Pages

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 17, 2554

Culture Shock เมื่อออกนอกกะลา

คนไทยถูกสอนให้ไม่ตัดสินคนจากภายนอก
คนต่างชาติมองคนที่ภาพลักษณ์์ภายนอกเป็นอันดับแรก
คนต่างชาติส่วนใหญ่เชื่อและตัดสินคนจากภาพแรกที่เห็น ส่วนใหญ่จะตัดสินว่ามีหรือจนไว้ก่อน หลายๆคนมีความเชื่อว่าถ้าภาพลักษณ์ภายนอกดูไม่ดี ก็ไม่มีใครอยากจะรู้จักถึงเบื้องลึกของจิตใจ หลายคนจึงทำงานหนักกับตัวเอง ใส่ใจตัวเองมากๆ ไม่ยอมแก่ ไม่ยอมเหี่ยว ศัลยกรรมเลยเป็นที่นิยมมาก
ในขณะที่คนไทยก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ดูดีแบบธรรมชาติ สวยก็สวยแบบธรรมชาติไปเลย เพราะเชื่อว่าต้องรู้จักให้ลึกถึงจิตใจถึงจะตัดสินได้ว่าเป็นคนจิตใจดีรึป่าว ก็ดีนะ ทุกคนเลยต้องฝึกให้สวยมาจากภายในจิตใจ

การทำร้ายผู้อื่น ทั้งทางร่างกาย วาจา และใจ ถือเป็นความผิดที่แจ้งตำรวจจับได้นะ โดยเฉพาะกับเด็ก
ถ้าโดนตี โดนทำร้ายร่างกาย แม้จะโดยพ่อแม่ พ่อแม่ก็โดนจับได้
คนไทยหลายคนยังเติบโตมาครอบครัวหรือโรงเรียนที่ทำโทษด้วยการตี สามีภรรยาหลายคู่ยังตบตีกันเป็นว่าเล่น และตำรวจยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากมายนักอยู่เลย

คนไทยนิยมตั้งคำถามที่เกี่ยวโยงเข้ากับเรื่องส่วนตัวเพื่อแสดงมารยาทและให้ความสนิทสนม
คนต่างชาตินิยมตั้งคำถามแบบข้อมูลเพื่อเลี่ยงการเกี่ยวโยงกับเรื่องส่วนตัวเพราะถือว่าผิดมารยาท 
คนไทยถามเรื่องส่วนตัวกันหน้าตาเฉยจนบางครั้งคนตอบลำบากใจ แต่ถ้าถามแล้วไม่ตอบกลับกลายเป็นคนตอบผิดมารยาท แต่สำหรับฝรั่งถ้าคนถามถามคำถามเกี่ยวโยงกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องที่คนตอบไม่อยากตอบ ถือว่าคนถามผิดมารยาท ก็แค่บอกให้รู้ไปเลยว่า 'None of your business!' หรืออย่างรักษาน้ำใจก็ 'I don't feel comfortable to talk about this.' เป็นอันว่าจบบทสนทนา 

คนไทยติดกับสังคมแบบพึ่งพาอาศัยกัน
คนต่างชาติอยู่ในวัฒนธรรมของการพึ่งพาตนเอง
ไม่แปลกที่จะเห็นคนไทยบางคนไว้ใจคนอื่นได้ทั้งที่ไม่ใช่แม้แต่คนรู้จัก เกรงใจคนอื่นทั้งที่ไม่ใช่แม้แต่คนในครอบครัว ยอมมองข้ามบางสิ่งบางอย่างแล้วให้อภัยทั้งที่ไม่ใช่แม้แต่เพื่อน เพราะนั่นคือสังคมไทยที่พยามมีข้อแม้กับชีวิตให้น้อยๆ มีไลฟ์สไตล์แบบเรียบง่าย เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้สบายๆ แบบที่ฝรั่งไม่นิยมและทำไม่เป็นซะด้วยซ้ำ
ฝรั่งที่มองการณ์ไกลจะทำงานหนักและเริ่มเก็บเงินตั้้งแต่เนิ่นๆเพื่อไว้ใช้ในวัยเกษียณโดยไม่พึ่งพาใครแม้แต่ลูกหลาน

คนไทยมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างขึ้นอยู่กับคนหมู่มาก 
คนต่างชาติมีความคิดเห็นที่เป็นของตัวเอง
คนไทยมักยอมมีความคิดเห็นคล้อยตามคนหมู่มากได้ในหลายๆการตัดสินใจ อาจเพราะไม่มั่นใจความคิดตัวเองว่าถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี อายที่ต้องแสดงความคิดเห็นที่เป็นของตัวเอง กลัวที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง เผลอๆบางที...ไม่มีความคิดเห็นเลยซะด้วยซ้ำ เพราะถูกปลูกฝังมาให้สงบปากสงบคำ เกรงใจผู้อื่น ไม่พูดสอดแทรกผู้ใหญ่ ฯลฯ ในขณะที่พวกฝรั่งจะอายมากถ้าไม่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง หรือไม่ได้พูดสอดแทรกเพื่อแสดงการโต้แย้ง หรือ แม้แต่การคล้อยตามความคิดเห็นคนอื่นไปแบบง่ายๆ ก็เป็นเรื่องน่าแปลกได้เหมือนกัน

คนไทยหลายคนแสดงออกคล้ายกับเป็นเด็กอายุ 18 ตลอดเวลา
คนต่างชาติส่วนใหญ่เมื่ออายุครบ 18 เค้าเชื่อว่าพวกเค้าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
พวกเค้าจะพยามตัดสินใจด้วยตัวเอง พยามแสดงออกทางความคิดและท่าทาง การพูดจา รวมทั้งการแต่งตัว เพื่อให้สมกับอายุ (Age approriate) และเมื่อคิดว่าดูแลตัวเองได้แล้ว เค้าจะย้ายออกไปอยู่ลำพัง จะไม่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ เพราะต้องการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง (ผิดบ้างพลาดบ้างก็มีเยอะ) ส่วนพ่อแม่เองส่วนใหญ่ก็อึดอัดที่ลูกบางคนไม่ยอมออกไปอยู่ข้างนอก ไปดูแลตัวเองกันซักที ฝรั่งหลายๆคนจึงดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายช่วงตัว ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเทียบกับคนไทย ฝรั่งหลายคนถึงกับอึ้งว่า ทำไมคนไทยดูเด็กจัง ทั้งหน้าตา บุคลิก ท่าทาง ก็พ่อแม่คนไทยยังนิยมบอกว่าลูกๆของตัวเอง 'ยังเด็กอยู่' เสมอ ต้องอยู่ในกรอบ ในกฏ ในระเบียบ คนไทยก็เลยดูเป็นเด็กตลอดกาล

คนไทยให้ความสำคัญเรื่อง อายุ
ฝรั่งไม่สนใจใครอายุเท่าไร ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียม
เป็นธรรมดามากที่เห็นพ่อแม่ลูกคุยกันราวกับเป็นเพื่อน ไม่มีคำสอนชัดเจนเรื่องการต้องตอบแทนบุญคุณ พี่น้องไม่ค่อยสนว่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง ครูกะลูกศิษย์ยังเล่นหัวกันได้ หรือแม้แต่คนชราก็ต้องดูแลตัวเองกันไป ใครอยากพูดอะไรตอนไหนก็พูด อาการ 'เถียงหัวชนฝา' มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แถมบางทีพวกเค้าตะโกนใส่หน้ากันซะงั้น แล้วบอกว่านี่ล่ะคือวิธีสื่อสารกันของพวกเค้า เอิ๊กกก ช๊อค!! คำถามเรื่องอายุ สำหรับฝรั่งเลยกลายเป็นเรื่องผิดมารยาท
ไม่เหมือนคนไทยที่ต้องไหว้อย่างอ่อนน้อม เรียกพี่ เรียกน้องให้รู้ใครเด็กใครผู้ใหญ่ โดนตำหนิติเตียนเป็นเรื่องใหญ่ถ้าไม่มีสัมมาคารวะ นั่งค้ำหัวผู้ใหญ่ ใครไม่ลุกให้คนแก่นั่งบนรถเมล์ถือว่าใจดำ ฯลฯ

คนไทยจึงอยู่ในสังคมที่คนส่วนใหญ่ให้ความเคารพยำเกรงกัน
ส่วนคนต่างชาติส่วนใหญ่ชอบเรียกร้องอยากให้คนอื่นให้ความเคารพยำเกรง ทั้งที่ตัวเองทำไม่เป็น!

โรงเรียนยันมหา'ลัย เด็กไทยใส่ยูนิฟอร์ม ห้ามสำอางค์ ห้ามแต่งหน้า ห้ามไว้เล็บ ห้ามปล่อยผม ฯลฯ
โรงเรียนฝรั่งไม่มียูนิฟอร์ม เด็กแข่งกันแต่งตัว แต่งหน้า ทาปาก แข่งกันสวย แข่งกันมีแฟนตั้งแต่อายุ 14
ในโรงเรียนฝรั่งขึ้นชื่อเรื่องเด็กอันธพาล หรือ Bully ที่มีนิสัยชอบ ล้อเลียนและกลั่นแกล้ง คนที่อ่อนแอกว่า เด็กผู้ชายอาจต่อยตีไปตามประสา แต่เด็กผู้หญิงจะโจมตีกันด้านรูปร่างหน้าตาให้ได้เจ็บช้ำน้ำใจ เช่น ล้อว่าอ้วน ขี้เหล่ จมูกใหญ่ ฟันเหยิน น่าเกลียด ต่างๆนานา จริงบ้างไม่จริงบ้าง ใครที่โดนล้อจะกลายเป็นคนที่ไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ เด็กบางคนทนแรงกดดันไม่ไหว ก็ต้องไปเรียนที่บ้านแบบ Home School แทน น่าสงสารเน๊อะ แค่อ้วนก็ผิดด้วย เครียดแต่เด็กเลย!

คนไทยชื่นชอบการผูกมิตรไมตรี
ฝรั่งใช้ชีวิตอยู่กับการแข่งขัน
เห็นฝรั่งแข่งขันกันได้แข่งขันกันดี ไม่ว่าเรื่องเรียน เรื่องรัก เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เรื่องอาหารการกิน เรื่องความสวยความงาม เรื่องความสามารถพิเศษ เรื่องการประสบความสำเร็จ ฯลฯ เหมือนการแข่งขันซึมลึกอยู่ในสายเลือด จะเห็นเกมโชว์และเรียลลิตี้มากมายหลายรายการที่ทำเงินได้มหาศาล ด้วยกันนำคนมาแข่งกันทำเรื่องไร้สาระให้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นขึ้นมาได้ เช่น หาคู่เดทแข่งกัน แข่งกันเอาชนะใจผู้ชายคนเดียว หรือแข่งอยู่ร่วมกันในบ้านหลังหนึ่งโดยไม่ให้ถูกโหวตออก เป็นต้น ผู้คนส่วนใหญ่ต่างตกอยู่ในสังคมที่ต้องพิสูจน์ว่า ดีกว่า เหนือกว่า เป็นที่มาของคำว่า 'Ego' ที่หลายๆคนไม่ยอมก้มหัวให้ใครก็เพราะคำๆนี้
การอยู่เมืองนอก รอยยิ้มพิมพ์ใจ จึงไม่ส่งผลดีได้ในหลายๆโอกาส
ผิดกับคนไทยที่ยอมๆหยวนๆกันได้ตลอดเวลา หากต้องแข่งขันกับใครจะรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่มีความสุข บางคนประหม่า กลัวจนขนลุกขนพองก็มี มันไม่ชินอ่ะ รู้สึกกดดัน(ตัวเอง)


อาหารไทยเราจะไม่ยึดติดกับมารยาทและลำดับการเสิร์ฟมากมาย
เมนูไหนเสร็จก่อนเสิร์ฟก่อนก็ได้ ยิ่งปาร์ตี้สไตล์ชาวบ้าน ปูเสื่อนั่งเปิบกับพื้น หยิบกิน จิ้มกิน หนุกหนาน
 แต่อาหารฝรั่ง จะให้ความสำคัญกับเรื่องการเสิร์ฟตามลำดับก่อนหลัง
อาหารว่าง อาหารคาว อาหารหวาน โดยเฉพาะตามร้านอาหารดีๆ แถมอุปกรณ์ในการรับประทานก็ไม่ควรสับสน ฝรั่งเข้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนในเมืองไทยที่เสริ์ฟโดยคนไทย เห็นคนไทยเสิร์ฟสลัดพร้อมพาสต้า ถึงกับงง! แถมบางร้านไม่รู้มารยาทการเสิร์ฟไวน์ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าอาย(แต่เราก็ไม่อาย อิ๊ อิ๊!)

เมืองไทยมีอาหารขายตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งข้างทาง ต้นซอย ยันท้ายซอย และเซเว่นอีเลเว่น
เมืองนอก ไม่มีอาหารขายข้างทาง มีแต่ในร้านอาหาร ร้านเบเกอร์รี่ ห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดกันตั้งแต่หกโมงเย็น แถมวันอาทิตย์ก็ปิดอีก พวกร้านที่เปิดขายตลอด 24 ชั่วโมงจะหายากมาก
การทานอาหารนอกบ้านก็แพงมากด้วย คนอยู่เมืองนอกจึงต้องฝึกทำอาหารกินเองไปโดยปริยาย
ไม่เหมือนเมืองไทย และอาหารไทยอะไรก็อร่อยไปหมด คนไทยเลยกินได้ตลอดเวลา จนมีสุขลักษณะและนิสัยกินที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องสุขภาพซักเท่าไร ก็มันอร่อยนี่!

อาหาร เช้า กลางวัน เย็น ของคนไทยเหมือนกัน คือ จะกินอะไรตอนไหนก็ได้
กินข้าวเหนียวหมูปิ้งในมื้อเย็นก็ได้ กินข้าวจานโตๆในมื้อเช้าก็ได้ กินอาหารเผ็ดๆเป็นมื้อเช้ายังได้เลย อันนี้ฝรั่งเห็นก็ตกใจเหมือนกัน

คนไทยรู้จักพิซซ่าและคิดว่าพิซซ่าที่อร่อยควรมีทั้งแบบแป้งหนานุ่ม แป้งบางกรอบ กินกับซอสมะเขือเทศ พริกป่น หรือออริกาโน่แห้งแล้วแต่ชอบ
พิซซ่าของแท้ นิยมแบบแป้งบางกรอบ และเพิ่มรสชาติด้วยการเหยาะน้ำมันมะกอก(Olive Oil) เท่านั้น  

เมื่องไทยไม่มีวันไหนที่ห้างสรรพสินค้าปิด
ที่บราซิลและนิวซีแลนด์(เข้าใจว่าอีกหลายประเทศทางซีกโลกตะวันตกน่าจะคล้ายกัน) ห้างสรรพสินค้าปิดช่วงวันหยุดราชการ วันปีใหม่ วันคริสต์มาส หากจะเปิดก็จะเปิดหลังบ่ายสองโมงเป็นต้นไปเท่านั้น เพื่อให้สิทธิ์ทุกคนได้หยุดพักผ่อนเหมือนกัน

ผู้หญิงไทยตั้งท้อง จากนุ่งยีนส์เปลี่ยนเป็นสวมชุดนอน
ฝรั่งตั้งท้อง ขอนุ่งยีนส์ และบิกินี่ ให้สบายใจ
ฝรั่งนิยมออกกำลังกายตอนตั้งท้อง ด้วยการ เดิน วิ่งเบาๆ ว่ายน้ำ เพื่อให้ลูกในท้องแข็งแรง ชุดคลุมท้องของเค้าจะเป็นกางเกงยีนส์ที่มีผ้ายืดๆยึดติดกับเอวกางเกงยีนส์เพื่อใช้พยุงท้องกลมๆ หรือไม่ก็เสื้อผ้าแฟชั่นคนท้องไปซะเลย
แต่จะไม่มีชุดคลุมท้องแบบคนไทยที่ออกแบบคล้ายชุดนอน!!

คนไทยรักเด็ก เห็นเด็กเล็กๆน่ารักๆ โดยเฉพาะเด็กฝรั่ง จะเข้าไปทักทายเล่นด้วย
ฝรั่งไม่ชอบ!!
ฝรั่งไม่ไว้ใจใคร โดยเฉพาะคนที่ชอบมาเล่นกับลูกตัวเอง ฝรั่งจะหวง และห่วง และกังวลมาก
ยิ่งไปแตะต้องตัวลูกเค้าก็ยิ่งแล้วใหญ่
สังคมเค้ามีคดีลักพาตัวเยอะน่ะ และเด็กฝรั่งก็น่ารักๆกันทั้งนั้นอีกด้วย เลยไม่มีใครตื่นเต้นที่เห็นลูกคนนั้นคนนี่น่ารัก

การโชว์เนื้อหนังมังสา การกอด จูบ แตะเนื้อต้องตัว รวมไปถึงเรื่องเซ็กซ์
สำหรับฝรั่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
คำว่า 'One night stand' หรือการมีความสัมพันธ์กันแค่ชั่วข้ามคืน ฝรั่งเค้าหมายความตามนั้นจริงๆ
ถ้าบังเอิญใครไปมีความสัมพันธ์แบบ one night stand แล้วผิดหวังที่ไม่มีการติดต่อกลับมาในวันรุ่งขึ้น
ก็จงทำใจเถอะจ๊ะ

อีกเรื่องที่แตกต่าง คือ ฝรั่งไม่สามารถเข้าใจคนไทยได้ในเรื่อง ความรักที่มีต่อสถาบันกษัตริย์
ฝรั่งเข้าใจว่าหากเราเรียกสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า 'สถาบัน' นั่นหมายความว่าเป็นสิ่งที่สังคม จัดตั้งให้มีขึ้นเพราะเห็นประโยชน์ว่ามีความต้องการและจำเป็นแก่วิถีชีวิตของคน แต่สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่แตะต้องได้ วิพากษ์วิจารย์ได้ และเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม เฉกเช่นเดียวกับ สถาบันกษัตริย์ของอังกฤษ แต่เมื่อเห็นคนไทยรักและเทิดทูน สถาบันกษัตริย์ไทย ในทางตรงข้าม...การวิพากษ์วิจารย์ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและห้าม พวกเค้าจึงแปลกใจ ฉั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกันว่า เป็นเพราะเราถูกปลูกฝังมาเนิ่นนานว่าพระมหากษัตริย์ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความรัก เคารพ เทิดทูนอย่างสูงสุดของปวงชน และคนไทยถือว่าพระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนสมมุติเทพ
ฝรั่งไม่เข้าใจหรอก เพราะฉั้นเอง...ตอนนี้ก็เริ่มไม่เข้าใจเหมือนกัน นับตั้งแต่มีคนบางกลุ่มที่ใช้ 'ความรัก' ที่คนไทยมีต่อพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง เป็นข้อต่อรองกระทำการบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจ และใช้ประโยชน์จาก 'ความรัก' นั้น เสมือนเป็น 'จุดอ่อน'


ในความเหมือน ประเทศไทยมีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
ประเทศอื่นก็มีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคมเหมือนกัน
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ประสบปัญหาการเมืองที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีนักการเมืองคอร์รัปชั่น ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีคนเห็นแก่ตัวมากมาย ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ไว้ใจนักการเมืองไม่ได้ ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีปัญหาข้าวยากหมากแพง ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีประชากรเกือบล้นประเทศ ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ไม่ได้ผู้นำประเทศที่ถูกใจซักที ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีปัญหาขัดแย้งทางความคิด ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีทั้งคนรวยและคนจนปนเป ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีคนรวยดูถูกคนจน ไม่ใช่ประเทศเดียวที่คนมีการศึกษาเอาเปรียบคนด้อยการศึกษา ไม่ใช่ประเทศเดียวที่.......ฯลฯ
เพราะเหตุผลข้อเดียว .... ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวบนโลกใบนี้

วันเสาร์, พฤศจิกายน 05, 2554

ธรรมชาติอาจให้คำตอบ

ตอนนี้แม่ฉั้นไม่มีบ้านอยู่ เพราะบ้านแม่จมน้ำไปแล้ว น้องชายก็กำลังบวช ส่วนพ่อก็ตั้งใจทำงานรับใช้ศาสนาหลังเกษียรช่วงนี้เลยตามดูแลพระ(น้องชาย)ไปพลางๆระหว่างบวชให้ครบหนึ่งพรรษา ฉั้นอยู่ไกลได้แต่ส่งกำลังใจไปให้คนทางบ้าน เหลือแต่พี่สาวคนโตที่ต้องคอยดูแลแม่ งานก็ต้องทำ แม่ก็ต้องดูแล แถมต้องคอยวางแผนพาแม่หนีน้ำอีก!!

คนทุกคนมีความทุกข์กันทั้งนั้น แต่ใครบ้างที่จะเห็นแก่ตัว แบ่งปันแต่ความทุกข์ของตัวเองไปให้คนอื่น แต่เก็บความสุขไว้กับตัว ไม่เผื่อแผ่ให้ใครเลย การมีความสุขอยู่คนเดียว ความสุขมันไม่ใหญ่เท่ากับการแบ่งปันความสุขให้คนอื่นด้วยหรอก พี่สาวฉั้นเข้มแข็งมากที่ต้องคอยกระเตงแม่ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยโดยไม่แสดงอาการท้อแท้ แม้ตัวจะอยู่ไกลแถมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่คนเดียวแต่ฉั้นยังเชื่อในพลังและคุณค่าของความรักและการร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่นะ  และก็เชื่อเรื่องกฏแรงดึงดูดด้วย เคยได้ยินกฎแห่งแรงดึงดูดของจักรวาลมั้ย คนเราสามารถใช้กฏแรงดึงดูดของจักรวาลสร้างผ่านความรู้สึกนึกคิดของเราได้นะ 'ทุกสิ่งที่เราคิดคือสิ่งที่เป็นจริง' ถามตัวเองว่าเราจะใช้พลังแห่งความคิดนั้น สร้างสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ร้ายให้เป็นจริงในชีวิตเรา?

ภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่ไม่รู้เมื่อเทียบกับภัยความแตกแยกของคนในชาติ อันไหนจะร้ายแรงกว่า ภัยอันหลังนี้ได้ทำลายความรักและความสามัคคีของคนไทยไปมาก และสร้างความโกรธเคือง เครียดแค้น ลำเอียง และใจแคบให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีคูณ เป็นเหมือนพลังแห่งการดึงดูด ที่ดึงดูดแต่ความเลวร้ายมาสู่ เพื่อตอบสนองความคิดนั้นให้เป็นจริง! ฉั้นเคยได้ยินว่าคนไทยเมื่อก่อน เค้าทำอาหารก็เอาไปแบ่งปันเพื่อนบ้าน ไม่อยู่บ้านก็ฝากคนข้างบ้านดูแลบ้านให้ งานบุญทีไรก็ตุเลงกันไปช่วยลงมือลงแรง รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนญาติโกโหติกา มาวันนี้ถ้าถามคนที่อยู่ในกรุงเทพ พวกเค้าคงบอกว่า ภาพลักษณ์แบบนั้นน่าจะเหลืออยู่แต่ในต่างจังหวัดแล้วมั้ง แปลว่าคนต่างจังหวัดยังรัก ช่วยเหลือและแบ่งปันกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนญาติโกโหติกา อย่างงั้นรึป่าว แล้วคนกรุงเทพละ อยู่กันยังไง รักกันยังไง รักแล้วแสดงออกยังไง หรือทำมาหากินกันอย่างเดียว เมื่อมีงาน มีเงิน ก็ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือขอความช่วยเหลือจากใคร จึงไม่มีโอกาสได้แบ่งปันความรักให้ใคร หรือเพราะคนที่มาอยู่ในกรุงเทพส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาหาเงิน หาอาชีพ เสร็จแล้วก็กลับไปหาความรักที่บ้านต่างจังหวัดของตัวเอง กลับเอาเงินไปช่วยเหลือครอบครัวตัวเอง กลับไปเป็นที่พึ่งยามยากให้คนที่บ้านตัวเอง ทิ้งให้คนกรุงเทพ(จริงๆ)อยู่กับงาน เงินทอง วัตถุต่อไป แล้วเมื่อมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในภาวะแตกแยกแบบนี้ในกรุงเทพ ความรักและความสำนึกในบ้านเกิดเมืองนอนของแต่ละคนจะมีเท่ากันเหรอ ไม่แน่นะ...เมื่อภัยธรรมชาติสงบลงแล้ว แหล่งทำกินอาจไม่ใช่แหล่งทำกินอีกต่อไป คนกรุงเทพอาจต้องกลับมาพึ่งพาอาศัยกันและช่วยเหลือกันอย่างเมื่อก่อน และคนต่างจังหวัดอาจต้องกลับไปทำมาหากินที่บ้านเกิดของตัวเอง และเมื่อนั้นคงได้คำตอบสำหรับหลายๆคำถาม.... อาจได้เห็นความเท่าเทียม อาจได้เห็นอัศวิน เห็นผู้ร้าย เห็นคนดี เห็นคนฉวยโอกาสในยามทุกข์ยาก หรือแม้กระทั่งคนช่วยเหลือกันแบบไม่มีเงื่อนไข 

เราอยู่ประเทศที่กำลังพัฒนา สิ่งที่ต้องทำใจ คือ การที่มีคนคอยนั่งเฝ้ารอ แบมือขอความช่วยเหลือ มันมีมากกว่าคนที่ทำหน้าที่พัฒนาอยู่หลายเท่าตัว แล้วก็หายากนะคนที่จะช่วยเหลือใครโดยไม่หวังผลตอบแทน โชคไม่ดีนักที่นักการเมืองช่วงหลังๆดันหันมาเล่นการเมืองแบบพ่อค้าและนักการตลาด เน้นทำราคาดี มีโปรโมชั่น เข้าถึงลูกค้าถูกกลุ่ม ลูกค้าติดใจ เพราะชอบโปรโมชั่น เลยซื้อแล้วซื้ออีกมันอยู่นั่น ผู้นำประเทศก็เลยกลายเป็นกลุ่มนักการตลาด ที่ไม่เอาใจพวกกลุ่มลูกค้ารู้มาก เรื่องมาก เอาใจยากแถมไม่ซื้อ ทำการตลาดลำบาก หาเงินลำบาก ปล่อยให้พวกนี้ปากเปียกปากแฉะไปแล้วกัน เพราะยังไงก็ไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย! พวกคนที่อยากเป็นนักการเมืองจริงๆ อยากบริหารประเทศจริงๆ หรือ พวกใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี เลยไม่ค่อยได้ผุดได้เกิด เพราะทำการตลาดไม่เก่ง เฮ้อ...น่าเสียดาย!!

แต่ถึงยังไง ฉั้นก็ยังมีความเชื่อว่า ด้านอื่นๆในประเทศไทยอาจจะ 'กำลัง' พัฒนา แต่ด้านคุณภาพจิตใจไม่มีประเทศไหนที่พัฒนาได้เท่าเรา และก็เชื่อว่าคนไทยยังรักกันอยู่นะ เพียงแค่รอวันที่จะเข้าใจกันและยอมรับในความเป็นจริงบนบรรทัดฐานเดียวกัน คนผิดยอมรับผิด คนโกรธเริ่มให้อภัย คนเดือดร้อนได้รับการเยียวยา แต่จะใช้เวลานานแค่ไหนในการรอคอย หรือต้องให้เสียหายกันอีกมากซักเท่าไรถึงจะคุ้มค่าความแค้น ระหว่างรอนี้ก็ต้องทนชอกช้ำเพราะต้องโดนธรรมชาติลงโทษความแตกแยก โดยเฉพาะกรุงเทพที่โดนลงโทษหนัก ทั้งโดนเผา ทั้งโดนน้ำท่วม ก็ได้แต่หวังว่าทุกคนจะมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ... คนเรา ถ้าทนอยู่กับความเกลียดชังที่คุกรุ่นอยู่ในใจได้ ก็ต้องทนอยู่กับด้านน่าเกลียดของสังคมได้ แล้วถ้าหัวใจเรียนรู้ที่จะรักได้เมื่อไร ก็จะเห็นมุมที่น่ารักของสังคมที่ตัวเองอยู่ได้เอง
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...