ตอนนี้แม่ฉั้นไม่มีบ้านอยู่ เพราะบ้านแม่จมน้ำไปแล้ว น้องชายก็กำลังบวช ส่วนพ่อก็ตั้งใจทำงานรับใช้ศาสนาหลังเกษียรช่วงนี้เลยตามดูแลพระ(น้องชาย)ไปพลางๆระหว่างบวชให้ครบหนึ่งพรรษา ฉั้นอยู่ไกลได้แต่ส่งกำลังใจไปให้คนทางบ้าน เหลือแต่พี่สาวคนโตที่ต้องคอยดูแลแม่ งานก็ต้องทำ แม่ก็ต้องดูแล แถมต้องคอยวางแผนพาแม่หนีน้ำอีก!!
คนทุกคนมีความทุกข์กันทั้งนั้น แต่ใครบ้างที่จะเห็นแก่ตัว แบ่งปันแต่ความทุกข์ของตัวเองไปให้คนอื่น แต่เก็บความสุขไว้กับตัว ไม่เผื่อแผ่ให้ใครเลย การมีความสุขอยู่คนเดียว ความสุขมันไม่ใหญ่เท่ากับการแบ่งปันความสุขให้คนอื่นด้วยหรอก พี่สาวฉั้นเข้มแข็งมากที่ต้องคอยกระเตงแม่ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยโดยไม่แสดงอาการท้อแท้ แม้ตัวจะอยู่ไกลแถมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่คนเดียวแต่ฉั้นยังเชื่อในพลังและคุณค่าของความรักและการร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่นะ และก็เชื่อเรื่องกฏแรงดึงดูดด้วย เคยได้ยินกฎแห่งแรงดึงดูดของจักรวาลมั้ย คนเราสามารถใช้กฏแรงดึงดูดของจักรวาลสร้างผ่านความรู้สึกนึกคิดของเราได้นะ 'ทุกสิ่งที่เราคิดคือสิ่งที่เป็นจริง' ถามตัวเองว่าเราจะใช้พลังแห่งความคิดนั้น สร้างสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ร้ายให้เป็นจริงในชีวิตเรา?
ภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่ไม่รู้เมื่อเทียบกับภัยความแตกแยกของคนในชาติ อันไหนจะร้ายแรงกว่า ภัยอันหลังนี้ได้ทำลายความรักและความสามัคคีของคนไทยไปมาก และสร้างความโกรธเคือง เครียดแค้น ลำเอียง และใจแคบให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีคูณ เป็นเหมือนพลังแห่งการดึงดูด ที่ดึงดูดแต่ความเลวร้ายมาสู่ เพื่อตอบสนองความคิดนั้นให้เป็นจริง! ฉั้นเคยได้ยินว่าคนไทยเมื่อก่อน เค้าทำอาหารก็เอาไปแบ่งปันเพื่อนบ้าน ไม่อยู่บ้านก็ฝากคนข้างบ้านดูแลบ้านให้ งานบุญทีไรก็ตุเลงกันไปช่วยลงมือลงแรง รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนญาติโกโหติกา มาวันนี้ถ้าถามคนที่อยู่ในกรุงเทพ พวกเค้าคงบอกว่า ภาพลักษณ์แบบนั้นน่าจะเหลืออยู่แต่ในต่างจังหวัดแล้วมั้ง แปลว่าคนต่างจังหวัดยังรัก ช่วยเหลือและแบ่งปันกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนญาติโกโหติกา อย่างงั้นรึป่าว แล้วคนกรุงเทพละ อยู่กันยังไง รักกันยังไง รักแล้วแสดงออกยังไง หรือทำมาหากินกันอย่างเดียว เมื่อมีงาน มีเงิน ก็ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือขอความช่วยเหลือจากใคร จึงไม่มีโอกาสได้แบ่งปันความรักให้ใคร หรือเพราะคนที่มาอยู่ในกรุงเทพส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาหาเงิน หาอาชีพ เสร็จแล้วก็กลับไปหาความรักที่บ้านต่างจังหวัดของตัวเอง กลับเอาเงินไปช่วยเหลือครอบครัวตัวเอง กลับไปเป็นที่พึ่งยามยากให้คนที่บ้านตัวเอง ทิ้งให้คนกรุงเทพ(จริงๆ)อยู่กับงาน เงินทอง วัตถุต่อไป แล้วเมื่อมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในภาวะแตกแยกแบบนี้ในกรุงเทพ ความรักและความสำนึกในบ้านเกิดเมืองนอนของแต่ละคนจะมีเท่ากันเหรอ ไม่แน่นะ...เมื่อภัยธรรมชาติสงบลงแล้ว แหล่งทำกินอาจไม่ใช่แหล่งทำกินอีกต่อไป คนกรุงเทพอาจต้องกลับมาพึ่งพาอาศัยกันและช่วยเหลือกันอย่างเมื่อก่อน และคนต่างจังหวัดอาจต้องกลับไปทำมาหากินที่บ้านเกิดของตัวเอง และเมื่อนั้นคงได้คำตอบสำหรับหลายๆคำถาม.... อาจได้เห็นความเท่าเทียม อาจได้เห็นอัศวิน เห็นผู้ร้าย เห็นคนดี เห็นคนฉวยโอกาสในยามทุกข์ยาก หรือแม้กระทั่งคนช่วยเหลือกันแบบไม่มีเงื่อนไข
ภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่ไม่รู้เมื่อเทียบกับภัยความแตกแยกของคนในชาติ อันไหนจะร้ายแรงกว่า ภัยอันหลังนี้ได้ทำลายความรักและความสามัคคีของคนไทยไปมาก และสร้างความโกรธเคือง เครียดแค้น ลำเอียง และใจแคบให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีคูณ เป็นเหมือนพลังแห่งการดึงดูด ที่ดึงดูดแต่ความเลวร้ายมาสู่ เพื่อตอบสนองความคิดนั้นให้เป็นจริง! ฉั้นเคยได้ยินว่าคนไทยเมื่อก่อน เค้าทำอาหารก็เอาไปแบ่งปันเพื่อนบ้าน ไม่อยู่บ้านก็ฝากคนข้างบ้านดูแลบ้านให้ งานบุญทีไรก็ตุเลงกันไปช่วยลงมือลงแรง รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนญาติโกโหติกา มาวันนี้ถ้าถามคนที่อยู่ในกรุงเทพ พวกเค้าคงบอกว่า ภาพลักษณ์แบบนั้นน่าจะเหลืออยู่แต่ในต่างจังหวัดแล้วมั้ง แปลว่าคนต่างจังหวัดยังรัก ช่วยเหลือและแบ่งปันกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนญาติโกโหติกา อย่างงั้นรึป่าว แล้วคนกรุงเทพละ อยู่กันยังไง รักกันยังไง รักแล้วแสดงออกยังไง หรือทำมาหากินกันอย่างเดียว เมื่อมีงาน มีเงิน ก็ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือขอความช่วยเหลือจากใคร จึงไม่มีโอกาสได้แบ่งปันความรักให้ใคร หรือเพราะคนที่มาอยู่ในกรุงเทพส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาหาเงิน หาอาชีพ เสร็จแล้วก็กลับไปหาความรักที่บ้านต่างจังหวัดของตัวเอง กลับเอาเงินไปช่วยเหลือครอบครัวตัวเอง กลับไปเป็นที่พึ่งยามยากให้คนที่บ้านตัวเอง ทิ้งให้คนกรุงเทพ(จริงๆ)อยู่กับงาน เงินทอง วัตถุต่อไป แล้วเมื่อมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในภาวะแตกแยกแบบนี้ในกรุงเทพ ความรักและความสำนึกในบ้านเกิดเมืองนอนของแต่ละคนจะมีเท่ากันเหรอ ไม่แน่นะ...เมื่อภัยธรรมชาติสงบลงแล้ว แหล่งทำกินอาจไม่ใช่แหล่งทำกินอีกต่อไป คนกรุงเทพอาจต้องกลับมาพึ่งพาอาศัยกันและช่วยเหลือกันอย่างเมื่อก่อน และคนต่างจังหวัดอาจต้องกลับไปทำมาหากินที่บ้านเกิดของตัวเอง และเมื่อนั้นคงได้คำตอบสำหรับหลายๆคำถาม.... อาจได้เห็นความเท่าเทียม อาจได้เห็นอัศวิน เห็นผู้ร้าย เห็นคนดี เห็นคนฉวยโอกาสในยามทุกข์ยาก หรือแม้กระทั่งคนช่วยเหลือกันแบบไม่มีเงื่อนไข
เราอยู่ประเทศที่กำลังพัฒนา สิ่งที่ต้องทำใจ คือ การที่มีคนคอยนั่งเฝ้ารอ แบมือขอความช่วยเหลือ มันมีมากกว่าคนที่ทำหน้าที่พัฒนาอยู่หลายเท่าตัว แล้วก็หายากนะคนที่จะช่วยเหลือใครโดยไม่หวังผลตอบแทน โชคไม่ดีนักที่นักการเมืองช่วงหลังๆดันหันมาเล่นการเมืองแบบพ่อค้าและนักการตลาด เน้นทำราคาดี มีโปรโมชั่น เข้าถึงลูกค้าถูกกลุ่ม ลูกค้าติดใจ เพราะชอบโปรโมชั่น เลยซื้อแล้วซื้ออีกมันอยู่นั่น ผู้นำประเทศก็เลยกลายเป็นกลุ่มนักการตลาด ที่ไม่เอาใจพวกกลุ่มลูกค้ารู้มาก เรื่องมาก เอาใจยากแถมไม่ซื้อ ทำการตลาดลำบาก หาเงินลำบาก ปล่อยให้พวกนี้ปากเปียกปากแฉะไปแล้วกัน เพราะยังไงก็ไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย! พวกคนที่อยากเป็นนักการเมืองจริงๆ อยากบริหารประเทศจริงๆ หรือ พวกใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี เลยไม่ค่อยได้ผุดได้เกิด เพราะทำการตลาดไม่เก่ง เฮ้อ...น่าเสียดาย!!
แต่ถึงยังไง ฉั้นก็ยังมีความเชื่อว่า ด้านอื่นๆในประเทศไทยอาจจะ 'กำลัง' พัฒนา แต่ด้านคุณภาพจิตใจไม่มีประเทศไหนที่พัฒนาได้เท่าเรา และก็เชื่อว่าคนไทยยังรักกันอยู่นะ เพียงแค่รอวันที่จะเข้าใจกันและยอมรับในความเป็นจริงบนบรรทัดฐานเดียวกัน คนผิดยอมรับผิด คนโกรธเริ่มให้อภัย คนเดือดร้อนได้รับการเยียวยา แต่จะใช้เวลานานแค่ไหนในการรอคอย หรือต้องให้เสียหายกันอีกมากซักเท่าไรถึงจะคุ้มค่าความแค้น ระหว่างรอนี้ก็ต้องทนชอกช้ำเพราะต้องโดนธรรมชาติลงโทษความแตกแยก โดยเฉพาะกรุงเทพที่โดนลงโทษหนัก ทั้งโดนเผา ทั้งโดนน้ำท่วม ก็ได้แต่หวังว่าทุกคนจะมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ... คนเรา ถ้าทนอยู่กับความเกลียดชังที่คุกรุ่นอยู่ในใจได้ ก็ต้องทนอยู่กับด้านน่าเกลียดของสังคมได้ แล้วถ้าหัวใจเรียนรู้ที่จะรักได้เมื่อไร ก็จะเห็นมุมที่น่ารักของสังคมที่ตัวเองอยู่ได้เอง
แต่ถึงยังไง ฉั้นก็ยังมีความเชื่อว่า ด้านอื่นๆในประเทศไทยอาจจะ 'กำลัง' พัฒนา แต่ด้านคุณภาพจิตใจไม่มีประเทศไหนที่พัฒนาได้เท่าเรา และก็เชื่อว่าคนไทยยังรักกันอยู่นะ เพียงแค่รอวันที่จะเข้าใจกันและยอมรับในความเป็นจริงบนบรรทัดฐานเดียวกัน คนผิดยอมรับผิด คนโกรธเริ่มให้อภัย คนเดือดร้อนได้รับการเยียวยา แต่จะใช้เวลานานแค่ไหนในการรอคอย หรือต้องให้เสียหายกันอีกมากซักเท่าไรถึงจะคุ้มค่าความแค้น ระหว่างรอนี้ก็ต้องทนชอกช้ำเพราะต้องโดนธรรมชาติลงโทษความแตกแยก โดยเฉพาะกรุงเทพที่โดนลงโทษหนัก ทั้งโดนเผา ทั้งโดนน้ำท่วม ก็ได้แต่หวังว่าทุกคนจะมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ... คนเรา ถ้าทนอยู่กับความเกลียดชังที่คุกรุ่นอยู่ในใจได้ ก็ต้องทนอยู่กับด้านน่าเกลียดของสังคมได้ แล้วถ้าหัวใจเรียนรู้ที่จะรักได้เมื่อไร ก็จะเห็นมุมที่น่ารักของสังคมที่ตัวเองอยู่ได้เอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น