หลังจากไปเที่ยวฝรั่งเศสทริปนี้ อดหวนนึกถึงสมัยเรียนมัธยมไม่ได้ แม้จะนานมาาาาาากแล้วก็ตาม เด็กที่คำนวณไม่เอาอ่าว วิทยาศาสตร์ไม่เอาไหน สาขาศิลป์-ภาษา เลยถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มเรียนภาษาฝรั่งเศส จนเกิดความใฝ่ฝันว่าซักวันจะต้องไปเยือนประเทศนี้ให้ได้!! แม้ว่าจะเรียนไปงงไปตลอด 3 ปีจนต้องถามตัวเองอยู่ทุกวันนี้ว่า ตกลงเพราะมันยากหรือเพราะเราโง่กันแน่?? พอเรียนจบก็ดันรีบเก็บคืนอาจารย์ไปซะหมด เหลือไว้แต่เพียง ความรู้งูๆปลาๆ ให้สามารถทักทายเป็นภาษาฝรั่งเศสแบบง่ายๆได้ รู้มารยาทในการจิบไวน์มานิดหน่อย แล้วก็มีความจำเลอะเลือนเล็กน้อยเกี่ยวกับประวัติของ หอไอเฟล ประตูชัย ถนนช็องเซลิเซ่ แถมท้ายด้วยขนมเครปฝรั่งเศส และหลุยส์ วิตตอง...เกี่ยวมั้ย?
ฉั้นตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อรู้ว่าเราจะไปเที่ยวปารีสกัน เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าล่วงหน้าเป็นเดือน เพื่อมีเวลาคิดชุดที่สวย ใส่สบาย และถ่ายรูปขึ้น!! ทั้ง หอไอเฟลเอย ประตูชัยเอย ถนนช็องเซลิเซ่ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ มหาวิหาร นอร์ท-ดาม พระราชวังใหญ่ เล็ก แม่น้ำแซน ..... ทุกอย่างต่างอยู่ในแผนการเดินทางเรียบร้อย เหลือเพียงนับวันรอ......
จากเซา เปาโล, บราซิล ฉั้นกับคุณแฟบเดินทางไปลงที่สวิตเซอร์แลนด์เพราะจะถือโอกาสแวะเยี่ยมเพื่อนที่สวิตเซอร์แลนด์ด้วย แต่ก่อนแวะเยี่ยมเราก็ขอไปเที่ยวให้เพลิดเพลินก่อน เราจึงต่อเครื่องจาก Zurich Airport, Switzerland ไปยังฝรั่งเศสด้วยสายการบินประจำชาติฝรั่งเศส คือ 'Air France' ถึงท่าอากาศยานนานาชาติปารีส-ชาร์ล เดอโกล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสแล้ว(อืมม พูดซะเต็มยศเลย!!) เราต้องการสัมผัสบรรยากาศของการท่องเที่ยวจริงๆจึงตัดสินใจนั่งรถไฟเข้าเมือง ปารีส เพราะได้ยินว่าคนที่นี่ใช้รถไฟกันอย่างแพร่หลาย มีทั้งรถไฟวิ่งรอบเมืองและรถไฟเชื่อมกับประเทศต่างๆหลายประเทศในยุโรป และด้วยความหวังที่ว่าเผื่อจะได้เก็บบรรยากาศความสวยงามของประเทศฝรั่งเศสจากสองข้างทาง
ผู้คนเดินขวักไขว่ที่สถานีรถไฟซึ่งเชื่อมต่อกับ Airport เราเข้าคิวซักพักเพื่อซื้อตั๋วรถไฟไปลงสถานี St. Michel, Notre Dame หลังจากได้ตั๋วแล้วก็ไปรอที่ชานชาลาหน้าตาเก่าๆ รถไฟก็เก่าๆ เป็นรถไฟธรรมดา ไม่ใช่รถไฟฟ้าหรูหราทันสมัยแบบที่ฉั้นคิด(ไปเอง)หรือแบบที่เปรียบเทียบกับกรุงเทพฯบ้านเรา รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนหลังจากรอมาประมาณเกือบสิบนาที กระเป๋าใบใหญ่ๆของนักท่องเที่ยวแต่ละคนวางระเกะระกะข้างตัวของใครของมัน ดูแล้วก็ค่อนข้างกินที่อยู่ไม่น้อย รวมทั้งของเราสองคนที่ใบใหญ่เอาการอยู่ ผ่านไปสถานีแล้วสถานีเล่ามีแต่คนขึ้นไม่มีคนลง จึงเบียดเสียดยัดเยียดแน่นเอี๊ยดไปหมด ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นพวกคนผิวสีบ้าง บางคนก็พูดภาษาแปลกๆฟังไม่ถนัดบ้าง บางคนก็มองมาที่กระเป๋าเรา เหมือนแอบด่าเป็นนัยๆว่า 'มันกินที่!!' เราพยายามไม่สบตาเพราะแอบระอายใจ ข้างทางก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ลอดอุโมงค์แล้วอุโมงค์เล่า ด้วยความที่เป็นเวลา 5 โมงเย็น ช่วงเลิกงานพอดี คนจึงแน่นจนแทบไม่มีที่ยืน สุดท้าย...ก็มีเสียงใครบางคนตะโกนมาบอกกับเราและสาวเกาหลีข้างๆจนได้ว่ากระเป๋าพวกคุณน่ะ เอาขึ้นไปไว้ข้างบนชั้นวางได้มั้ย? รถมันแน่น!! โอ้โห...นึกในใจ กล้าพูดนะนั่น กระเป๋าใบก็ใหญ่ หนักๆก็หนัก จะให้ยกขึ้นไปยังไงไหว แต่ยังคิดไม่ทันเสร็จ คุณแฟบก็ประชดความแน่นเอี๊ยดด้วยการจัดการแบกกระเป๋าใบของฉั้นขึ้นไปวางบนชั้นวางอย่างรวดเร็ว อ้าวเฮ้ย...แล้วจะเอาลงไหวมั้ยนั่น ... ฉั้นตกใจ แต่ด้วยสายตาของแต่ละคนบนรถไฟที่แน่นขนัด ไม่พูดอะไร คงจะปลอดภัยกว่า! เราสองคนเริ่มกังวลเพราะไม่มีทีท่าว่ารถไฟจะว่างลงเลย ยังไม่ทันตั้งตัว หันมาอีกที ที่ว่างจากกระเป๋าของฉั้นก็ถูกแทนที่ด้วยคนตัวดำๆแต่งตัวประหลาดๆคนหนึ่ง ที่มาพร้อมลำโพงเล็กๆ 2 ตัวห้อยอยู่ข้างเอว และเสียงเพลงเร็กเก้ที่ดังลอยมาเผื่อแผ่ฉั้นและคนบนรถ แค่เสียงเพลงยังไม่เท่าไรแต่ท่าเต้นนี่สิ...มันรับไม่ไหว!! มาโยกประชิดหัวไหล่กันเลยทีเดียว!! ทันทีที่ถึงสถานีที่มีคนเริ่มทยอยลง ฉั้นกะคุณแฟบก็หันมาสบตากันหนึ่งแว้บบอย่างรวดเร็ว และเป็นที่รู้กันว่า ต้องป้ายนี้แล้วล่ะ ที่ต้องรีบลงเพราะไม่งั้นอาจไม่ได้ลงอีกเลย ว่าแล้วก็รีบแบกกระเป๋าใหญ่ๆสองใบของเราลงจากขบวนรถไฟทันทีด้วยเวลาตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที เฮ้ออ....ถอนหายใจหนึ่งเฮือก!! ทั้งที่ยังไม่ถึงที่หมาย ทำให้เราต้องเดินลากกระเป๋าต่อไปอีก เพื่อหาแท็กซี่แทน!! แต่เดินมาซักพัก นี่มันที่ไหนฟระเนี่ย หาแท็กซี่ก็ไม่เจอ เหงื่อเริ่มแตก ผู้คนก็เดินขวักไขว่ ข้าวของขายเต็มสองข้างทาง ตึกรามบ้านช่องก็ไม่สวย แถมมีทหารเดินถือปืนตรวจตราอยู่หลายนายอีกต่างหาก!! เฮ้ย นี่มัน ปารีส รึป่าวหรือสนามรบที่ไหน?? เริ่มงง!!
ในที่สุดก็เจอแท็กซี่ Mercedes Benz คันงาม!! (ไม่น่าเชื่อว่าในปารีส มีแท็กซี่ เบนซ์ คันโก้ ให้ได้โบกอยู่มากมายเป็นเรื่องปกติ)จากที่นั่น คือ Odeon หนึ่งป้ายก่อนถึงที่หมายของเรา คือ St. Michel, Notre Dame เราโบกแท็กซี่เพื่อนั่งต่อไปยัง Le Notre Dame Hotel โรงแรมที่เราจองไว้ พร้อมกับอาการถอนหายใจอย่างโล่งอกแรงๆหนึ่งเฮือก!!
มหาวิหาร นอร์ท-ดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris)
เมื่อเข้าสู่จุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ภาพปารีสเมืองในฝันจึงปรากฏขึ้น!! เป็นคนละเรื่องกับที่ผ่านมาเมื่อกี้เหมือนหนังคนละม้วน เพราะ เมืองปารีส เป็นเมืองมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจำนวนกว่า 30 ล้านคนต่อปี แค่รายได้จากการท่องเที่ยวหลายพันล้านยูโร มากเป็นอันดับ 3 ของโลกแล้ว ไม่แปลกที่ตึกรามบ้านช่องจึงต้องยังคงรูปแบบโครงสร้าง สถาปัตยกรรมแบบเดิมๆไว้ ไม่มีการสร้างตึกหน้าตาทันสมัยขึ้นมาเบียดบังความงามของตึกยุคโบราณ เพราะผู้คนที่มาท่องเที่ยวต่างก็มาเพื่อดูความสวยงามที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตกันทั้งนั้น ดังนั้น การเก็บรักษาอาคารบ้านเรือนด้วยการบูรณะซ่อมแซมจึงถือเป็นภาระกิจหลัก ไม่เว้นแม้แต่โรงแรมที่เราเข้าพักก็เป็นโครงสร้างกึ่งปูนกึ่งไม้ ที่ภายในอาคารยังคงเป็นโครงสร้างที่ทำด้วยไม้คาน พื้นยังคงดังเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อยเวลาเดิน ฝาผนังก็กั้นด้วยไม้ ยกเว้นห้องน้ำเล็กๆที่เป็นปูน กับลิฟท์เล็กๆที่มีไว้ให้พออำนวยความสะดวก แม้โรงแรมจะกั้นห้องอย่างประหยัดเนื้อที่มากๆแต่ราคาไม่ได้ประหยัดตาม เพราะทำเลที่อยู่ใกล้มหาวิหาร นอร์ท-ดาม ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่ง สนนราคาจึงตกอยู่คืนละประมาณ 187Euro (8,000++ บาท) ไม่รวมอาหารเช้ากันเลยทีเดียวเชียว
การท่องเที่ยวชมวิวทิวทัศน์รอบเมืองปารีส จะเดินก็ได้ นั่งเรือก็ดี หรือจะโดยสารรถบัสเปิดประทุน (คือเหมือนนั่งบนหลังคารถอ่ะ) ชมวิวรอบเมืองก็น่าสนใจ ส่วนเราเลือกเดินในวันแรก เพราะถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ก็เลยเดินกันไป... ตั้งแต่ มหาวิหาร นอร์ท-ดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris) เลียบแม่น้ำแซน (Seine River) ไปยังพิพิธภัณฑ์ออเซ (Musee d'Osey) ที่งดงาม เข้่าสู่ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musee du Louvre) อันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ ที่ภายในเก็บรักษาผลงานทางศิลปะระดับโลกมากมาย รวมทั้งภาพโมนาลิซ่าอันเลื่องชื่อ เดินไปเรื่อยจนเข้าสู่ถนนช็องเซลิเซ่ (Avenue des Champs-Élysées) ถนนช้อปปิ้งเลื่องชื่อที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวขจีปกคลุมให้ร่มเงาไปตลอดทาง บางจุดก็ตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ อากาศเย็นๆสบายๆทำให้เราและผู้คนอีกมากมายเดินเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งไปถึงร้านหลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) สาขาสำนักงานใหญ่ที่ลูกค้ามาเข้าคิวรอซื้อประหนึ่งว่ากระเป๋าแต่ละใบราคาถูกแสนถูก(โดยเฉพาะชาวเอเชีย) ฉั้นไม่ได้เสียสตางค์แต่อย่างใด แค่อยากดูให้เห็นกับตาว่าร้านจะใหญ่โตหรูหราขนาดไหน เห็นแล้วก้อ....หญ่ายโตเจงๆ!! และการเดินทางในจุดท่องเที่ยวหลักก็สุดที่ถนนช็องเซลิเซ่ตรงประตูชัยฝรั่งเศส(Arc de Triomphe Etoile) ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
จากนั้นเราเดินต่อไปอีกโดยข้ามถนนไปอีกสองสามเส้นย้อนกลับไปยังหอไอเฟล (Torre Eiffel) ชื่นชมความสูงเสียดฟ้าจนติดอันดับโลกกันเป็นที่เรียบร้อย ฝนก็ตกพอดี เราจึงต้องโดยสารแท็กซี่เพื่อไปช้อปปิ้งกันต่อที่ Galleries Lafayette ห้างชื่อดังของปารีส ซึ่งมีอยู่ถึงสองสาขาแล้ว ด้านในตกแต่งตระการตา และละลานตาไปด้วย สินค้า Brand Name ระดับ Hi-end ทุกแบรนด์ที่ถูกใจสาวๆยิ่งนัก เครื่องสำอางค์ เครื่องประดับ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า มีให้เลือกทุกยี่ห้อ(ที่แพงๆ)กันเลย Channel, Prada, Louis Vuitton, Gucci, Fendi, Balenciaga, Lancome, Estee Lauder, Clinique โอ้วว อีกมากมาย สำหรับผู้ชายก็ใช่ย่อย ถึงขั้นต้องแยกไปอีกตึกหนึ่งเป็นแผนกผู้ชายโดยเฉพาะ บนชั้นดาดฟ้าของห้างยังเป็นจุดชมวิวเมืองปารีสที่มองไปเห็นหอไอเฟลตั้งเด่นเป็นสง่าในระยะไกลด้วย ความงามและความอลังการของนครปารีสทำให้ลืมไปเลยว่า หลังจากเดินมาทั้งวันจนลากขาต่อไปไม่ไหวแล้ว มารู้ตัวอีกทีก็ขอเรียกแท็กซี่จาก Galleries Lafayette กลับโรงแรม....กินมื้อเย็น อาบน้ำอาบท่า แล้วก็เข้านอน หลับเป็นตาย!!
Seine River (แม่น้ำแซน) |
Musee d'Osey (พิพิธภัณฑ์ ออเซ) |
เมื่อเที่ยวสถานที่หลักๆไปในวันแรกแล้ว วันที่สองก็เลยเริ่มสำรวจที่อื่นๆต่อ เช่น Place de L'Opera หรือโอเปร่าฮอลล์ ซึ่งเราก็เดินผ่านเส้นเดิมที่เดินไปเมื่อวาน(ยังไม่เข็ด) เริ่มเดินเลียบแม่น้ำแซน วันนี้ผ่านด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเริ่มขาลากอีกรอบ ก็จะเจอ Galleries Lafayette อีกครั้ง แต่วันนี้ไม่ช้อปปิ้ง เพราะเราเข้าไปเยี่ยมชม Place de L'Opera ซึ่งเป็นโอเปร่าฮอลล์สุดหรูอลังการอยู่ไม่ห่างจากกัน เป็นที่ที่ยังมีการแสดงโอเปร่าอยู่เป็นประจำ วันนี้แม้เราเดินไม่ไหวแต่ก็อดชื่นชมศิลปะความงามภายในที่ตกแต่งอย่างงดงามตระการตาไม่ได้ ถ่ายรูปจนหนำใจ เสร็จแล้วก็แวะเดินเล่นและกินมื้อเที่ยงกันบริเวณถนนใกล้เคียงเป็นแหล่งช้อปปิ้งชั้นดีที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้าน Cosmetic อย่าง Sephora ที่ขายเครื่องสำอางค์ทุกอย่าง ทุกแบรนด์, ร้านเสื้อผ้าแบรนด์สวยๆพอจับจ่ายไหวอย่าง H&M, Zara ฯลฯ, ร้านร้องเท้า กระเป๋า และอื่นๆอีกเพียบ จากนั้นเราก็กลับโรงแรม เพื่อไปกินมื้อเย็นแถวซอยด้านหลังโรงแรมเรา ที่หน้าตาชวนให้นึกถึง ถนนข้าวสาร เสียนี่กระไร วันนี้กินขนมเครปฝรั่งเศสด้วย (ของแท้ต้องขายข้างทาง) อิ่มแล้วก็อาบน้ำเข้านอน สบายใจ........
Place de L'Opera
ยังมีอีกหลายที่ที่เราแวะไปในวันต่อมา สวนสวย Jardin du Luxembourg สวยสุดๆสวยจนต้องตะลึงงัน เดินจาก Notre Dame ไม่ไกล เข้าไปเดินเล่นนั่งเล่น ถ่ายรูปเล่นอย่างเมามัน สาแก่ใจแล้ว วันนี้เราจะนั่งเรือเยี่ยมชมพระราชวังดีกว่า จากท่าเรือใกล้ๆ มีเรือประเภทเรือโดยสารที่ซื้อตั๋วเหมาจ่ายรายวัน(Batobus) ประมาณ 18 Euro(800++บาท) เรือจะแล่นเลียบแม่น้ำแซนเพื่อจอดตามสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆต่างๆ เมื่อมีตั๋วแล้ว ผู้โดยสารจะขึ้นหรือลงที่ท่าเรือไหนก็ได้้ตามใจ เรานั่งไปลงท่าเรือใกล้ ถนนช็องเซลิเซ่ เดินดู Grand Palais และ Petit Palais พระราชวังใหญ่และเล็กที่อยู่ตรงข้ามกัน มีรูปปั้นบุคคลสำคัญหลายคน เช่น Winston Churchill, Charles de Gaulle ... แล้วก็เดินไปตามถนน ช็องเซลีเซ่ กันอีกรอบ ถ่ายรูปเล่น แวะจิบกาแฟ ช้อปปิ้งอีกเล็กน้อย แล้วก็นั่งเรือกลับโรงแรม
Jardin du Luxembourg
หนุกหนานประมาณนี้ และแล้วก็ถึงเวลากลับ เช้าของวันสุดท้าย แม้จะยังผวากับรถไฟขามา แต่เพราะค่าแท็กซี่ไปถึงแอร์พอร์ตกว่า 60 Euro(<3,000 บาท) เมื่อเทียบกับค่ารถไฟแล้ว เรายอมลำบากดีกว่า! หลังจากเช็คว่าต้องขึ้นรถไฟสายสีอะไรเพื่อตรงไปยังสนามบินเรียบร้อยแล้ว กินอาหารเช้ารองท้องกันแล้ว เราก็ Check out และแบกกระเป๋าถูลู่ถูกังไปยังสถานีรถไฟ St. Michel ทันทีเพื่อขึ้นรถไฟสายสีฟ้า โชคดีที่วันนั้นเป็นเช้าวันเสาร์ เราจึงไปกันแบบสบายๆคนไม่แน่นมาก แม้ว่าจะเป็นวันหยุดของประเทศฝรั่งเศสพอดี ที่ผู้คนต่างก็ออกเดินทางไปพักผ่อนเช่นกัน
ถึงสนามบินตรงเวลา เราเตรียมตัวเช็คอินเพื่อบินไปยัง Geneva, Switzerland เพื่อเยี่ยมเพื่อนเรา แต่ อ้าว...ทำไมเที่ยวบินเราถูก Cancel!!! เป็นไปได้หรือนี่ เที่ยวบินที่เราจองไว้ นักบิน นัดกันหยุดงาน "นักบิน Strike" เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น!! ผู้โดยสารรอเก้อ ค้างเติ่งเต็มเคาน์เตอร์เช็คอิน รวมทั้งเรา ซักพักใหญ่ๆเราได้เช็คอินเพื่อเดินทางในเที่ยวบินถัดไปตอน 5 โมงเย็นแทน เออ..ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ไป เราเข้าไปนั่งรอหน้า Gate อย่างใจจดใจจ่อ รอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็ 4 โมงเย็น แทนที่ Gate จะเปิด กลับมีประกาศ Cancel เที่ยวบินของเราอีกรอบ!!! เฮ้ย..ทำไมเพิ่งมาบอก ปล่อยให้รอตั้งหลายชั่วโมง เราเดินไปสอบถามหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่แทนที่จะได้คำตอบ พนง.หญิงชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง กลับแสดงอาการหงุดหงิดแถมออกอาการชี้นิ้วใส่หน้าเรา เพื่อไล่ให้เราและผู้โดยสารคนอื่นๆอีกหลายคนไปติดต่อเคาน์เตอร์ Air France ด้านนอกเอาเอง!!!
ฉุนขาด นอกจากโชคไม่เข้าข้างเรื่องเที่ยวบินแล้ว ยังมาเจอบริการไม่เอาไหนของคนฝรั่งเศสอีก หน้าเคาน์เตอร์ Air France ด้านนอก ยังคงเนืองแน่นไปด้วยผู้โดยสารจำนวนมาก ที่เที่ยวบินดีเลย์บ้าง ถูกยกเลิกบ้างต่อแถวกันยาวเหยียด เราเปลี่ยนใจ...จะนั่งรถไฟไปแทน จึงไปขอกระเป๋า 2 ใบของเราคืน...... เราต้องไปต่อแถวที่หน้าห้อง Luggage Claim แต่ด้วยความวุ่นวายสับสนอลหม่านทำให้เจ้าหน้าที่สายการบินหากระเป๋าของเราเจอเพียงแค่ใบเดียว เออ...ความซวยบังเกิด!! ผู้โดยสารหลายคนยืนอออยู่เต็มทั้งหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ลามไปยังเคาน์เตอร์เซอร์วิสชั้นล่าง และลามไปยังห้อง Luggage Claim ของ Air France แต่ละจุดเต็มไปด้วยผู้โดยสารเข้าคิวรอ เรื่องทั้งหมดต้องโทษความเห็นแก่ตัวของ นักบิน แต่เพียงผู้เดียว ที่ทำให้ทุกคนต้องรับกรรม เหมือนไม่เคยเตรียมการมาก่อนทั้งที่ได้ยินว่าคนฝรั่งเศสไม่พอใจอะไร เอะอะก็นัดกันหยุดงาน ให้ได้เดือดร้อนชาวบ้านชาวช่องไปทั่วเป็นประจำ แต่เจ้าหน้าที่ของสายการบินกลับไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์ยังไง รับมือกับอารมณ์โกรธของผู้โดยสารก็ไม่ไหว จนสุดท้ายทางสายการบินต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการแจกคูปองอาหาร และหาที่พักให้ผู้โดยสารที่ตกค้างอยู่หลายสิบคน
เราวิ่งวุ่นเรื่องหากระเป๋าจนเหนื่อยแต่ก็ยังไม่เจอ จึงต้องรับเอาคูปองอาหารอย่างจำใจ เดินคอตกไปซื้อแซนด์วิชกิน แซนด์วิชก็แข็งโป้ก...อุ่นให้หน่อยก็ไม่ได้! ฝืนกินอย่างฝืดคอ จนเสร็จก็เดินไปนั่งรอรถบัสที่สายการบินบอกว่าจะจัดเตรียมมารับไปนอนที่โรงแรม(ไหนก็ไม่รู้)ตอน 5 ทุ่ม ง่วงก็ง่วง หนาวก็หนาว เหนื่อยก็เหนื่อย ในที่สุดรถก็มารับหน้า Terminal แต่.....ขึ้นไม่ได้เพราะรถเต็ม!! เออ..ซวยได้อีก!!
เมื่อไปไม่ได้ เราก็เริ่มโวยวายแบบไม่ยั้งอารมณ์ เพราะเบื่อกับท่าทีไม่แยแสของพนง.สายการบิน ความเห็นแก่ตัวของนักบิน และโชคชะตาของเราเอง ไม่ใช่แค่เราที่โวยวายยังมีผู้โดยสารอีกหลายคนที่ไม่ได้ขึ้นรถเหมือนเรา และแล้วคืนนั้นเราก็ต้องนอนที่ Airport เสียค่าโรงแรงอีกแพงโขอยู่ เพราะไม่มีทางเลือก เราเข้านอนอย่างซึมกระทือ ดมกลิ่นบุหรี่ในห้อง Smoky Room ทั้งคืน เพราะนั่นเป็นห้องสุดท้ายที่โรงแรมเหลือในคืนนั่นจริงๆ!!
ตื่นเช้ามา กินอาหารเช้าเสร็จ คุณแฟบนั่งคอตก เพราะหมดหวังกับการค้นหากระเป๋า แต่ฉั้นยังไม่ยอมแพ้ เพราะเมื่อเจอหนึ่งใบแล้ว อีกใบหนึ่งก็ต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งในแอร์พอร์ตนั่นแหละ เรารวบรวมสติเดินกลับไปที่ห้อง Luggage Claim อีกครั้ง เล่าให้พนง.รอบเช้าฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เช้าวันนี้ไม่วุ่นวายเหมือนเมื่อคืนวาน เจ้าหน้าที่จึงมีเวลาใส่ใจเรามากขึ้น สอบถามและค้นหาข้อมูลกันไปมาซักพักใหญ่ สุดท้ายก็พบว่ามีกระเป๋าหลงอยู่ด้านในหนึ่งใบ จะส่งมาให้ดูว่าใช่หรือไม่ เราเดินไปรออย่างใจจดใจใจจ่อที่สายพานเบอร์ 21 และแล้ว........พระเจ้าช่วยกล้วยทอด มันเป็นของเราจริงๆ!!! แล้วมันหายไปได้ไง พอก้มดูที่ Name Tag จึงรู้ว่ามันไม่ใช่ชื่อเรา แม่เจ้า...เจ้าหน้าที่ Check in ติด Name Tag เป็นชื่อใครก็ไม่รู้ มิน่าคอมพิวเตอร์มันถึงค้นหาชื่อเราไม่เจอ ฮืมมม...มันน่านัก!!
เราแทบหมดแรงจากอารมณ์ขุ่นเคืองใจทั้งหมด แต่เมื่อเจอกระเป๋าแล้วเราก็รวบรวมสติกลับมาใหม่เพื่อเดินทางต่อด้วยรถไฟแทนโดยสายการบินชดใช้ค่าตั๋วรถไฟให้แทนค่าตั๋วเครื่องบินที่พวกเราจ่ายไป เราบอกกับตัวเองว่าพอกันที่สายการบินนานาชาติฝรั่งเศส Air France ที่เคยแม้กระทั่ง บินตกในมหาสมุทรแอตแลนติกเหตุเพราะนักบินไม่ประจำที่อยู่ในห้องคนขับขณะที่เครื่องบินฝ่ามรสุมทางอากาศ คร่าชีวิตผู้โดยสาร 228 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวบราซิลเลี่ยนเกือบทั้งลำ!! ทริป ปารีส ของเราและความประทับใจในความสวยงามและผู้คน เกือบพังไม่เป็นท่า
ตลอดทางฉั้นจึงคิดถึงคำพูดของอดีตหัวหน้าที่ปัจจุบันกลายเป็นรุ่นพี่ที่เคารพนับถือ เคยสอนไว้ตอนสมัยทำงานอยู่ฝ่ายขายว่า "Reality is not reality, perception is reality!!" จริงหรือไม่ ที่ความจริงมันไม่ใช่ความจริงหรอก ภาพที่ถูกสร้างขึ้นต่างหากคือความจริง ....นั่นสิ ถ้าบอกว่าคนเรามักเชื่อกับภาพที่เห็น ว่ามันคือความจริง โดยเฉพาะภาพที่สวยงาม ตราตรึง ชวนให้เชื่อและมีผลกับความรู้สึกประทับใจ แต่ในความเป็นจริง จริงๆล่ะ ในมุมที่เราไม่มีโอกาสได้เห็น มุมที่เราไม่มีโอกาสได้รับรู้ มุมที่มันไม่สวยงาม ไม่น่าประทับใจ มุมที่เราบังเอิญผ่านมาเจอ เราจะผิดหวังกับมันหรือจะยังคงตราตรึงกับภาพประทับใจแรก นครแห่งประวัติศาสตร์อย่าง ปารีส ก็เช่นกัน เมืองอันสวยงาม ที่แท้จริงแล้ว ฝรั่งเศส สร้างให้มันเป็นเมืองที่สวยงาม ให้ผู้คนแสนดี ให้สินค้ามีชื่อเสียงมีระดับราคาแพง แต่มันคือความงามเนื้อแท้ หรือมันเป็นเพียงภาพที่ถูกสร้างขึ้นให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมทั้งเราเอง หลงเชื่อกันแน่??
ตลอดทางฉั้นจึงคิดถึงคำพูดของอดีตหัวหน้าที่ปัจจุบันกลายเป็นรุ่นพี่ที่เคารพนับถือ เคยสอนไว้ตอนสมัยทำงานอยู่ฝ่ายขายว่า "Reality is not reality, perception is reality!!" จริงหรือไม่ ที่ความจริงมันไม่ใช่ความจริงหรอก ภาพที่ถูกสร้างขึ้นต่างหากคือความจริง ....นั่นสิ ถ้าบอกว่าคนเรามักเชื่อกับภาพที่เห็น ว่ามันคือความจริง โดยเฉพาะภาพที่สวยงาม ตราตรึง ชวนให้เชื่อและมีผลกับความรู้สึกประทับใจ แต่ในความเป็นจริง จริงๆล่ะ ในมุมที่เราไม่มีโอกาสได้เห็น มุมที่เราไม่มีโอกาสได้รับรู้ มุมที่มันไม่สวยงาม ไม่น่าประทับใจ มุมที่เราบังเอิญผ่านมาเจอ เราจะผิดหวังกับมันหรือจะยังคงตราตรึงกับภาพประทับใจแรก นครแห่งประวัติศาสตร์อย่าง ปารีส ก็เช่นกัน เมืองอันสวยงาม ที่แท้จริงแล้ว ฝรั่งเศส สร้างให้มันเป็นเมืองที่สวยงาม ให้ผู้คนแสนดี ให้สินค้ามีชื่อเสียงมีระดับราคาแพง แต่มันคือความงามเนื้อแท้ หรือมันเป็นเพียงภาพที่ถูกสร้างขึ้นให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมทั้งเราเอง หลงเชื่อกันแน่??