเป็นจริงในอีกซีกโลกหนึ่ง....ที่ไม่เคยรู้และไม่เคยเห็นมาก่อน ฉั้นจึงพยายามเก็บทุกรายละเอียดไม่เว้นแม้แต่ สาว บราซิลเลี่ยน ที่คันปากอยากเล่าจริงๆ


ลักษณะหน้าตาของหนุ่มสาวบราซิลแท้ๆ ก็คือ ผิวเข้ม หน้าคม ผมดำ เหมือนชาวเม็กซิกัน โปรตุเกส สเปน เชื้อสายดั้งเดิมจริงๆ คือ ชนเผ่าอินเดียนแดง(ไม่ใช่อินเดีย แบบอาบังขายถั่วนะ!) ถ้าลูกครึ่งก็ผสมอิตาเลี่ยนและเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ ผิวขาว ตาสีน้ำตาล และผมสีน้ำตาลแดงประกายทอง แต่หากมีเชื้อสายยิว ก็จะผิวขาวจัด ตาคมโต ตาและผมมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ แล้วก็มีลูกครึ่งญี่ปุ่นกะอาฟริกัน ด้วย มีคนบอกว่า ที่นี่ใครๆก็เป็นบราซิลเลี่ยนได้ เพราะความผสมปนเปของหลายเชื้อชาติ


คนที่นี่ทักทายด้วยการจูบหรือการคิสเบาๆที่แก้ม 2 ครั้ง “ซ้ายขวา” ส่วนใหญ่ใช้วิธีแก้มแนบแก้มแล้วอาศัยทำเสียงจูบเอาเองมากกว่าจะจูบจริงๆ แรกๆฉั้นก็ทำไม่เป็น ขวยเขินมากมาย ต้องอาศัยการฝึกอยู่นานเหมือนกัน ที่บราซิล การคิสแบบนี้เรียกว่า Beijo (เบโชว) ไม่ว่าจะเจอกันหรือการร่ำลา สำหรับบราซิลเลี่ยน Beijo เท่านั้นที่ครองโลก! แต่นี่ไม่รวมจูบจริงจังดูดดื่มที่มีให้เห็นเป็นว่าเล่น ตามคลับตามบาร์ ตามที่สาธารณะ และในละครทีวีนะ อันนั้นจูบจริง!!


ฉั้นได้เริ่มออกงานสังคม พบปะทักทายกับสาวๆบราซิลเลี่ยนที่ทำงานบริษัท Expat ที่เราใช้บริการอยู่! ก็ได้รู้มาว่า สาวๆบราซิลเลี่ยน นี่นอกจากจะพูดเจื้อยแจ้ว ท่าทางมั่นใจ ฉะฉาน ไม่เกรงและไม่กลัวใครแล้ว เรื่องดูแลตัวเองถือเป็นเรื่องจริงจัง “บิกินี่” ที่เป็นที่คลั่งใคล้ ทำให้สาวๆต้องดูแลเรือนร่างเป็นพิเศษ "เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า และเครื่องประดับ" ก็เป็นที่คลั่งใคล้แบบสุดๆ ผู้คนที่นี่ถ้าเป็นพวกที่มีรสนิยมดีๆแล้วละก็ ลงทุนไม่อั้น นอกเหนือจากแบรนด์นอก เช่น Louis Vuitton, Gucci และอื่นๆ แบรนด์ดังๆของ Brazil เองก็ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยม เช่น Santa Lola, Lenny e Cia, Arreezo, Copodarte ที่ราคาแพงหูฉี่และคุณภาพก็ดีไม่ยิ่งหย่อน และยังมี Shoes Stock ร้านรองเท้าขนาดไหญ่ คนแน่นเอี๊ยด มีให้เลือกเป็นพันๆคู่ ทุกราคา ทุกขนาด ทุกดีไซน์ ลูกค้าที่มาที่นี่บางทีมาเหมากลับไปเป็นสิบๆคู่เลยก็มี คิดแล้วยังแอบยังอดใจไม่ไหว...


เรื่อง “ทำผม ทำเล็บ และทำบราซิลเลี่ยนแวกซ์” ก็ไม่แพ้ ธุรกิจร้านเสริมสวยที่นี่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เกือบทุกคนที่ต้องเข้าร้านไปทำผม ทำเล็บ ทำแวกซ์ ทุกอาทิตย์ ขนาดเด็กประถมเล็บสั้นกุดยังอุตส่าห์เข้ามาทำเล็บอ่ะ (สนนราคาประมาณ 14-20 R$(รีอายส์) หรือประมาณ 250-400 บาท สำหรับเล็บมือ และประมาณ 20-30 R$(รีอายส์) หรือประมาณ 400-600 บาท สำหรับเล็บเท้า ค่าสระไดรย์ผมหรือตัดผมตามร้าน ก็ประมาณ 30-50R$(รีอายส์) หรือประมาณ 500-1,000 บาท ส่วนบราซิลเลี่ยนแวกซ์นี่ไม่รู้ เพราะยังไม่เคยลอง) แถมใครไม่ทำจะถูกมองว่าไม่มีตังค์ซะด้วยนะ มิน่า ตอนมาถึง ใหม่ๆ โดนแม่คะยั้นคะยอให้ไปทำเล็บทำผมอยู่นั่น!!


และแล้วก็พบว่าแม่แฟบ นี่เองที่มีช่าง Delivery วันดีคืนดีเห็นช่างมานั่งทาเล็บให้แม่อยู่ในครัว แหล่มจริงๆ!! Nelsa คือช่างประจำของแม่ สาวบราซิลเลี่ยนแท้ๆ ตัวเล็กๆ หน้าคม ผิวค่อนข้างคล้ำ Nelsa รับทำเล็บตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย ตารางแน่นเอี้ยด แม่นัดทำเล็บตัวเองกับ Nelsa ทุกวันศุกร์บ่าย 2 วันดีคืนดีแม่ก็นัดให้ฉั้นด้วย แต่ได้เป็นคนสุดท้ายตอน 2 ทุ่มเพราะถือเป็นลูกค้าขาจร! พอ Nelsa มาถึง พ่อก็จัดการเตรียมโคมไฟ ผ้าขนหนูให้อย่างรู้งาน แม่เตรียมน้ำอุ่นสำหรับแช่นิ้ว ฉั้นแอบงง..ปนเกรงใจ Nelsa เริ่มลงมือ ตัดหนังด้านๆออกอย่างละเมียดและเริ่มทาแบบ French Manicure ที่ฉั้นชอบ แหม..คราวนี้สวยงามสมเป็นคุณนายฝรั่งจริงๆ จ่ายไป 15R$(รีอายส์) หรือ 270 บาท สบายใจทั้งแม่ทั้งฉั้น เพิ่งรู้ว่ามันดีอย่างนี้นี่เอง!!


มีเหมือนกันที่ Nelsa ไม่ว่าง วันนั้นแม่กระวนกระวายใจมาก จนต้องพากันไปทำเล็บที่ร้านแทน ที่ร้านคิดค่าทำเล็บมือ 18R$(รีอายส์) หรือประมาณ 324 บาท มาร้านทั้งทีฉั้นเลยตัดสินใจทำเล็บเท้าด้วย เพราะค่อนข้างทนสภาพไม่ได้อยู่เหมือนกัน สนนราคา 30R$(รีอายส์) หรือประมาณ 540 บาท แพงกว่า Nelsa เยอะเลยยย! ไหนๆก็มาจ่ายแพงขนาดนี้แล้วฉั้นเลยเลือกทาสีแดงแปร๋นมันซะเลย ช่างทำเล็บสองคน ทำเล็บมือหนึ่งคน เล็บเท้าอีกหนึ่งคน ฝีมือปราณีตสวยงาม ออกจากร้านจ่ายไปประมาณ 864 บาท เฮ้อออ.... Nelsa นะ Nelsa! -_-‘






ที่นี่ใครๆก็พูดถึง คำล้ำลือเรื่อง “แม่ผัวกับลูกสะใภ้” ที่มีมานานเนกาเล ว่าทั้งสองถือเป็นศัตรูคู่อาฆาต!! ทุกคนประหลาดใจอย่างมากที่เห็นฉั้นกะแม่สามีเข้ากันได้ อย่าว่าแต่ใคร ฉั้นเองก็ยังแอบแปลกใจ! แต่ที่ไม่แปลกใจก็คือ ก็แหงละ..คนที่นี่ไม่ได้เรียก “แม่สามี” ว่า “แม่” อย่างคนไทย เค้าเรียกชื่อกัน และเพราะสาวบราซิลเลี่ยนส่วนใหญ่ท่าทาง มั่นใจ ช่างพูด ช่างคุย เจื้อยแจ้ว ทำเล็บ แต่งหน้า ทำผม บางคนนุ่งสั้นและศัลยกรรมพลาสติก บวกกับความ(พยาม)เซ็กซี่ อารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรงเข้าไป จึงยิ่งขัดแย้งกับความ Conservative หรือหัวโบราณ ของ “คุณแม่(สามี)” เกือบทุกคน จึงทำให้ความ “แร้งส์” เกิดขึ้น ณ จุดนี้เอง


เหตุผลว่าทำไม สาวไทยจึงสวยที่สุดในสายตาแฟบและฝรั่งอีกหลายคน….. อาจเป็นเพราะแฟบหัวโบราณ (รึป่าว?) หรือเพราะที่เล่ามาทั้งหมดกันแน่? สำหรับฉั้นแล้ว แม้สาวไทยจะขี้อาย พูดน้อย ขี้เกรงใจ รูปร่างหน้าตาอาจแพ้ฝรั่งไปบ้าง ความเซ็กซี่อาจสู้กันลำบาก แต่อ่อนหวานน่ารัก ละมุนละไม ตากหากที่เป็นเสน่ห์ของสาวไทย ที่ฝรั่งชาติไหนก็ทำไม่เป็น แม้กระทั่งตอนนี้ ฉั้นเองยังแอบคิดถึงสาวไทยและร้อยยิ้มพิมพ์ใจของคนไทยอยู่ทุกวัน

เม้าท์ Brazilian Girls

นึกถึงสมัยตอนเจอแฟบใหม่ๆ แฟบเคยบอกว่า แฟบหลงรักเมืองไทย และมีความสุขมากที่ได้อยู่เมืองไทย...และผู้หญิงไทยคือผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก... และแน่นอนแฟบต้องบอกว่าฉั้น “สวย”! ^^ คริ คริ วันนี้เราโยกย้ายข้ามทวีปมาอยู่บราซิล บ้านเกิดของแฟบเอง ถือเป็นโอกาสของฉั้นที่จะได้มาสัมผัสความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ผู้คนและความเป็นจริงในอีกซีกโลกหนึ่ง....ที่ไม่เคยรู้และไม่เคยเห็นมาก่อน ฉั้นจึงพยายามเก็บทุกรายละเอียดไม่เว้นแม้แต่ สาว บราซิลเลี่ยน ที่คันปากอยากเล่าจริงๆ


ลักษณะหน้าตาของหนุ่มสาวบราซิลแท้ๆ ก็คือ ผิวเข้ม หน้าคม ผมดำ เหมือนชาวเม็กซิกัน โปรตุเกส สเปน เชื้อสายดั้งเดิมจริงๆ คือ ชนเผ่าอินเดียนแดง(ไม่ใช่อินเดีย แบบอาบังขายถั่วนะ!) ถ้าลูกครึ่งก็ผสมอิตาเลี่ยนและเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ ผิวขาว ตาสีน้ำตาล และผมสีน้ำตาลแดงประกายทอง แต่หากมีเชื้อสายยิว ก็จะผิวขาวจัด ตาคมโต ตาและผมมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ แล้วก็มีลูกครึ่งญี่ปุ่นกะอาฟริกัน ด้วย มีคนบอกว่า ที่นี่ใครๆก็เป็นบราซิลเลี่ยนได้ เพราะความผสมปนเปของหลายเชื้อชาติ


คนที่นี่ทักทายด้วยการจูบหรือการคิสเบาๆที่แก้ม 2 ครั้ง “ซ้ายขวา” ส่วนใหญ่ใช้วิธีแก้มแนบแก้มแล้วอาศัยทำเสียงจูบเอาเองมากกว่าจะจูบจริงๆ แรกๆฉั้นก็ทำไม่เป็น ขวยเขินมากมาย ต้องอาศัยการฝึกอยู่นานเหมือนกัน ที่บราซิล การคิสแบบนี้เรียกว่า Beijo (เบโชว) ไม่ว่าจะเจอกันหรือการร่ำลา สำหรับบราซิลเลี่ยน Beijo เท่านั้นที่ครองโลก! แต่นี่ไม่รวมจูบจริงจังดูดดื่มที่มีให้เห็นเป็นว่าเล่น ตามคลับตามบาร์ ตามที่สาธารณะ และในละครทีวีนะ อันนั้นจูบจริง!!


ฉั้นได้เริ่มออกงานสังคม พบปะทักทายกับสาวๆบราซิลเลี่ยนที่ทำงานบริษัท Expat ที่เราใช้บริการอยู่! ก็ได้รู้มาว่า สาวๆบราซิลเลี่ยน นี่นอกจากจะพูดเจื้อยแจ้ว ท่าทางมั่นใจ ฉะฉาน ไม่เกรงและไม่กลัวใครแล้ว เรื่องดูแลตัวเองถือเป็นเรื่องจริงจัง “บิกินี่” ที่เป็นที่คลั่งใคล้ ทำให้สาวๆต้องดูแลเรือนร่างเป็นพิเศษ "เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า และเครื่องประดับ" ก็เป็นที่คลั่งใคล้แบบสุดๆ ผู้คนที่นี่ถ้าเป็นพวกที่มีรสนิยมดีๆแล้วละก็ ลงทุนไม่อั้น นอกเหนือจากแบรนด์นอก เช่น Louis Vuitton, Gucci และอื่นๆ แบรนด์ดังๆของ Brazil เองก็ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยม เช่น Santa Lola, Lenny e Cia, Arreezo, Copodarte ที่ราคาแพงหูฉี่และคุณภาพก็ดีไม่ยิ่งหย่อน และยังมี Shoes Stock ร้านรองเท้าขนาดไหญ่ คนแน่นเอี๊ยด มีให้เลือกเป็นพันๆคู่ ทุกราคา ทุกขนาด ทุกดีไซน์ ลูกค้าที่มาที่นี่บางทีมาเหมากลับไปเป็นสิบๆคู่เลยก็มี คิดแล้วยังแอบยังอดใจไม่ไหว...


เรื่อง “ทำผม ทำเล็บ และทำบราซิลเลี่ยนแวกซ์” ก็ไม่แพ้ ธุรกิจร้านเสริมสวยที่นี่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เกือบทุกคนที่ต้องเข้าร้านไปทำผม ทำเล็บ ทำแวกซ์ ทุกอาทิตย์ ขนาดเด็กประถมเล็บสั้นกุดยังอุตส่าห์เข้ามาทำเล็บอ่ะ (สนนราคาประมาณ 14-20 R$(รีอายส์) หรือประมาณ 250-400 บาท สำหรับเล็บมือ และประมาณ 20-30 R$(รีอายส์) หรือประมาณ 400-600 บาท สำหรับเล็บเท้า ค่าสระไดรย์ผมหรือตัดผมตามร้าน ก็ประมาณ 30-50R$(รีอายส์) หรือประมาณ 500-1,000 บาท ส่วนบราซิลเลี่ยนแวกซ์นี่ไม่รู้ เพราะยังไม่เคยลอง) แถมใครไม่ทำจะถูกมองว่าไม่มีตังค์ซะด้วยนะ มิน่า ตอนมาถึง ใหม่ๆ โดนแม่คะยั้นคะยอให้ไปทำเล็บทำผมอยู่นั่น!!


และแล้วก็พบว่าแม่แฟบ นี่เองที่มีช่าง Delivery วันดีคืนดีเห็นช่างมานั่งทาเล็บให้แม่อยู่ในครัว แหล่มจริงๆ!! Nelsa คือช่างประจำของแม่ สาวบราซิลเลี่ยนแท้ๆ ตัวเล็กๆ หน้าคม ผิวค่อนข้างคล้ำ Nelsa รับทำเล็บตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย ตารางแน่นเอี้ยด แม่นัดทำเล็บตัวเองกับ Nelsa ทุกวันศุกร์บ่าย 2 วันดีคืนดีแม่ก็นัดให้ฉั้นด้วย แต่ได้เป็นคนสุดท้ายตอน 2 ทุ่มเพราะถือเป็นลูกค้าขาจร! พอ Nelsa มาถึง พ่อก็จัดการเตรียมโคมไฟ ผ้าขนหนูให้อย่างรู้งาน แม่เตรียมน้ำอุ่นสำหรับแช่นิ้ว ฉั้นแอบงง..ปนเกรงใจ Nelsa เริ่มลงมือ ตัดหนังด้านๆออกอย่างละเมียดและเริ่มทาแบบ French Manicure ที่ฉั้นชอบ แหม..คราวนี้สวยงามสมเป็นคุณนายฝรั่งจริงๆ จ่ายไป 15R$(รีอายส์) หรือ 270 บาท สบายใจทั้งแม่ทั้งฉั้น เพิ่งรู้ว่ามันดีอย่างนี้นี่เอง!!


มีเหมือนกันที่ Nelsa ไม่ว่าง วันนั้นแม่กระวนกระวายใจมาก จนต้องพากันไปทำเล็บที่ร้านแทน ที่ร้านคิดค่าทำเล็บมือ 18R$(รีอายส์) หรือประมาณ 324 บาท มาร้านทั้งทีฉั้นเลยตัดสินใจทำเล็บเท้าด้วย เพราะค่อนข้างทนสภาพไม่ได้อยู่เหมือนกัน สนนราคา 30R$(รีอายส์) หรือประมาณ 540 บาท แพงกว่า Nelsa เยอะเลยยย! ไหนๆก็มาจ่ายแพงขนาดนี้แล้วฉั้นเลยเลือกทาสีแดงแปร๋นมันซะเลย ช่างทำเล็บสองคน ทำเล็บมือหนึ่งคน เล็บเท้าอีกหนึ่งคน ฝีมือปราณีตสวยงาม ออกจากร้านจ่ายไปประมาณ 864 บาท เฮ้อออ.... Nelsa นะ Nelsa! -_-‘






ที่นี่ใครๆก็พูดถึง คำล้ำลือเรื่อง “แม่ผัวกับลูกสะใภ้” ที่มีมานานเนกาเล ว่าทั้งสองถือเป็นศัตรูคู่อาฆาต!! ทุกคนประหลาดใจอย่างมากที่เห็นฉั้นกะแม่สามีเข้ากันได้ อย่าว่าแต่ใคร ฉั้นเองก็ยังแอบแปลกใจ! แต่ที่ไม่แปลกใจก็คือ ก็แหงละ..คนที่นี่ไม่ได้เรียก “แม่สามี” ว่า “แม่” อย่างคนไทย เค้าเรียกชื่อกัน และเพราะสาวบราซิลเลี่ยนส่วนใหญ่ท่าทาง มั่นใจ ช่างพูด ช่างคุย เจื้อยแจ้ว ทำเล็บ แต่งหน้า ทำผม บางคนนุ่งสั้นและศัลยกรรมพลาสติก บวกกับความ(พยาม)เซ็กซี่ อารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรงเข้าไป จึงยิ่งขัดแย้งกับความ Conservative หรือหัวโบราณ ของ “คุณแม่(สามี)” เกือบทุกคน จึงทำให้ความ “แร้งส์” เกิดขึ้น ณ จุดนี้เอง


เหตุผลว่าทำไม สาวไทยจึงสวยที่สุดในสายตาแฟบและฝรั่งอีกหลายคน….. อาจเป็นเพราะแฟบหัวโบราณ (รึป่าว?) หรือเพราะที่เล่ามาทั้งหมดกันแน่? สำหรับฉั้นแล้ว แม้สาวไทยจะขี้อาย พูดน้อย ขี้เกรงใจ รูปร่างหน้าตาอาจแพ้ฝรั่งไปบ้าง ความเซ็กซี่อาจสู้กันลำบาก แต่อ่อนหวานน่ารัก ละมุนละไม ตากหากที่เป็นเสน่ห์ของสาวไทย ที่ฝรั่งชาติไหนก็ทำไม่เป็น แม้กระทั่งตอนนี้ ฉั้นเองยังแอบคิดถึงสาวไทยและร้อยยิ้มพิมพ์ใจของคนไทยอยู่ทุกวัน

Welcome to Brazil

“Welcome to Brazil” กลายเป็นคำพูดติดปากไปแล้ว เวลาที่เห็นอะไรแปลกๆที่ไม่เคยเห็น

อาทิตย์แรกของการมาเยือน เซา เปาโล ครั้งนี้ สถานที่เที่ยวที่แรก คือ ร้านขายหลอดไฟ!! เพราะพ่อแม่ต้องไปซื้อหลอดไฟใหม่ไปเปลี่ยนในบ้าน ..ดีกว่าทิ้งฉั้นให้อยู่บ้านคนเดียว ก็เลยกระเตงไปด้วย.. ที่นี่มีร้านขายเฉพาะหลอดไฟโดยเฉพาะ ที่ขนาดร้านใหญ่ประมาณ ห้าง Home Pro 1 ชั้น ที่เต็มไปด้วยหลอดไฟ โคมไฟ ทุกรูปแบบ มันมีทุกรูปแบบจริงๆเพราะมีตั้งหลอดไฟดวงเล็กๆ หลอดนีออน โคมไฟธรรมดาไปจนถึงไฟระย้า Chandelier อลังกาลแบบที่ติดในโรงแรมหรู ที่แปลกไม่ใช่หลอดไฟ! แต่ที่แปลก คือ ทำไมคนมาซื้อหลอดไฟ แม้จะหน้าตาเป็นแม่บ้านธรรมดาๆ แต่มาช้อปปิ้งหลอดไฟกองเพนิน จนนึกว่าเป็นช่างไฟ! รวมทั้งพ่อกะแม่ด้วย เหตุเพราะที่นี่ไม่ว่า บ้านหรืออพาร์ตเม้นต์หรือคอนโดหรูที่เพิ่งสร้างเสร็จ ใหม่เอี่ยม ช่างจะทิ้งรูโบ๋สำหรับติดหลอดไฟไว้ให้ พร้อมกับสายไฟที่เดินไว้ให้เรียบร้อย(แบบไม่เรียบร้อย)รอดมาจากรู แบบที่บ้านเราเรียกว่า “สร้างไม่เสร็จ”นั้นล่ะ แต่ที่นี่คือ “สร้างเสร็จแล้ว” ใครจะอยู่ก็ไปเลือกสรรหาหลอดไฟแบบที่ชอบมาติดเอาเอง!! -_-; อืมม..แปลกดี

“Welcome to Brazil”!



 มาที่นี่ต้องศึกษาบ้านเมืองให้ดี หรือไม่ก็ต้องมีคนท้องถิ่นที่รู้จักคอยช่วยเหลือ ย่านที่พักอาศัย ที่ว่ามีโซนคนรวยคนจน ถึงแม้จะสังเกตุเห็นได้ชัดว่ามันคือโซนไหนอย่างไร แต่จะให้ดีก็ต้องมีผู้รูคอยแนะนำ เช่น ย่าน Villa Nova (วิลล่า นอว่า) คือย่านที่คนรวยอยู่, Moema (โมเอม่า) คนรวยอยู่เหมือนกันแต่ระดับรองลงมาหน่อยหรือผู้คนจะเดินเชิดหน้าน้อยกว่า..มีร้านอาหาร เบอเกอรี่ ร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ตมากมาย แต่ใกล้ Domestic Airport เสียงเครื่องบินอาจดังรบกวน, Higienopolis (อีเจียนโนโปลิส) คือ ย่านที่พ่อกะแม่ และฉั้นกะแฟบมาอาศัยเค้าอยู่ตอนนี้ ก็จัดว่าไฮโซ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนสูงวัยกับครอบครัว เป็นแหล่ง Community ของชาวยิวที่มาตั้งหลักปักฐานที่นี่ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นู่นนน ใกล้แหล่งในเมือง(Downtown) และ ถนน เปาลิสต้า (Paulista Ave.) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจใหญ่ย่านหนึ่ง แต่ก็ห่างไกลจากย่านธุรกิจอื่นๆเช่น Brooklin, Jardins ซึ่งแหล่งนั้นจะใกล้กับ Vila Nova, Moema และอีกหลายย่าน เช่น Campo Belo (แคมโพ เบโล่), Vila Olimpia (วิลล่า โอลิมเปีย), Panambi (พานัมบี), Morumbi (โมรุมบี) ฯลฯ มากกว่า


การหาที่อยู่อาศัยที่นี่ยากมากทีจะไปเดินตระเวนหาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะนอกจากผู้คนไม่พูดภาษาอังกฤษแล้ว การเดินหาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า อาจเจอบ้านสวย คอนโดดูดี แต่เยื้องไปอีกฝั่งถนน กลายเป็นสลัมแ หล่งใหญ่ก็มี ซึ่งหากไม่รู้จริงอาจได้ทำเลที่เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมและอาจไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน เพราะที่นี่ย่านคนรวยคนจนถึงแม้จะดูรู้ได้จากสภาพแวดล้อมภายนอก แต่มันอยู่ใกล้กัน เรียกว่าอยู่เรียงสลับกันเลยก็ว่าได้ บ้านเกือบทุกหลัง คอนโดเกือบทุกที่ จึงต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบ ประตูไฮโดรลิค 2 ชั้น ควบคุมดูแลโดย Security Guard ตลอด 24 ชั่วโมง ประตูชั้นแรกเปิดสำหรับทางเข้า และชั้นสองเพื่อเข้าสู่อาคาร และลานจอดรถ (ต่างหาก) โดยการทำงาน คือ เข้าสู่ทางเข้าชั้นแรกจะทุกล็อกแป๊บนึงเพื่อรอเปิดประตูชั้นสองเพื่อเข้าตึก หลังจากเข้าอาคารหรือเข้าลานจอดรถแล้ว หากเป็นคอนโด ลิฟท์จะส่งตรงถึงหน้าห้องใครห้องมัน ไม่ยุ่งเกี่ยวใคร ไม่มีทางให้เดินเล่นในแต่ละชั้น!! Security Guard ที่นี่ก็ไม่ใช่ “ยาม” ธรรมดาอย่างบ้านเรา ที่บางทีก็ “ยามหลับ” บางทีก็ “ยามตื่น”! ตัวผอม ยิ้มอ่อนหวานและน้อมน้อม...แบบนั้น ไม่มี! แต่ผู้รักษาความปลอดภัยจริงๆ ไม่ปล่อยให้ใครแปลกหน้าเข้าออกได้ง่ายๆ และหากไม่ปลอดภัยด้านนอก พวกนี้ตายก่อน!! ไม่ได้ขู่ให้กลัว..มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

คนท้องถิ่นที่นี่บอกว่า “ที่นี่ไม่ได้อันตรายเกินไป..ถ้ารู้จักอยู่” คือ อยู่ในที่ที่ปลอดภัย มีรถส่วนตัวใช้ (รถที่นี่ติดมากไม่แพ้บ้านเรา) ไม่ใส่ของมีค่าล่อตาล่อใจ ข้ามถนนต้องรอให้รถไปก่อน (อย่ารอจนรถหยุด เพราะจะไม่ได้ข้าม) ขับรถก็ให้ล็อคให้ดี ปิดกระจกและวางกระเป๋าแบบหลบๆอย่าล่อตาใคร เห็นมอเตอร์ไซต์ สิบล้อ ก็ต้องให้ทาง (เพราะไม่งั้นชนกันแน่นอน) และพยามไม่เดินไปไหนมาไหนคนเดียวโดยเฉพาะในยามค่ำคืน และหลีกเลี่ยงที่พักอาศัยใกล้แหล่งสลัม แหม่...ฟังแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นเย้อะ

บ้านในสลัมที่นี่จะปลูกสร้างด้วยอิฐแบบไม่ทาสี เป็นบ้านทรงเหลี่ยมหลังเล็กๆ ไสตล์เหมือนสร้างไม่เสร็จ เรียงสูงขึ้นไปแบบหลังต่อหลังตามแนวเขา มุงหลังคาด้วยเศษไม้บ้าง อิฐบ้าง สะเปะสะปะ ..เวิ้งสลัมจึงมองเห็นเหมือนกล่องสีอิฐเรียงต่อๆกันขึ้นไป เวิ้งเล็กบ้างใหญ่บ้าง..แล้วแต่ แค่เห็นก็รู้สึกกลัว..ไม่รู้ทำไม อาจเพราะได้ยินมาว่าคนในย่านสลัมนั้น นอกจากติดยา การฆ่าแกงกัน ปล้นกัน ลักพาตัว เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แล้ว หากเป็นผู้คนที่มาจากทางเหนือของบราซิลเค้ายิ่งว่าจิตใจโหดเหี้ยม .. จริงรึป่าว เชิญมาพิสูจน์เองได้ตามสบาย!!! เมื่อปีก่อน(ปี 2009) ครั้งที่เรามาเที่ยวที่นี่ กลางดึกของคืนนึงยังมีการแทงกันตายหน้าร้านเบอเกอรี่ใกล้ๆบ้าน แค่เพราะ Security Guard ของอพาร์ตเม้นติดกับร้านเบอเกอรี่ ไม่ให้ผู้หญิงแปลกหน้าคนนึงที่ไม่ใช่ผู้อาศัยเข้าตึก แต่อาจพูดอะไรที่ไม่ถูกหู วันถัดมาพี่ชายเจ้าหล่อน (ซึ่งเป็นคนทางเหนือ) เลยมาจัดการให้ ด้วยการแทงซะหลายแผล ตายคาที่ลงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ!! แถมเมื่ออาทิตย์ก่อน ยังมีการปล้นกันอย่างอุกอาจในคอนโดย่านไฮโซ Higienopolis ใกล้ๆบ้านเรานี่เอง!! ใน Guide Book ที่ฉั้นได้มา จึงมีข้อแนะนำที่ระบุชัดเจนว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรให้ปลอดภัยจากการเป็น “The Victim of Crime”!!!

เพราะทั้งหมดที่เล่ามา จึงมีบริษัทรับดูแลคนต่างชาติ หรือ International Newcomers ในการช่วยหาแหล่งที่อยู่อาศัย พาชมแหล่งที่อยู่อาศัยก่อนตัดสินใจเลือกโซน ให้คำแนะนำและข้อมูลที่สำคัญๆมากมาย พาเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยว และหาบ้านหรือคอนโดให้เลือกตามความต้องการของลูกค้า ช่วยหา Maid ช่วยเรื่องการติดตั้งโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ทและอีกมากมาย ฉั้นจึงกลายเป็นลูกค้าของบริษัทที่ชื่อ BR Expat Destination Services ( www.expat.combr ) ซึ่งดำเนินธุรกิจแบบ Enterprise to Enterprise คือ ทำสัญญาระหว่าง BR Expat กับบริษัทที่แฟบทำงานอยู่ เพื่อช่วยเหลือเรา

หลังจากตกลงใช้บริการ เราก็เริ่มจากการไปสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยก่อน บริษัทที่ว่าจะจัดหารถมารับ นั่งคุยกันทำความรู้จักกันซักพักและก็จะพาไปตระเวนชมบริเวณโดยรอบของแต่ละย่านที่พักอาศัย หลังจากตระเวนดูย่านต่างๆแล้ว เลยคิดหนักว่าฉั้นจะตัดสินใจเลือกอยู่ในโซน Villa Nova ที่เค้าว่าโซนคนรวยโฮโซนั่นดี หรือ จะอยู่ Higienopolis ย่านคนแก่ไฮโซ อันไหนดีกว่ากัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!! ^o^

Welcome to Brazil

“Welcome to Brazil” กลายเป็นคำพูดติดปากไปแล้ว เวลาที่เห็นอะไรแปลกๆที่ไม่เคยเห็น

อาทิตย์แรกของการมาเยือน เซา เปาโล ครั้งนี้ สถานที่เที่ยวที่แรก คือ ร้านขายหลอดไฟ!! เพราะพ่อแม่ต้องไปซื้อหลอดไฟใหม่ไปเปลี่ยนในบ้าน ..ดีกว่าทิ้งฉั้นให้อยู่บ้านคนเดียว ก็เลยกระเตงไปด้วย.. ที่นี่มีร้านขายเฉพาะหลอดไฟโดยเฉพาะ ที่ขนาดร้านใหญ่ประมาณ ห้าง Home Pro 1 ชั้น ที่เต็มไปด้วยหลอดไฟ โคมไฟ ทุกรูปแบบ มันมีทุกรูปแบบจริงๆเพราะมีตั้งหลอดไฟดวงเล็กๆ หลอดนีออน โคมไฟธรรมดาไปจนถึงไฟระย้า Chandelier อลังกาลแบบที่ติดในโรงแรมหรู ที่แปลกไม่ใช่หลอดไฟ! แต่ที่แปลก คือ ทำไมคนมาซื้อหลอดไฟ แม้จะหน้าตาเป็นแม่บ้านธรรมดาๆ แต่มาช้อปปิ้งหลอดไฟกองเพนิน จนนึกว่าเป็นช่างไฟ! รวมทั้งพ่อกะแม่ด้วย เหตุเพราะที่นี่ไม่ว่า บ้านหรืออพาร์ตเม้นต์หรือคอนโดหรูที่เพิ่งสร้างเสร็จ ใหม่เอี่ยม ช่างจะทิ้งรูโบ๋สำหรับติดหลอดไฟไว้ให้ พร้อมกับสายไฟที่เดินไว้ให้เรียบร้อย(แบบไม่เรียบร้อย)รอดมาจากรู แบบที่บ้านเราเรียกว่า “สร้างไม่เสร็จ”นั้นล่ะ แต่ที่นี่คือ “สร้างเสร็จแล้ว” ใครจะอยู่ก็ไปเลือกสรรหาหลอดไฟแบบที่ชอบมาติดเอาเอง!! -_-; อืมม..แปลกดี

“Welcome to Brazil”!



 มาที่นี่ต้องศึกษาบ้านเมืองให้ดี หรือไม่ก็ต้องมีคนท้องถิ่นที่รู้จักคอยช่วยเหลือ ย่านที่พักอาศัย ที่ว่ามีโซนคนรวยคนจน ถึงแม้จะสังเกตุเห็นได้ชัดว่ามันคือโซนไหนอย่างไร แต่จะให้ดีก็ต้องมีผู้รูคอยแนะนำ เช่น ย่าน Villa Nova (วิลล่า นอว่า) คือย่านที่คนรวยอยู่, Moema (โมเอม่า) คนรวยอยู่เหมือนกันแต่ระดับรองลงมาหน่อยหรือผู้คนจะเดินเชิดหน้าน้อยกว่า..มีร้านอาหาร เบอเกอรี่ ร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ตมากมาย แต่ใกล้ Domestic Airport เสียงเครื่องบินอาจดังรบกวน, Higienopolis (อีเจียนโนโปลิส) คือ ย่านที่พ่อกะแม่ และฉั้นกะแฟบมาอาศัยเค้าอยู่ตอนนี้ ก็จัดว่าไฮโซ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนสูงวัยกับครอบครัว เป็นแหล่ง Community ของชาวยิวที่มาตั้งหลักปักฐานที่นี่ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นู่นนน ใกล้แหล่งในเมือง(Downtown) และ ถนน เปาลิสต้า (Paulista Ave.) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจใหญ่ย่านหนึ่ง แต่ก็ห่างไกลจากย่านธุรกิจอื่นๆเช่น Brooklin, Jardins ซึ่งแหล่งนั้นจะใกล้กับ Vila Nova, Moema และอีกหลายย่าน เช่น Campo Belo (แคมโพ เบโล่), Vila Olimpia (วิลล่า โอลิมเปีย), Panambi (พานัมบี), Morumbi (โมรุมบี) ฯลฯ มากกว่า


การหาที่อยู่อาศัยที่นี่ยากมากทีจะไปเดินตระเวนหาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะนอกจากผู้คนไม่พูดภาษาอังกฤษแล้ว การเดินหาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า อาจเจอบ้านสวย คอนโดดูดี แต่เยื้องไปอีกฝั่งถนน กลายเป็นสลัมแ หล่งใหญ่ก็มี ซึ่งหากไม่รู้จริงอาจได้ทำเลที่เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมและอาจไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน เพราะที่นี่ย่านคนรวยคนจนถึงแม้จะดูรู้ได้จากสภาพแวดล้อมภายนอก แต่มันอยู่ใกล้กัน เรียกว่าอยู่เรียงสลับกันเลยก็ว่าได้ บ้านเกือบทุกหลัง คอนโดเกือบทุกที่ จึงต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบ ประตูไฮโดรลิค 2 ชั้น ควบคุมดูแลโดย Security Guard ตลอด 24 ชั่วโมง ประตูชั้นแรกเปิดสำหรับทางเข้า และชั้นสองเพื่อเข้าสู่อาคาร และลานจอดรถ (ต่างหาก) โดยการทำงาน คือ เข้าสู่ทางเข้าชั้นแรกจะทุกล็อกแป๊บนึงเพื่อรอเปิดประตูชั้นสองเพื่อเข้าตึก หลังจากเข้าอาคารหรือเข้าลานจอดรถแล้ว หากเป็นคอนโด ลิฟท์จะส่งตรงถึงหน้าห้องใครห้องมัน ไม่ยุ่งเกี่ยวใคร ไม่มีทางให้เดินเล่นในแต่ละชั้น!! Security Guard ที่นี่ก็ไม่ใช่ “ยาม” ธรรมดาอย่างบ้านเรา ที่บางทีก็ “ยามหลับ” บางทีก็ “ยามตื่น”! ตัวผอม ยิ้มอ่อนหวานและน้อมน้อม...แบบนั้น ไม่มี! แต่ผู้รักษาความปลอดภัยจริงๆ ไม่ปล่อยให้ใครแปลกหน้าเข้าออกได้ง่ายๆ และหากไม่ปลอดภัยด้านนอก พวกนี้ตายก่อน!! ไม่ได้ขู่ให้กลัว..มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

คนท้องถิ่นที่นี่บอกว่า “ที่นี่ไม่ได้อันตรายเกินไป..ถ้ารู้จักอยู่” คือ อยู่ในที่ที่ปลอดภัย มีรถส่วนตัวใช้ (รถที่นี่ติดมากไม่แพ้บ้านเรา) ไม่ใส่ของมีค่าล่อตาล่อใจ ข้ามถนนต้องรอให้รถไปก่อน (อย่ารอจนรถหยุด เพราะจะไม่ได้ข้าม) ขับรถก็ให้ล็อคให้ดี ปิดกระจกและวางกระเป๋าแบบหลบๆอย่าล่อตาใคร เห็นมอเตอร์ไซต์ สิบล้อ ก็ต้องให้ทาง (เพราะไม่งั้นชนกันแน่นอน) และพยามไม่เดินไปไหนมาไหนคนเดียวโดยเฉพาะในยามค่ำคืน และหลีกเลี่ยงที่พักอาศัยใกล้แหล่งสลัม แหม่...ฟังแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นเย้อะ

บ้านในสลัมที่นี่จะปลูกสร้างด้วยอิฐแบบไม่ทาสี เป็นบ้านทรงเหลี่ยมหลังเล็กๆ ไสตล์เหมือนสร้างไม่เสร็จ เรียงสูงขึ้นไปแบบหลังต่อหลังตามแนวเขา มุงหลังคาด้วยเศษไม้บ้าง อิฐบ้าง สะเปะสะปะ ..เวิ้งสลัมจึงมองเห็นเหมือนกล่องสีอิฐเรียงต่อๆกันขึ้นไป เวิ้งเล็กบ้างใหญ่บ้าง..แล้วแต่ แค่เห็นก็รู้สึกกลัว..ไม่รู้ทำไม อาจเพราะได้ยินมาว่าคนในย่านสลัมนั้น นอกจากติดยา การฆ่าแกงกัน ปล้นกัน ลักพาตัว เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แล้ว หากเป็นผู้คนที่มาจากทางเหนือของบราซิลเค้ายิ่งว่าจิตใจโหดเหี้ยม .. จริงรึป่าว เชิญมาพิสูจน์เองได้ตามสบาย!!! เมื่อปีก่อน(ปี 2009) ครั้งที่เรามาเที่ยวที่นี่ กลางดึกของคืนนึงยังมีการแทงกันตายหน้าร้านเบอเกอรี่ใกล้ๆบ้าน แค่เพราะ Security Guard ของอพาร์ตเม้นติดกับร้านเบอเกอรี่ ไม่ให้ผู้หญิงแปลกหน้าคนนึงที่ไม่ใช่ผู้อาศัยเข้าตึก แต่อาจพูดอะไรที่ไม่ถูกหู วันถัดมาพี่ชายเจ้าหล่อน (ซึ่งเป็นคนทางเหนือ) เลยมาจัดการให้ ด้วยการแทงซะหลายแผล ตายคาที่ลงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ!! แถมเมื่ออาทิตย์ก่อน ยังมีการปล้นกันอย่างอุกอาจในคอนโดย่านไฮโซ Higienopolis ใกล้ๆบ้านเรานี่เอง!! ใน Guide Book ที่ฉั้นได้มา จึงมีข้อแนะนำที่ระบุชัดเจนว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรให้ปลอดภัยจากการเป็น “The Victim of Crime”!!!

เพราะทั้งหมดที่เล่ามา จึงมีบริษัทรับดูแลคนต่างชาติ หรือ International Newcomers ในการช่วยหาแหล่งที่อยู่อาศัย พาชมแหล่งที่อยู่อาศัยก่อนตัดสินใจเลือกโซน ให้คำแนะนำและข้อมูลที่สำคัญๆมากมาย พาเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยว และหาบ้านหรือคอนโดให้เลือกตามความต้องการของลูกค้า ช่วยหา Maid ช่วยเรื่องการติดตั้งโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ทและอีกมากมาย ฉั้นจึงกลายเป็นลูกค้าของบริษัทที่ชื่อ BR Expat Destination Services ( www.expat.combr ) ซึ่งดำเนินธุรกิจแบบ Enterprise to Enterprise คือ ทำสัญญาระหว่าง BR Expat กับบริษัทที่แฟบทำงานอยู่ เพื่อช่วยเหลือเรา

หลังจากตกลงใช้บริการ เราก็เริ่มจากการไปสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยก่อน บริษัทที่ว่าจะจัดหารถมารับ นั่งคุยกันทำความรู้จักกันซักพักและก็จะพาไปตระเวนชมบริเวณโดยรอบของแต่ละย่านที่พักอาศัย หลังจากตระเวนดูย่านต่างๆแล้ว เลยคิดหนักว่าฉั้นจะตัดสินใจเลือกอยู่ในโซน Villa Nova ที่เค้าว่าโซนคนรวยโฮโซนั่นดี หรือ จะอยู่ Higienopolis ย่านคนแก่ไฮโซ อันไหนดีกว่ากัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!! ^o^
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...