Pages

วันศุกร์, มีนาคม 02, 2555

ขอเรียกว่า สิ่งมหัศจรรย์

ฉั้นนึกอยู่ตั้งนาน ว่าจะบรรยายความรู้สึกของการจะเป็น 'แม่' ว่ายังไงดี เพราะมันช่างเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดเรื่องมีลูกเลยซักนิดเพราะมันช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัว เป็นสิ่งที่ต้องเกิดจากความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ วัยวุฒิ และคุณวุฒิของคนสองคนเท่านั้นจริงๆ จนหลังจากแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่บราซิล ความเป็นอยู่แบบครอบครัวมันกลายเป็นความรู้สึกผูกพันธ์ที่หนักแน่นขึ้นมาก เสมือนเรามีกันอยู่แค่สองคนบนโลกใบนี้ก็ไม่ปาน ผ่านทั้งความเหนื่อย ความลำบาก ความเหงา ความสุข และความทุกข์มาด้วยกัน จนถึงจุดที่ไม่อยากอยู่กันแค่สองคนอีกต่อไป ทำให้ความคิดเรื่องการมีเจ้าตัวเล็กนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความพร้อมและเวลาอันสมควรทำให้เราต้องเร่ิมวางแผน

เริ่มจากการทิ้งทวนความสุขสบายส่วนตัวด้วยการพากันไปเที่ยวฮันนีมูน และหลังจากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการเพื่อหาฤกษ์งามยามดี กว่าสี่เดือนที่เราพยามไปกับการหาฤกษ์งามยามดีที่ว่า แต่ก็ยังไม่เห็นมีวี่แวว เรารออย่างใจจดใจจ่อ จนเริ่มท้อและเครียดเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่ามันจะยากเย็นนัก และคิดไปว่าเราอาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพหรือไม่ก็อายุ (ตอนแรกนึกว่าเราจะเหมือนวัยรุ่นที่เปิดปุ๊บติดปั๊บอ่ะ คิดไปได้เน๊อะ!) จนกระทั้งเข้าสู่เดือนที่ห้า เราเริ่มปลงและคิดซะว่าถ้าเค้าจะมาเค้าก็คงมาเอง และเราก็เริ่มผ่อนคลายลงแบบอารมณ์ปลงๆ!! และแล้วเมื่อเราผ่อนคลายปุ๊บก็พบว่า แท๊น แท๊น แท้น แถ่น เดือนที่ห้านั้นเอง ที่ประจำเดือนฉั้นไม่มา และตรวจสอบการตั้งครรภ์ก็พบว่าขึ้น 2 ขีดที่หมายความว่าฉั้นตั้งครรภ์!! เรายังคงเช็คแล้วเช็คอีกว่า ใช่หรือไม่ จริงหรือหลอก ชัวร์หรือมั่วนิ่ม เพื่อให้แน่ใจว่าเค้ามาแล้วจริงๆรึป่าว เราต้องหาหมอเพื่อคอนเฟริ์ม แต่หาหมอที่ไหน ฉั้นไม่รู้จักบราซิลเลย ประสบการณ์ก็ไม่มี เราไม่รู้เลยว่าเค้าต้องหาหมอกันที่ไหน หมอที่ไหนถึงจะดี เราได้คำแนะนำจากพี่สาวแฟบ(ซึ่งมีประสบการณ์คุณแม่ลูกสอง)มาหนึ่งคน เป็นคุณหมอผู้หญิง พูดภาษาอังกฤษได้ ตรงไปตรงมาและอัธยาศัยดี เป็นคลีนิคเฉพาะทาง (ที่นี่เค้าไปหาหมอกันตามคลีนิคเฉพาะทางแบบนี้แหละ ถึงเวลาคลอดค่อยไปทำคลอดที่โรงพยาบาล กับคุณหมอคนเดียวกัน) เราได้พบหมอครั้งแรกเพื่อฟังคำยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง แล้วความสุขก็ปริออกทางแก้มและพุงของเราสองคน ดูเหมือนรอยยิ้มจะควบคุมไม่อยู่กันเลยทีเดียว!!

จริงๆแล้ว ฉั้นนึกขอบคุณที่ฤกษ์งามยามดีไม่มาตั้งแต่เดือนแรกๆเพราะเราคงตกใจน่าดูเหมือนกัน อย่างน้อยการรอคอยก็ทำให้เราได้มีเวลาตั้งสติและตั้งตัวเตรียมพร้อมอยู่ซักพัก การรอคอยและผิดหวังทำให้เรารู้ว่า เค้ามีความสำคัญกับเราขนาดไหนและเราต้องการเค้ามากแค่ไหนด้วย 

เราจึงเรียกเค้าว่า สิ่งมหัศจรรย์ เพราะเค้าปรากฏตัวขึ้นในร่างกายของฉั้นตั้งแต่เรายังไม่สามารถมองเห็นเค้าได้ด้วยตาเปล่า ได้เห็นเค้าครั้งแรกผ่านเครื่องอัลตราซาวนด์ เค้าก็มีขนาดแค่เมล็ดงาเท่านั้นเอง ฉั้นยังไม่มีความรู้สึกหรืออาการอะไรใดๆนอกจากเหนื่อยอ่อนมากกว่าปกติในช่วงเดือนแรก พุงก็ไม่โต เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องจริงหรือหลอก แม้ร่างกายภายนอกจะไม่บ่งบอก แต่อาการบางอย่างก็เข้าสู่ไฟท์บังคับเมื่อก้าวเข้าสู่เดือนที่สอง ความสุขปนกับความทรมานเริ่มเกิด เมื่อฮอร์โมนบางอย่างในร่างกาย(hCG)เริ่มก่อตัวเพ่ิมขึ้นเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยเสริมสร้างให้สิ่งมหัศจรรย์สิ่งนั้นเริ่มเติบโตเปลี่ยนรูปร่าง จากเมล็ดงา กลายเป็นผลมะกอก ร่างกายต้องสร้างรก สร้างสายสะดือ เพื่อส่งต่ออาหารจากร่างกายฉั้น ไปสู่ร่างกายเค้า ในขณะที่เค้าก็ต้องเริ่มสร้างเซลล์ระบบประสาทสมองและไขสันหลัง และอวัยวะต่างๆให้ตัวเค้าเอง โดยต้องอาศัยสารอาหารทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ เหล็ก คาร์โบไฮเดรต ฯลฯ จากอาหารที่ฉั้นต้องบริโภคเข้าไป แต่ฉั้นกลับเริ่มกินอะไรไม่ได้เลยซะนี่ แค่เปิดตู้เย็นก็เหม็นอาหารจนอยากจะอ๊วก ตื่นมาก็หน้ามืดตาลาย วิงเวียน ต้องกลับไปนอนต่อซักพัก หัวใจต้องผลิตเลือดในปริมาณมากขึ้นจึงทำให้ฉั้นเหนื่อยมาก ออกกำลังกายก็ไม่ไหว หายใจก็ไม่ค่อยออกเหมือนออกซิเจนไม่พอ เลยอยากแต่จะนอนมันทั้งวี่ทั้งวัน กาแฟก็กินไม่ได้ ขม! อาหารก็ทำไม่ได้ เหม็น! (แม้แต่กลิ่นอาหารที่ลอยมาจากคอนโดห้องข้างๆยังเหม็นแทบจะทนไม่ไหว) กินได้แต่ผลไม้ เวลาหิวทีก็หิวจนจะเป็นลม ถึงเวลานอนก็นอนไม่ได้เพราะพะอืดพะอม ฉี่ก็บ่อยแถมหน้าอกก็เจ็บระบมไปหมด ฮอร์โมนอะไรเนี่ย...ทำพิษได้ขนาดนี้ ช่วงนี้หมอจะให้ฉั้นกินโฟเลทเสริมด้วย เพื่อช่วยเรื่องการสร้างเซลล์ต่างๆของลูก และเพื่อป้องกันโรค ป้องกันความผิดปกติ หรือความพิการของระบบประสาทสมองและไขสันหลัง จากเดือนแรกที่ว่าไม่มีอาการอะไรให้เห็นจนสงสัยว่า นี่ตรูท้องจริงหรือ?? แต่มาเดือนนี้ ทรมานจนน้ำตาเล็ด จนอยากบอกกับตัวเองว่า นี่ตรูเปลี่ยนใจทันมั้ย ฮือ ฮือ ฮือ!!  T_T

เข้าสู่เดือนที่สาม อาการเริ่มทุเลาลงทีละนิดๆในแต่ละสัปดาห์ เค้าว่าเพราะฮอร์โมนที่ว่ามันเริ่มลดปริมาณลง รกและสายสะดือ รวมทั้งอวัยวะต่างๆของลูกก็ถูกสร้างเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผ่านความทรมานช่วงสามเดือนแรกนี้ไปได้ก็เหลือเพียงรอลุ้นกับภาวะการเจริญเติบโตของเค้าเท่านั้น ซึ่งจะไม่ทรมาน(แต่คงจะอึดอัดกับพุงโตๆนั่นน่าดู!!) ฉั้นเริ่มกลับมากินอาหารได้ แม้จะยังไม่อยากอาหารอะไรเป็นพิเศษ กลับมาเข้าครัวอีกครั้ง ที่สำคัญเริ่มกระแด่ะน้อยลง เพราะเหม็นนู้นเหม็นนี่น้อยลง หรืออาการเห็นไอ้นู้นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่อยากกินได้กลิ่นแล้วจะอ๊วกนั้นก็น้อยลงไปด้วย ฉั้นเริ่มได้สัมผัสกับความสุขของการเป็นแม่เพิ่มขึ้นทีละนิด เพราะต้องเริ่มหาอะไรให้เค้ากินนับตั้งแต่บัดนี้ บางครั้งหิวจนทนไม่ไหว แต่กินยังไงก็ไม่รู้สึกอิ่มแต่ออกอาการแน่นและอยากจะอ๊วกแทน เพราะกินได้ทีละน้อยๆ กินไปแล้วซักพักก็เลยหิวอีกละ เป็นอย่างงี้ทั้งวัน หมอจึงแนะนำให้กินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 5-6 มื้อแทน แต่นั่นหมายถึงฉั้นก็ต้องฝืนกินให้บ่อยขึ้นทั้งที่ไม่อยากอาหารเลย กินจนเหนื่อยเลยว่างั้น(แถมไม่รู้สึกอร่อยอีกต่างหาก) ฉั้นเฝ้าลูบไล้และพยุงพุงน้อยๆของตัวเองตลอดเวลาเพราะรู้ว่าข้างในมีส่ิงมหัศจรรย์ที่กำลังรอการเจริญเติบโตซ่อนอยู่ เริ่มพาเค้าไปเดินเล่นออกกำลังกายวันละหน่อย เพื่ออย่างน้อยให้ได้สูดอากาศที่สดชื่น พยามกินอาหารดีๆ มีประโยชน์เท่าที่จะกินได้ เพราะอยากให้เค้าแข็งแรง อยากเห็นเค้าบ่อยขึ้นแม้จะเป็นการมองผ่านเครื่องอัลตร้าซาวนด์ ทุกครั้งที่หมอนัดก็จะดีใจทุกที อารมณ์อ่อนไหวแบบน้ำตาไหลพรากเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะเวลาดูหนังครอบครัวซึ้งๆ ไม่รู้เป็นอะไร

หมอบอกว่าช่วงนี้เปลี่ยนไปกินวิตามินรวมแทนโฟเลทได้แล้ว เพราะลูกสร้างอวัยวะเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้วและดูเค้าจะแข็งแรงดี หัวใจก็เต็นถี่เป็นจังหวะใช้ได้ แต่คุณแม่นี่สิ...ดูเหนื่อยอ่อน วิตามินรวมจะช่วยให้คุณแม่กระปรี้กระเปร่าขึ้น จะได้มีเรี่ยวแรงไปออกกำลังกายบ้าง หรือทำอะไรอย่างอื่นบ้าง (ที่ไม่ใช่นอนอืดทั้งวี่ทั้งวัน) ^^'

2 ความคิดเห็น:

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...