ถ้าพูดถึงอาการ "Homesick" หรืออาการ "คิดถึงบ้าน" ฉั้นว่ามันน่าจะถือเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่งได้นะ! เพราะถ้าลองวิเคราะห์กันเล่นๆ หลังจากต่อสู้ฟันฝ่ากับอาการคิดถึงบ้านมานานแรมปี ถือเป็นต่อสู้กับสุขภาพจิตของตัวเองโดยแท้
การมาใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน บางคนอาจบอกว่า "น่าอิจฉาจริง" บางคนอาจบอกว่า "เออ..โชคดี" แต่บางคนอาจจะบอกว่า "อยู่ดีไม่ว่าดี" เออ..ไอ้คนหลังนี่รู้จริง! มันก็ทรมานอยู่เหมือนกันนะ เวลาคิดถึงบ้านแล้วมันกลับบ้านไม่ได้เนี่ย การจากเมืองไทยไปอยู่นิวซีแลนด์ 6 เดือน แม้จะยังไม่หนักหนาสาหัส เพราะบ้านเมืองเค้าปลอดภัย เงียบสงบ สวยงาม อากาศดี และผู้คนก็เป็นมิตร ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป แต่อีก 6 เดือนถัดมานี่สิ จากนิวซีแลนด์มาอยู่บราซิล มันช่างแตกต่างกับเมืองไทยมากมาย เกินจะบรรยาย (แต่ก็อุตส่าห์บรรยายไว้ในโพสต์ 80 ความแตกต่างระหว่าง ไทย-บราซิล... !) ใครยังไม่เคย Homesick และยังไม่เคยลอง จะเล่าให้ฟังว่าอาการมันเป็นยังไง มันจะมีอาการทั้งทางกายและทางใจ ทางกายก็มีดังนี้
- อึดอัด กระสับกระส่าย ถ้านึกภาพไม่ออก ขอให้นึกถึงตอนปวดอึแล้วดันอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ที่บ้าน...เกี่ยวมั้ย? คือ มันจะกระสับกระส่าย ลังเล จะเข้าดีไม่เข้าดี ... คนเราจะคิดถึงบ้านมากที่สุดตอนที่รู้สึกว่าต้องการที่ที่อุ่นใจที่สุด อาการนี้จะเป็นหนักตอนที่จากบ้านมาใหม่ๆ เห็นอะไรก็อึดอัด กระสับกระส่าย ไอ้นู่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ถูกใจ สู้บ้านเราไม่ได้ซักอย่าง (ทั้งที่บางอย่างอาจดีกว่า!) นอนก็นอนไม่หลับ หมอนใหม่นอนไม่สบาย ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว ห้องไหนก็ใช้ไม่ถนัด อาหารถึงแม้จะอร่อย แต่ก็ทำเป็นไม่ถูกปากซะงั้นเพราะคิดถึงแต่อาหารที่บ้าน คนรอบข้างก็ใจดีแต่มันไม่สนิทใจ ปิดตาปิดใจ
- ระแวดระวังภัย อาการนี้เป็นอาการของการผิดที่ผิดทาง นึกภาพเวลาเราต้องไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง เช่น ไปต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศ ก่อนนอนต้องล็อกประตู หน้าต่าง แน่นหนา บางคนต้องเปิดไฟนอนก็มี จะเดินไปไหนก็ต้องมีเพื่อนไปด้วย เดินคนเดียวมันวังเวง ว้าเหว่ กระเป๋านี่ต้องกอดไว้แน่น เดี๋ยวใครมากระชากไป จะวิ่งกวดไม่ทัน ถนนหนทางต้องสังเกตุสังกาให้ดี เช็คแล้วเช็คอีกก่อนจะไปไหนมาไหน จะข้ามถนนก็ต้องระวัง เช็คให้ดีว่ารถประเทศนี้มันวิ่งเลนไหน ไฟเขียวไฟแดงมันเหมือนบ้านเรารึป่าว
- ขาดความมั่นใจ ไม่รู้จะไปดีไม่ไปดี ไปทางซ้ายหรือทางขวาดี ทำดีไม่ทำดี ซื้อดีไม่ซื้อดี จะซื้อของทีก็นับเงินแล้วนับเงินอีก คำนวณแล้วคำนวณอีกว่ามันกี่บาทไทยกันหว่า บางทีรนรานนับเลขไม่คล่องต้องใช้เครื่องคิดเลขช่วยตลอดเพราะใช้เงินประเทศอื่นยังไม่เป็น จะพูดกับใครจะคุยกับใคร ก็ไม่มั่นใจในภาษา กลัวเค้าถามกลับมา..ตอบเค้าไม่ได้อีก จะช้อปปิ้งก็ไม่มีความสุข เพราะมัวแต่เคอะเขิน...
- ตื่นเต้นเป็นกังวล อาการนี้จะเกิดบ่อยเวลาต้องทำอะไรครั้งแรก เช่น การขับรถครั้งแรก ไปช้อปปิ้งคนเดียวครั้งแรก หลงทางครั้งแรก พูดภาษาอื่นครั้งแรก ไปซื้อขนมปังครั้งแรก ฯลฯ หัวใจจะเต้นตุ๊มๆต่อมๆอยู่ตลอดเวลา มื้อเท้าจะเย็นแต่เหงื่อแตก ก็อย่างนี้แหละ ครั้งแรกมักตื่นเต้นเสมอ
- เสพติด Facebook ตั้งแต่ facebook ได้จุติขึ้นบนโลกนี้ มันช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของโลก มันทำให้ได้ติดต่อเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้รู้จักเพื่อนหลายๆคนในแง่มุมอื่นๆ ได้รู้ว่าบางคนมีอารมณ์ขันมากกว่าที่เราคิด บางคนก็มีความคิดความอ่านมีแง่มุมดีๆกว่าที่เราเคยรู้จัก รู้ว่าบางคนมีแฟนแล้ว บางคนเพิ่งคบกัน บางคนแต่งงานแล้ว บางคนอกหัก บางคนขี้เหงา บางคนยังไม่มีแฟน บางคนชอบเที่ยว บางคนชอบกิน ฯลฯ ทำให้คนไกลบ้าน ไกลเพื่อน ไกลครอบครัว ไม่มีงานทำอย่างฉั้นเสพติด facebook งอมแงม ขนาดบางทีขอให้ได้โพสต์แค่คำว่า "เหงา" แค่คำเดียว ก็สบายใจขึ้น เพราะกลับมาเช็คอีกที อาจมีข้อความตอบกลับมาให้กำลังใจบ้าง ให้ขำๆบ้าง แก้เหงาไปวันๆ
- กินไม่หยุด เอ่อ..อันนี้เนื่องมาจากเหตุผลของความ คิดถึง!! อาการนี้คล้ายกับอาการเครียดประเภทหนึ่งที่ยิ่งเครียดมากยิ่งกินมาก!! แต่บังเอิญว่านี่ไม่ใช่ความครียดแต่มันเป็นเพราะความคิดถึง คือ คิดถึงอาหารไทย คิดถึงความสะดวกสบายในการเดินหาของกินในเมืองไทยตามตรอก ซอก ซอย และเซเว่นอีเลเว่น คิดถึงอาหารที่มีสามรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อ้าว..สี่นี่!! โหยหาจนทนไม่ไหว ต้องทุ่มเททั้งกายทั้งใจให้กับการเข้าครัวอย่างจริงจัง ฝึกทำมันหมดทุกอย่าง ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน อาหารไทยยันอาหารฝรั่ง ทั้งเมนูง่ายๆ ไปจนถึงเมนูยากถึงยากที่สุด! ทั้งชิมเอง ทั้งให้คนอื่นชิม ชิมไปชิมมาจนน้ำหนักตัวถึงจุด Peak สุด!! คือ หนักเป็นประวัติการณ์! แต่หลังจากพบว่า กางเกงตัวโปรดที่เคยใส่ได้กลับยัดขาไม่ลงซะแล้วนั้น อาการก็จะค่อยๆทุเลาลง!!
อาการมักจะรุนแรงในช่วง 3-6 เดือนแรก อย่างตอนย้ายไปอยู่นิวซีแลนด์ใหม่ๆ ฟังภาษาอังกฤษสำเนียงนิวซีแลนด์แล้วทรมานมาก รู้สึกคิดถึงบ้านสุดใจขาดดิ้น แต่ยังไม่ได้ครึ่งของความทรมานที่ต้องฟังภาษาโปรตุกีซที่บราซิล ที่ฟังไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว แต่ทำไงได้ ในเมื่อการต่อสู้มันเพิ่งเริ่มต้น และนี่เป็นแค่อาการทางกายนะ ยังไม่รวมอาการทางใจ
อาการทางใจ แม้จะเป็นอาการที่มาเป็นระยะๆ เพื่อทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจ แต่เวลามันมา มันมักไม่เตือนก่อนล่วงหน้า ซึ่งได้แก่อาการ;
- อยู่ดีๆก็อยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เกิดเหงาอะไรขึ้นมาาาาาา...... เคยมั้ย ที่อยู่ดีๆก็อยากร้องไห้ ฉั้นไม่เชื่อ ถ้าใครบอกว่าไม่เคยเป็น อย่ามาหลอกกัน โดยเฉพาะผู้หญิง ลองสังเกตุช่วงก่อนมีรอบเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่ อยู่ดีๆก็อยากร้องไห้ มีถมไป และจะเอาอะไรกับคนไกลบ้าน อย่างฉั้น ไม่ต้องรอถึงช่วงก่อนมีรอบเดือนเลย มันมาทดสอบสภาพจิตใจเป็นระยะๆเสมอ และเมื่อไรที่มีอาการทางกายหนักๆ จะส่งผลถึงอาการทางใจทันที รู้สึกเปราะบาง อ่อนแอ ท้อแท้ สับสน และไร้สาระมากจนอยากจะร้องไห้......
- เหงา ไม่ต้องอธิบายมากสำหรับอาการนี้ เพราะมัน เหงา โอ้ว...พระเจ้า เหงาจริงๆ เกินบรรยาย ข้ามไปเลย!!!
- คิดถึง คิดถึงครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง คิดถึงเพื่อนฝูง คิดถึงที่ทำงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน คิดถึงร้านหมูปิ้ง ขนมจีบซาลาเปา ร้านส้มตำ ร้านเซเว่นอีเลเว่น ร้านทำผม ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด หมอฟัน ร้านเหล้า และติ๊กกี้ผับ(เอ่อ...อันนี้ คือ ห้องเพื่อนสนิท ที่สิงสถิตย์ทุกวันศุกร์หลังเที่ยงคืน) ..... คิดถึงมันหมดทุกอย่าง
- ขี้น้อยใจ เวลาไม่มีเพื่อนทิ้งข้อความไว้ใน facebook หรือพี่ๆน้องๆหายไปไหนกันหมด ไม่มีใครโทรหาทั้งที่ค่าโทรแค่นาทีละ 20-30 บาทเท่านั้นเอง! ติด Skype ก็ไม่ได้ใช้ พ่อแม่สงสัยไม่รักแล้วมั้ง เวลาก็ต่างกันเป็นวัน เค้าหลับเราตื่น สลับกันทุกวัน ......คิดไปต่างๆนานา...... มาได้สติอีกทีตอนที่ลองเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ทุกคนก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม งานยุ่งเหมือนเดิม มีชีวิตประจำวันเหมือนเดิม เจอะเจอเพื่อนฝูงเหมือนเดิม ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ... เราต่างหาก ที่เปลี่ยนไป
- ซึมเศร้า ห่อเหี่ยว หดหู่ ต้อแต้ ไม่ฉะบายยยย ฯลฯ ทั้งหมดรวมอยู่ในข้อเดียว เพราะอารมณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดบ่อย แค่บางครั้งบางคราว แล้วแต่อารมณ์ พอให้หดหู่เล่นๆเพื่อจะได้ย้อนกลับไปที่ข้อ 1 ใหม่ แล้ววนใหม่ไปเรื่อยๆ
ไม่รู้อาการที่ว่ามาจะดูเยอะไปป่าว แต่เชื่อเถอะ ไม่แน่มันอาจจะยังมีอีกแต่นึกไม่ออก แล้วทำไงล่ะให้หายจากอาการ Homesick ฮ่าาาาๆๆๆ...(จะหัวเราะทำไม) หัวเราะเพราะทำอะไรไม่ได้ ต้องอดทนต่อสู้กับมันอย่างคนอ่อนแอ... พิมพ์ไม่ผิด คนอ่อนแอนี่แหละ เวลาที่รู้สึกอ่อนแอ อาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ว่าจะเกิดขึ้นทันที อย่างเดียวที่ทำได้ คือ อย่าฝืนกับอาการ ให้ใส่อารมณ์ไปให้เต็มที่ ฟังเพลงเศร้าๆตอกย้ำเข้าไป ให้มันช้ำไปเถิด ให้มันช้ำเข้าไป ให้มันสาแกไจ ให้จำกว่านี้...................ได้ยินเหมือนเสียงพี่จอห์น นูโว ลอยมา!!
หลังจากปล่อยอารมณ์สุดๆแล้ว เราอาจจะร้องไห้จนตาบวม อาจเบื่ออาหาร และบางครั้งอาจมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย แต่เชื่อเถอะว่า เราจะรู้สึกดีขึ้น เพราะนี่คือ การฝึกความอดทนขั้นแรก
ขั้นที่สอง ต้องรวบรวมความกล้าและหน้าด้านเพื่อทำตัวกลมกลืน อย่ากลมเฉยๆให้กลืนด้วย "กลมกลืน" ทุกอย่างต้องนับหนึ่งก่อนเสมอ ฝึกทำทุกอย่างที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าทำ เช่น เดินไปซื้อของ ไปช้อปปิ้ง ไปออกกำลังกาย ไปทำอะไรก็ไป ทำไปเถอะแม้จะไม่อยากทำเพื่อสร้างความเคยชิน หลังจากเคยชินแล้วจะรู้สึกอบอุ่นใจขึ้น มั่นใจขึ้น
ขั้นถัดมา เริ่มทำอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเรื่องเป็นราว ทำสิ่งที่เราอยากทำ ชอบทำ ทำแล้วมีความสุข หลังจากผ่านขั้นแรกมาเราจะรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นนิดนึง เริ่มต่อต้านอะไรต่างๆน้อยลง เริ่มเปิดตาและเปิดใจและอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวต่างๆรอบตัว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี เราอาจจะเริ่มไปเรียนภาษา เริ่มอยากหาเพื่อน อยากพบปะผู้คน สำหรับฉั้น เริ่มเขียนบล๊อกเพื่อเก็บเรื่องราวต่างๆที่พบเจอเป็นตัวหนังสือ จะได้ไม่ลืมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่ห่างจากบ้านมา เริ่มฝึกทำอาหารจากอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ต่างๆ เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและโปรตุกีซเพิ่มเติม เริ่มออกกำลังกายเป็นประจำ เริ่มหัดแต่งหน้า คริ คริ!! ^^ ขอแอบสวย จาก Gurus YouTube แล้วก็เริ่มประดิษฐ์นู้นประดิษฐ์นี้ไปเรื่อยเปื่อย
เพราะอยู่ที่บราซิล คิดว่าคงหางานทำลำบาก...ไม่หรอก จริงๆแล้ว มันเป็นเพียงข้ออ้าง ฉั้นเบื่อกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มทีต่างหาก ผ่านไปหนึ่งปี ฉั้นเกิดแรงบันดาลใจมากมายหลายอย่าง อยากทำสิ่งที่เคยคิดถามตัวเองเล่นๆว่า "ถ้าไม่เป็นมนนุษย์เงินเดือน ตรูจะไปทำมาหากินอะไร?" ถึงแม้จะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน แต่ก็พยามอยู่! แต่ที่สำคัญ พอเริ่มรู้สึกเริ่มชินกับสิ่งรอบตัวแล้ว เราก็เริ่มเหงาน้อยลง ทรมานกับการคิดถึงบ้านน้อยลง โหยหาเพื่อนน้อยลง และเริ่มปรับตัวกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น
ณ ตอนนี้ อาการ "Homesick" เริ่มทุเลาลงแล้ว ต้องยกนิ้วให้กับความอดทนอย่างอ่อนแอของตัวเองจริงๆ ใครก็ตามที่เคยมีอาการแบบนี้ ฉั้นคงช่วยอะไรไม่ได้(เพราะช่วยตัวเองยังไม่ค่อยรอด) แต่จะขอเป็นกำลังใจให้ ผ่านช่วงเวลาหนึ่งเราจะเริ่มชินกับมันและเมื่อถึงเวลานั้น ที่ที่เราอยู่ปัจจุบันก็จะกลายเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งให้เราได้คิดถึงเช่นกัน แม้ความคิดถึงบ้านหลังเดิมจะไม่มีวันจางหายไปไหน แต่มันจะกลายเป็นความคิดถึงแบบอบอุ่นใจ ไม่ใช่ความทรมานอีกต่อไป
เข้ามาเจอblogนี้เพราะsearchคำว่า้homesickในgoogleครับ ^^"
ตอบลบตอนนี้ผมอยู่สกอตแลนด์ครับ กำลังเจอปัญหาHomesickเล่นงาน ทั้งที่นี่ก็5เดือนแล้ว เพิ่งมาเป็นเอาช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี่ล่ะครับ โหยหาอดีตเอามากๆ
T__T
เข้มแข็งไว้ค่ะ เดี๋ยวก็จะชินนะ อาจจะในอีกไม่กี่เดือน หรืออาจจะเป็นปี หรืออาจจะอีกหลายปี อยู่ที่ใจเราค่ะ อยากให้มันนานแค่ไหน
ตอบลบผมเพิ่งมาอยู่วันที่ 4 นี่ก็ผ่านมา 5-6 วันแล้ว
ตอบลบกำลังจะรู้สึกเป็น โดยเฉาะเวลาที่สื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง เขาจะทำหน้าเบื่อหน่ายมากยิ่งรู้สึกแย่
มาเรียน ป.โท ที่ออสน่ะครับ
ลบการอยู่ในบางที่ อาจยิ่งทำให้อาการ homesick เป็นหนักขึ้นอีกก็มีค่ะ ใช้เวลานิดนึงแล้วจะรู้เองว่าที่ที่เราอยู่มันทำให้เรารู้สึกยังไง เป็นกำลังใจให้นะคะ
ลบผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวถ้าเหงา ก็ทำโน่นนี่นั่น งานบ้านทำทั้งวันก็ไม่เสร็จ รื้อเข้ารื้อออกได้ตลอด ทำให้ลดความเหงาลงได้เยอะ
ตอบลบจริงค่ะ เป็นเหมือนกัน
ลบเปิดมาอ่านบล็อกนี้เพราะคิดถึงบ้าน ไม่ได้อยู่ต่างประเทศหรือต่างจังหวัด แต่เพราะ อาทิตย์นี้เพิ่งเริ่มทำงาน TT
ตอบลบแง เพิ่งเรียนจบ คิดถึงเพื่อน คิดถึงครอบครัว ซิกๆ
อาการคิดถึงบ้านนี่ เกิดขึ้นได้กับทุกคนจริงๆเน๊อะ หาอะไรทำให้เพลินๆไว้ค่ะ
ลบมันจะชินมั้ยคะ ตอนนี้มาทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้านมาได้5วันแล้วคิดถึงบ้านมากๆๆเหงาเศร้าซึม. อยากกลับแต่บ้านทำไรก็คิดถึงแต่บ้านมากๆ อยากทราบว่าเรื่องแบบนี้กี่เดือนถึงจะชินคะ
ตอบลบขึ้นปี3 มาอยู่หอได้ปกติ พอกับไปอยู่บ้านข่วงปิดเทอมกับมาอยู่หอคิดถึงเเต่บ้าน
ตอบลบ