Pages

วันจันทร์, มกราคม 02, 2555

ชีวิตหลังแต่ง....

ฉั้นว่าสาวๆเกือบทุกคนคงเคยแอบมีความฝันถึงการแต่งงานอยู่บ้างนะ พวกภาพงานแต่งงานหรูๆ ชุดเจ้าสาวอู้ฟู่ที่สาวๆหลายคนคิดว่าตัวเองต้องสวยที่สุดในวันนั้นล่ะ ถือช่อบูเก้งามๆ เค้กแต่งงาน แขกเหรื่อ ภาพถ่าย ไม่ก็เข้าโบสถ์ กล่่าวคำสาบาน สวมแหวน แล้วก็จูจุ๊บกัน อะไรประมาณนั้น อ้อ..แล้วก็เจ้าบ่าว(หล่อๆ)ด้วย อย่าลืม! แต่งงานเสร็จ ก็ไปฮันนีมูนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ จากนั้นก็มีลูกน้อยน่ารักเป็นสักขีพยาน แล้วหนังก็จบแบบ Happy ending! ฉั้นเอง แหม่..ไม่อยากโกหกตัวเองว่าไม่เคย มันก็มีแอบฝันอยู่บ้างเหมือนกัน แค่ไม่ได้จินตนาการอะไรที่เริ่ดหรู ว่างานต้องใหญ่โต ชุดเจ้าสาวต้องสวยเริ่ดที่สุดในชีวิต หรืออะไรที่มันอลังการดาวล้านดวง ของแบบนี้เอาแบบสมฐานะและตามความสะดวกจะดีกว่า งานแต่่งงานฉั้นก็เลยสนุก อบอุ่น น่ารัก และเรียบง่ายสมใจ แหม...แค่มีผู้ชายดีๆซักคนมาขอแต่งงาน พ่อแม่ก็ตื้นตันจนบอกไม่ถูก ส่วนฉั้นก็หัวใจพองโตจนยิ้มแก้วปริแล้วปริอีกอยู่ละ  

แต่ชีวิตหลังแต่งงานนี่สิ ไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหน ทำให้เราได้รู้รสชาติของชีวิตหลังแต่งซักเท่าไร คนดูเลยดูแบบไม่ประติดประต่อว่าความเดิมตอนที่แล้วที่ happy ending นั่นอ่ะ มันยังไงต่อ คนก็เลยยังคงจินตการว่าชีวิตหลังแต่งงานมันก็ต้องสวยหรูเหมือนกัน จนกระทั่งเจอของจริงด้วยตัวเองนั่นแหละ ฉั้นเอง...ก็ไม่อยากโกหกอีกแหละ แม้ไม่เคยคิดยอมแพ้ต่ออุปสรรคแต่ก็ไม่เคยได้คิดเผื่อไว้ว่าชีวิตหลังแต่งงานแล้วจะต้องเจออะไรบ้าง ก็เลยฝันอยากให้มันเรียบง่ายและมีความสุขแบบ Happy ending ภาคต่อ...

แต่เอาเข้าจริง พอต้องโยกย้ายจากเมืองไทยมาอยู่ที่บราซิล ชีวิตหลังแต่งของจริงเลยบังเกิด บทบาทการเป็นภรรยา รสชาติมันเป็นอย่างงี้นี่เอง สัมผัสความโดดเดี่ยวเดียวดายของจริง อยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ที่ที่ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ ที่ที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีงาน และที่สำคัญไม่มีเงิน(เดือน)ที่หาได้ด้วยตัวเอง วันๆนั่งเฝ้ารอสามีเลิกงานกลับบ้าน รอเตรียมทำอาหารเย็น ดูแลบ้าน ดูแลเสื้อผ้าที่หลับที่นอน เสาร์อาทิตย์์ก็อยู่บ้าน ทำอาหารกินกันแล้วก็เก็บกวาดเช็ดถูเล็กน้อย (โชคดีที่ไม่ต้องทำงานบ้านเองนะ จ้างเค้าดีกว่า!) ว่างๆก็วางแผนเดินทางท่องเที่ยวกันบ้างค่อยยังชั่วหน่อย แต่...ไม่มีอีกแล้วปาร์ตี้คืนวันศุกร์กับเพื่อนฝูง(เพราะไม่มีเพื่อน!) ลืมไปได้เลย ความสนุกจนไม่ยอมปล่อยไมค์ให้ใครในห้องคาราโอเกะ และอารมณ์ความตื่นเต้นเวลาได้นัดเจอกันร้านเดิม เวลาเดิม แล้วก็ไปต่อที่เดิม ไม่มีอาการใจจดใจจ่อรอรับเงินเดือนในช่วงสิ้นเดือนอีกต่อไป... ช่วงแรกๆของการเริ่มต้นบทบาทใหม่ ตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว เสมือนจะเตรียมตัวไปทำงานอยู่ทุกวัน แต่กลายเป็นเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้สามี เสร็จก็เก็บที่หลับที่นอน แล้วก้อ....... ว่าง! เฮ้ย...นี่มันจริงไปรึป่าว ชักจะเริ่มเซ็งๆเหมือนกัน! พอเริ่มว่างมากๆเข้าก็เลยลองหางานทำ เปิดเว็บไซต์ Search หางานในเซาเปาโล, บราซิล ป๊าาาาด.... มีแต่ภาษาโปรตุเกส อ่านไม่ออก พูดก็พูดไม่เป็น แล้วใคร บริษัทไหนเค้าจะรับล่ะเนี่ย เรียนจบด้านภาษาอังกฤษ แต่ดันทำงานด้าน เทเลคอมฯ มาตลอดเกือบสิบปี อืมม...แล้วจะไปต่อยังไงดี! อยู่ไปซักพัก เหงาเน๊อะ เศร้าด้วย แต่ทำไงได้ เมื่อนามสกุลเปลี่ยน สถานภาพเปลี่ยน ทัศนคติก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เพราะชีวิตการแต่งงานมันกลายเป็นโลกของคนสองคนไปแล้ว ไม่ใช่แค่ของใครคนใดคนหนึ่ง ที่เราจะสามารถตัดสินใจเองได้ว่า เบื่อละ กลับบ้านไปหาแม่ดีกว่า หรือเหงาเน๊อะ บินกลับเมืองไทยไปหาเพื่อนดีกว่า หรือไม่อดทนละ เพราะวันนี้รู้สึกเศร้า เราไม่สามารถตัดสินใจโดยนึกถึงตัวเองเป็นหลักได้อีกต่อไป

ดังนั้น จากคนที่มีโลกส่วนตัวสูง บัดนี้..... 
อะไรที่เคยเป็น "ของฉั้น" และ "ของเธอ" ก็ต้องกลายเป็น "ของเรา" 
เงินที่เคยเป็น 'เงินฉั้น' และ 'เงินเธอ' ตอนนี้ก็มีแต่ 'เงินเรา'
ชีวิตที่เคยมีแต่ 'ครอบครัวฉั้น' และ 'ครอบครัวเธอ' ก็ต้องมองให้เห็นภาพ 'ครอบครัวเรา'
เมื่อก่อนเคยมี 'เพื่อนฉั้น' กะ 'เพื่อนเธอ' ตอนนี้ก็ 'เพื่อนเรา'
ความเห็นที่เคยเป็นของฉั้น และของเธอ ตอนนี้ก็ 'ความคิดเห็นของเรา'
โลกส่วนตัวของฉั้น และโลกส่วนตัวของเธอ ตอนนี้ก็ 'โลกของเรา'
แม้แต่ สรรพนาม ที่เคยเป็น 'ฉั้น' และ 'เธอ' ก็ต้องพูดให้ติดปากว่า 'เรา' 

จากที่ต่างคนต่างทำงาน ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น สามีทำงาน และภรรยาคอยเป็นกำลังใจ
จากเงินของตัวเอง ที่ใช้เท่าไรก็ใช้ไป บัดนี้ ก็ต้องเห็นใจคนหาเงิน และมองอนาคตไปด้วยกัน มองให้เห็นภาพอนาคตเป็นภาพเดียวกัน
ครอบครัวสามีที่เราไม่เคยใกล้ชิดมาก่อน ก็ต้องไปมาหาสู่ และเริ่มทำความรู้จักและทำความเข้าใจ
และแม้แต่ไม่เคยคิดอยากมีลูก เมื่อแต่งงานแล้ว ความคิดกลับเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ

ตอนนี้ล่ะที่มันเริ่มรู้รสชาติอย่างแท้จริง ฉั้นตระหนักแล้วว่า การแต่งงาน มันไม่ใช่เรื่องของงานเลี้ยงรื่นเริงที่ว่านั่น ไม่ใช่แค่ชุดเจ้าสาวอู้ฟู่ ไม่ใช่แค่ตัดเค้กและโยนช่อบูเก้ ไม่ใช่เรื่องของแขกเหรื่อที่มาเป็นสักขีพยาน ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม แต่มันคือ "งาน" คือ โลกใหม่ ชีวิตใหม่ บทบาทและหน้าที่รับผิดชอบใหม่ ต้องดูแลชีวิตและทรัพย์สิน สุขภาพ และความรู้สึกของคนที่เราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วย

โดยเฉพาะเมื่อภาษา วัฒนธรรม และสังคมของเราสองคนแตกต่างกันมาแต่กำเนิด ความโชคดีอยู่ตรงที่ ฉั้นเกิดเป็นคนไทยและเติบโตมากับสังคมและวัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่สอนให้เราเป็นคนยิ้มแย้ม อ่อนน้อม เคารพนบนอบ ห่วงใย ใส่ใจ และมีน้ำใจคอยช่วยเหลือคนอื่น สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มีวัฒนธรรมไทยคอยสอน การใช้ชีวิตคู่ที่นี่คงยากเย็นขึ้นอีกไม่ใช่น้อย เพราะครอบครัวสามี แตกต่างอย่างสิ้นเชิง การได้ถูกบ่มเพาะมาแบบนี้ถือได้ว่าช่วยชีวิตได้มาก เมื่อเราโยกย้ายกลับมาบ้านเกิดของแฟบแล้ว ฉั้นก็ต้องรับภาระหนักในการพยามเรียนรู้ให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปในโลกของครอบครัวแบบบราซิลเลี่ยนแท้ๆ ว่าเค้ามีความเป็นมาอย่างไร เติบโตมายังไง ได้รับการดูแลมาแบบไหน สัมพันธภาพกับสมาชิกในครอบครัวเป็นยัังไงมาก่อน เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยรับรู้ชัดเจนจนกระทั่งได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง เมื่อเรียนรู้แล้ว สิ่งสำคัญคือ ทำยังไงเราจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างพื้นที่ส่วนตัวของเรากับครอบครัวของเค้าให้ลงตัวได้ มันจึงไม่ง่ายเลย ที่ช่วงแรกๆทุกคนต่างต้องพยามทำกิจกรรมหลายๆอย่างร่วมกัน โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดบ้าง เพราะก็เรื่องภาษาอีกแหละ ในขณะที่พวกเค้าก็พูดคุยกันไป...เราก็นั่งเหวอ ฟังไม่ออกอยู่คนเดียว และเป็นธรรมดามากที่คนบราซิลเลี่ยนจะขี้เกียจพูดภาษาอังกฤษทั้งที่บางคนก็พูดได้ สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวอาจมีการแสดงออกต่อเราไม่เหมือนกัน บางครั้งก็เดาทางออก แต่กับบางคนก็เดาความหมายลำบาก ไม่ง่ายเลยที่ต้องรับมือกับทุกคนให้ได้อย่างไม่ตื่นตูม แต่เพื่อป้องกันปัญหา In-Law War ที่ได้ยินคำเล่าลือมาต่างๆนานาในซีกโลกฝั่งนี้ (ฟังดูแล้วน่ากลัว) ฉั้นก็ได้แต่พยามทำทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด หรือเรียกว่า เนียนๆไปนั่นแหละ

บางครั้งถึงขั้นถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า
จำเป็นมั้ย ที่ต้องเข้ากับครอบครัวสามีให้ได้ และจะต้องเข้ากันได้ถึงระดับไหน?
จำเป็นมั้ย ที่เราต้องดูแลครอบครัวสามีด้วยตามหน้าที่ของภรรยา? เช่น ต้องไปเดินหาซื้อของขวัญวันเกิด ให้พ่อแม่ พี่น้อง และหลานๆ และต้องร่วมงานวันเกิด ไหนจะงานสังสรรค์ของครอบครัวอีก เช่น วันคริสมาสต์(ทั้งที่เป็นคนพุทธแต่กำเนิด)แต่ก็ต้องไปช่วยกันเดินซื้อหาของขวัญให้แต่ละคนทั้งที่ฉั้นเองก็ไม่ค่อยจะรู้จักมักจี่ ไหนจะวันปีใหม่ วันเกิดเราสองคน(ที่ดันเกิดใกล้กัน) หรือแม้กระทั่งวันเกิดอยากจะกินอีกต่างหาก! จะว่าไปแล้วมันก็น่ารักดีนะ เพียงแต่มันค่อนข้างจะขัดกับความรู้สึกฉั้นอยู่ซักหน่อย เพราะอาจเป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่นี่หรือวัฒนธรรมภายในครอบครัวก็ไม่รู้ ที่พวกเค้าไม่ค่อยสนิทใจในการพูดคุยหรือเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้กันและกันฟัง ต่างคนก็ต่างอยู่ เมื่อต้องมารวมตัวกันมันเลยดูเหมือนทำไปตามมารยาทซะมากกว่า
ยังไม่หมด และไหนเพื่อนเค้า หัวหน้าเค้า หรือเพื่อนร่วมงานของเค้าอีก จำเป็นมั้ยที่เราต้องเข้าไปมีบทบาท?

คำถามเหล่านี้มาถึงตอนนี้ แม้จะไม่เคยฝันหวานกับการแต่งงานว่าต้องโรยด้วยกลีบกุหลาบ ก็ยังอุตส่าห์มีหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งและอดทน โชคดีที่ภูมิคุ้มกันที่มีในตัวอยู่ในขั้นดีใช้ได้ หลังจากใช้เวลามา 1 ปีเต็ม เราทุกคนก็ต่างรู้จักกันมากขึ้นอีกระดับ และฉั้นก็เรียนรู้และเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตัวเองมากขึ้นด้วย สิ่งสำคัญ มันอยู่ที่ตัวเรานี่แหละ ถามตัวเองบ่อยๆว่าเรายังมีความสุขอยู่มั้ย แล้วก็ปฏิบัติตัวต่อทุกคนแบบที่เราอยากให้เค้าปฏิบัติต่อเรา สื่อสารกับสามีให้เข้าใจถึงขอบเขตและข้อจำกัดของเรา ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง การอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องเห็นใจ เข้าใจ และเป็นกำลังใจให้กันและกัน เค้าปรับบ้างเราปรับบ้าง ผลัดกันไป ต่างต้องเข้าใจว่า เมื่อแต่งงานแล้วชีวิตคู่ของเราต้องมาเป็นอันดับหนึ่งไม่ว่าความเป็นมาในครอบครัวเค้าและเราจะเป็นอย่างไรมาก่อน ความเคารพรักและการให้เกียรติ ต้องแสดงออกให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา

แม้นี่จะไม่ใช่ Happy ending ภาคต่อ แต่ชีวิตก็งี้แหละ ยังคงมีอีกหลายภาค ก็ต้องค่อยๆเรียนรู้กันไป อย่างอดทนและเข้าใจ เดี๋ยวความสุขก็ตามมาเอง....

16 ความคิดเห็น:

  1. ได้ความรู้สึกหัวอกเดียวกันนะค่ะ อีกไม่นานจะย้ายไปอยู่เซาดปาโล ขอทำความีู้จักด้วยค่ะ :-)

    ตอบลบ
  2. ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ที่นี่มีคนไทยอยู่หลายคนค่ะ ไม่ต้องห่วง มาแล้วค่อยๆทำความรู้จักกันไปนะ :)

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะ ดีใจจัง เข้ามาหาข้อมูลเตรียมตัว เผลออ่านโน้นนี่สนุกเชียว ขอแวะมาเรื่อยๆ นะค่ะ

    มีข้อสงสัย เครื่องใช้ไฟฟ้า 220 v คอนโดในเมืองนี้ใช้ระบบอะไรกันส่วนใหญ่ค่ะ สองจิตสองใจ จะเอาเครื่องไฟฟ้าไปดี หรือไม่เอาไปดี เพราะเท่าที่ทราบ จะแพงมากกก แถมมีเขียนทั้ง 110 และะ 220 มึนโฮ หรือจะฮาดียังไม่รู้ ขอคำแนะนำเพิ่มนะค่ะ

    ตอบลบ
  4. เอาเป็นว่าที่เมืองไทยใช้ไฟ 220v ส่วนที่นี่ใช้ 110v ค่ะ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เขียนว่า 110v/220v คือพวกที่เอาไปที่อื่นแล้วสามารถหมุนหรือปรับให้ใช้กำลังไฟที่ 110v หรือ 220v ก็ได้ ก็เอามาใช้ที่นี่ได้ค่ะ แต่ถ้าพวกที่ปรับไม่ได้เอามาที่นี่ก็จะอ่อนกำลังลงครึ่งหนึ่ง เช่น หม้อหุงข้าว อาจใช้เวลาหุงนานอีกเท่านึง หรือหลอดไฟก็จะแสงหรี่ๆกว่าที่เคยใช้ ไดร์เป่าผมลมอาจไม่แรงเหมือนเคย อะไรอย่างงี้ อย่าลืม adapter หรือเต้าเสียบนะคะ แบบขาแบนๆ หรือไม่ก็แบบ International use ที่มีขาและรูหลายแบบให้เลือกใช้ในเต้าเดียว(เซเว่นมีขายนะ) หอบไรได้ก็หอบมาดีกว่าค่ะ ช้าวของที่นี่แพงจิงๆนะ!!

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ7/2/55 06:21

    สวัสดีค่ะ ขอเข้ามาทำความรู้จักด้วยคนคะ แต่เราไม่ได้สมัครล็อคอินอะคะ
    เราเข้ามาอ่านวันนี้วันแรก เพราะพยายามเช็คดูว่ามีคนไทยอยู่บราซิลหรือเปล่า
    เพราะว่า เราแต่งงานกับสามีเป็นคนบราซิล แต่เราอยู่ด้วยกันที่ลอนดอนคะ
    แต่สามีเปรยๆว่า อยากย้ายไปบราซิล เหอะๆๆๆ มาอ่านเรื่องของคุณแล้ว
    .. อยากให้กำลังใจ ทั้งตัวคุณและทำใจให้กับตัวเองจริงๆ เหอะๆๆๆๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สวัสดีค่ะ อยากบอกว่าอยู่ลอนดอนน่าจะดีกว่าที่บราซิลนะ แต่ก็ไม่เคยอยู่ลอนดอนมาก่อนซะด้วย!! :-/ แม้ที่นี่จะมีคนไทยอยู่สิบกว่าคน รู้จักกัน ไปมาหาสู่กันนะคะ แต่คนที่มีสามีเป็นบราซิลเลี่ยนมีอยู่ไม่กี่คนค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นสามีต่างชาติแล้วย้ายมาทำงานที่นี่ชั่วคราว แต่เท่าที่รู้หลายคนต่างบ่นว่าอยู่ที่นี่ให้มีความสุข ยาาาาาากมาาาาาก!! :D ตัดสินใจดีๆนะคะ..ก่อนมา

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ8/2/55 03:27

      นั่นอะซิคะ เฮ้อกลุ้มใจอยู่อะคะ... ไหนจะเรื่องภาษา .. หางานทำ
      สารพัด สารเพ ... ขอบคุณมากนะคะ
      ยังไงจะคอยเข้ามาตามอ่าน คุณเขียนเรื่องได้ดีมาก .. อ่านไปเกือบหมดทุกอันแล้วอะคะ เอิ้กๆๆๆ

      ลบ
    3. กำลังคุยอยู่กับหนุ่มบราซิล กับหนุ่มอังกฤษ เสียงจากหัวใจชอบหนุ่มบราซิล แต่ฟังจากพี่ในกระทู้เล่า เห็นภาพความหดหู่ในชีวิตขึ้นมาเลยคะ เสียงจากสมองบอกว่าหนุ่มอังกฤษน่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ราบรื่นกว่า เพราะใช้ภาษาอังกฤษ อย่างเดียว ที่สำคัญคือสภาพบ้านเมืองน่าจะมีความปลอดภัยมากกว่า อยู่แบบไม่ต้องหวาดกลัว

      ลบ
  6. ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ คงหอบไปเท่าที่หอบไปได้ ฟังดูแล้วไม่น่ามีปัญหา เพราะสามีย้ายไปทำงานค่ะ ไม่ใช่ชาวบลาซิล แค่ของใช่ต่างๆ สามารถส่งลงเรือไปได้พอสมควร รอวีซ่าคงราว 2 เดือน กับคำล้ำลือว่าเมืองนี้ไม่น่าอยู่ แปลกใหม่น่าลอง อันตรายระดับต้นๆ เคยไปมาแล้วสู้ตายค่ะ คงได้มีโอกาสเจอกันเร็วๆนี้นะค่ะ

    สามีฝากถามมาว่า คุณพักย่านไหนค่ะ แต่ไปถึงทางบริษัทฯ เค้าคงจัดที่พักให้ก่อนหลังจากนั่น คงไปหาดูกันเอง เผื่อได้ไอเดียคนพื้นที่เต็มตัว

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ถ้ามีประสบการณ์อยู่ตปท.มาก่อน ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ ปรับนิดหน่อยก็คงสบายแล้ว

      ก้อยอยู่แถวบรู๊คลินค่ะ แต่คนไทยส่วนใหญ่จะอยู่แถว Villa Olimpia, Itaim กัน แต่ละคนก็หาที่อยู่ที่ใกล้ที่ทำงานให้มากที่สุดอ่ะค่ะ ยิ่งแบบเดินถึงยิ่งดี เลี่ยงรถติดไปได้ก็สบายขึ้นอีกนิด

      ลบ
  7. สวัสดีคะ พอดีหลงเข้ามาเจอบล๊อกนี้พอดี อ่านแล้วแบบว่าความรู้สึกเดียวกันเป๊ะ คือเพิ่งย้ายมาอยู่บราซิลอะคะ อยู่เมือง joinville,SC อยู่ได้ยังไม่ถึงเดือนเลยค่ะ อยู่ที่นี่เหงามากกกก ไม่มีเพื่อนคุยเลย ตอนแรกมานึกว่าจะไม่เจอคนไทยซะแล้ว เพราะส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นคนจีนกะญี่ปุ่น คนที่นี่เค้าไม่พูดอังกฤษเท่าไหร่ ไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก ตอนนี้ก็กำลังหางานทำแต่ก็อย่างที่คุณบอกมีแต่ภาษาโปรตุกีสอ่านก็ไม่รู้เรื่อง.................ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ

    ตอบลบ
  8. พี่หาเจอหล่ะ น้องก้อยอยู่แถวไหน? มาแปะรับทราบนะค่ะ สามีพี่คงไม่เลือกแถวที่ทำงานแน่ บอกว่าแถวนั้นน่าเบื่อ Vila Guilherme พี่นั่งรถผ่านตอนมาถึงมันดูเงียบเหงาจริงๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ก้อยอยู่ Brooklin จ้า อยู่ใกล้ที่ทำงานแฟนเหมือนกัน แฟนเดินไปทำงาน 5 นาทีถึง ส่วนก้อยต้องยอมอยู่ไกลเพื่อนๆคนไทนคนอื่นหน่อย

      ลบ
  9. กำลังคุยอยู่กับหนุ่มบราซิล กับหนุ่มอังกฤษ เสียงจากหัวใจชอบหนุ่มบราซิล แต่ฟังจากพี่ในกระทู้เล่า เห็นภาพความหดหู่ในชีวิตขึ้นมาเลยคะ เสียงจากสมองบอกว่าหนุ่มอังกฤษน่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ราบรื่นกว่า เพราะใช้ภาษาอังกฤษ อย่างเดียว ที่สำคัญคือสภาพบ้านเมืองน่าจะมีความปลอดภัยมากกว่า อยู่แบบไม่ต้องหวาดกลัว

    ตอบลบ
  10. สวัสดีค่ะทักทายค่ะแล้วที่บลาซิเลียนี่มีคนไทยอยู่มั้ยคะ
    มีแพลนจะไปที่นั้นค่ะ

    ตอบลบ
  11. กำลังคุยกับหนุ่มบราซิลที่อยู่ริโออยู่ เขาจะบินมาตอนสิ้นปี มีใครอยู่ริโอบ้างไหมคะ

    ตอบลบ

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...