หลังจากเป็น 'คุณแม่' มาจะครบ 6 เดือน ฉั้นเพิ่งเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง เพิ่งเข้าใจว่าทำไมหลายๆคนจึงอยากมีลูกนักหนา เพิ่งเข้าใจความรักของคนเป็นแม่ที่มีต่อลูก เพิ่งเข้าใจคำว่า 'ยอมลำบากเพื่อให้ลูกได้อิ่ม' มันเป็นยังไง การมีลูกทำให้ชีวิตฉั้นเปลี่ยนไปมาก แต่ที่สำคัญมากกว่านั้น คือ ร่างกายฉั้นก็เปลี่ยนไปมากด้วย แน่นอนล่ะที่ก็ไม่พ้นเรื่องน้ำหนักตัว การมีลูกและการมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ฉั้นหลีกหนีความทุกข์จากคำวิจารณ์หรือคำถามบางคำถามที่ทิ่มแทงใจไปไม่พ้น โดยเฉพาะการกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ แม้จะรู้และเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่า มารยาทแย่ๆของคนไทยอย่างหนึ่งก็คือการทักเรื่องนำ้หนักตัว ไม่ว่าใครจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง คนบางคนจะคิดว่าการถามเรื่องน้ำหนักนั่นถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งในการทักทายไปแล้ว โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้เจอกันนานๆ ฉั่้นจึงหนีไม่พ้นที่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกที่พบว่าทุกคนชมลูกฉั้นเปราะว่าน่ารักอย่างงั้นน่ารักอย่างงี้ แต่ไม่มีเลยซักคนที่จะมองข้ามเรื่องความอ้วนของฉั้นด้วยการบอกฉั้นว่า ฉั้นทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ!! ไม่เหมือนพวกฝรั่งที่มารยาทของพวกเค้าคือการให้กำลังใจแล้วบอกให้ Keep up your work, you've done a good job! คือการได้ผลิตลูกที่น่ารัก สมบูรณ์แข็งแรง แปลกดีที่ฉั้นไม่เคยเจอเพื่อนฝรั่งคนไหนทักทายฉั้นว่าอ้วนจัง ทำยังไงถึงอ้วน เพราะก็รู้อยู่แล้วว่าการมีลูกก็ต้องแลกมาด้วยการบำรุงทุกวิถีทาง
แน่นอน น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาอีก 10 โลของฉั้นหลังคลอดจึงทำให้ฉั้นกลายเป็นผู้หญิงตัวกลมที่ต้องอดทนรับคำวิจารณ์จากเพื่อนคนไทยไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความอ้วนนี่น่ากลัวเน๊อะ ฉั้นเพิ่งรู้ว่า การใส่ชุดอะไรก็ไม่สวย จะลุกจะนั่ง จะเดินจะเหินก็ปวดขา เนี่ย มันโคตรทรมานเลย ยิ่งกว่านั้นคือ การโดนทักว่า "โห อ้วนจัง!!" เนี่ย มันเจ็บจี๊ดดด!! แล้วไม่ใช่เจ็บท่ีโดนทักว่าอ้วนหรอกแต่มันเจ็บตรงที่ คนที่ทักนั่นเป็นคนที่ไม่เคยมีลูก ไม่เคยท้อง ไม่เคยรู้ว่าความลำบากของการตั้งท้องและความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั่นมันเป็นยังไง คนบางคนทักเพราะคิดว่าการอ้วนขึ้นเพราะมีลูกนั้นถือเป็นเรื่องน่ากลัว ถือเป็นการยอมเสียสละทั้งชีวิต คนบางคนอาศัยเวลาทั้งชีวิตในการตัดสินใจว่าจะไม่มีลูกเพียงเพราะรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ฉั้นเข้าใจ ฉั้นก็เคยผ่านจุดนั้นมา ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะมีลูก แต่ก็ยังต้องอาศัยความอดทนและกำลังใจมากมายเพื่อรับมือกับคำวิจารณ์หรือตั้งคำถาม เช่น 'ฉั้นไม่อยากเป็นแม่ที่สวยๆหุ่นดีๆกับเค้าบ้างเหรอ?' หรือถามฉั้นว่า 'แล้วพวกดาราที่เค้ามีลูกแล้วเค้าผอมๆกันเค้าทำไงอ่ะ?' บางคนก็ถามว่า 'แล้วทำยังไงถึงอ้วนได้ขนาดนี้' Y_Y ใครล่ะไม่อยากผอม ไม่อยากสวย ไม่อยากหุ่นดี ฉั้นเป็นคนหนึ่งล่ะที่อย๊ากอยาก แต่ฉั้นไม่ใช่เซเลบริตี้ จะได้คอยควบคุมอาหารอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่คนสวยหุ่นดีมาแต่กำเนิด และไม่ใช่ท้องตอนอายุน้อยๆอย่างสาวๆบางคน ตอนท้องมันก็หิว หิวก็ต้องกิน เพราะนึกถึงลูกในท้องที่ต้องหิวไปกับฉั้นด้วย หลังคลอดแล้วก็ยิ่งแล้วใหญ่ การให้นมลูกเอง เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง มันเหนื่อย เหนื่อยปุ๊บมันก็ต้องกินให้มีแรง อยากเห็นลูกดูดนมจากอก แล้วกลืนน้ำนมดังเอื๊อกๆ อย่างมีความสุข มันก็ต้องบำรุงตัวเองก่อน การได้เห็นลูกหลับคาอกอย่างมีความสุข การได้เห็นเค้าโตวันโตคืน สมบูรณ์แข็งแรง มันเป็นความสุขทางใจที่ไม่มีอะไรจะทดแทนได้ ถ้าฉั้นมัวแต่เครียดเรื่องน้ำหนัก มัวแต่ห่วงว่าตัวเองจะไม่สวย มัวแต่ระแวงว่าอ้วนแล้วสามีจะไม่รัก ลูกฉั้นอาจจะมีสุขภาพกายและใจที่ไม่แข็งแรงไปด้วย และนี่ไม่ใช่ข้ออ้าง สิ่งที่ฉั้นโชคดีที่สุดคือ การที่มีสามีที่ดีคอยให้กำลังใจฉั้นอยู่ตลอดเวลา เป็นพ่อและสามีที่สมบูรณ์แบบ ไม่เคยทำให้ฉั้นรู้สึกท้อใจในการเลี้ยงลูกด้วยการพูดจาทำร้ายจิตใจฉั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่คนที่ทำร้ายความรู้สึกฉั้นกลับเป็นคนอื่น คนที่ไม่เคยมีลูก และไม่คิดจะมีลูก ฉั้นพยายามข่มใจและข่มความรู้สึกไม่ให้สับสนและท้อแท้เพราะเรื่องนี้ แต่มันก็ยากนะ มันบั่นทอน มันทำให้ฉั้นหมดความมั่นใจและลดทอนความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเองลง ฉั้นได้แต่ตอบโต้ด้วยการอธิบายอย่างใจเย็น ว่าฉั้นต้องให้นมลูก ฉั้นอดอาหารไม่ได้ ฉั้นกลัวไม่มีน้ำนม แต่ก็จริงอยู่ที่ฉั้นก็เผลอตามใจปากไปบ้างเพราะความหิวเป็นเหตุ แฮ่ะๆ!! ^^'
แต่เอาเถอะ จะบ่นไปยังไงฉั้นก็ยังอ้วนอยู่ดี สู้มองหน้าลูก เล่นกับลูก พูดคุยกับลูกให้มีความสุขแทนดีกว่า เพราะถึงยังไงน้ำหนักฉั้นก็ยังไม่ลดภายในวันนี้พรุ่งนี้อยู่ดี เลิกให้นมลูกเมื่อไรจะกลับไปผอมสวยไฉไลกว่าเดิมให้ดู!!