และแล้วก็ถึงไตรมาสสุดท้าย เห้อออ.....ตื่นเต้นๆๆ!!
3 เดือนสุดท้ายของการอุ้มท้อง หลายคนบอกว่า คุณแม่ต้องพักผ่อนให้มากๆ งีบให้เยอะๆ เพราะร่างกายคุณแม่จะอุ้ยอ้าย และอ่อนเพลียมาก จริงยิ่งกว่าจริง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเกือบ 15 โล ตอนนี้ทำให้เดินเหิน นั่งนอน ลำบากมากๆ จะทำอะไรก็ติดพุงตลอด หนักก็หนัก พุงก็ใหญ่ เหนื่อยก็เหนื่อย น้ำหนักแค่พุงอย่างเดียวก็น่าจะเทียบเท่ากับแบกข้าวสาร 3-4 โลได้แล้วล่ะมั้ง เพราะทั้งน้ำ ทั้งรก ทั้งลูกน้อย ทั้งกล้ามเนื้อมดลูก รวมๆกันอยู่ เวลานอนแล้วจะลุกทีแทบอยากจะหารถเครนมาลาก มันลุกไม่ขึ้นจริงๆนะ ต้องตะแคงข้างก่อนแล้วค่อยๆดันตัวขึ้น พระเจ้า...เกิดมาไม่เคยหนักขนาดนี้มาก่อน!!! ฉั้นเห็นตัวเองแล้วก็อดปลงไม่ได้ เพราะตอนนี้ตัวกลมมาก แขนกลายเป็นขา ส่วนขาก็กลายเป็นขาโต๊ะสนุ้กไปแล้วเรียบร้อย ไม่ใช่แค่น้ำหนักที่เพิ่ม แต่เป็นปริมาณน้ำที่ร่างกายเก็บกักสะสมไว้ด้วย ทำให้ออกอาการทั้งอ้วนและบวม ฉั้นต้องดื่มน้ำเยอะมากเพราะลูกน้อยต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงเยอะๆ และเพื่อหล่อเลี้ยงให้ผิวพรรณชุ่มชื่นอีกต่างหาก เวลาร่างกายขาดน้ำทีไรบางช่วงที่อากาศเย็นๆ ผิวฉั้นแห้งแตก จนเป็นผื่นเต็มขาไปหมด แถมผื่นแห้งตกเสก็ดก็ทิ้งร่องรอยแผลเป็น แล้วฮอร์โมนก็ทำให้ร่องรอยแผลเป็นมีสีคล้ำขึ้นอีก ทำให้รู้สึกว่าตอนนี้ฉั้นมีแผลเป็นจากสิวเต็มหน้า และแผลเป็นจากรอยผื่นเต็มขา แถมผิวบางช่วงที่แตกลาย เพราะครืมบางตัวที่ใช้ก็เอาไม่อยู่ โชคดีที่พุงไม่ลาย แต่กลับกลมมน เต่งตึง สวยงาม ค่อยยังชั่ว!! ฉั้นปวดหลังเพราะต้องแอ่นตัวถ่วงน้ำหนักเอาไว้ตลอดเวลา ปวดขาเพราะน้ำหนักที่แบกรับเอาไว้ทำให้น่ังนานไม่ค่อยจะได้ บางวันเท้าและข้อเท้าบวมตุ่ยจนรองเท้าเบอร์เดิมที่เคยใส่แทบจะยัดไม่เข้า ยิ่งถ้าเดินมากๆกลางคืนอาจจะปวดขาจนนอนไม่หลับทีเดียวเชียว ไม่ว่ายน้ำก็ต้องนอนพาดขาสูงๆเข้าไว้จะช่วยได้ระดับนึง อาการปวดข้อมือข้างซ้ายก็ใช่ย่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืน หมอสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากแรงกดทับที่เส้นประสาทบางเส้นที่ทำให้ปวดมาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่เดือนที่ 6 เห็นจะได้ กลางวันก็ง่วงเหงาหาวนอนจนต้องหาเวลางีบหลับเป็นประจำ แม้จะมีอาการมากมายหลายอย่างที่บางครั้งเล่นเอาซะจิตตก หดหู่ แต่ก็ได้กำลังใจจากแฟบนี่ล่ะ เป็นแรงสำคัญ คอยบอกว่าฉั้นสวยบ้าง บอกว่ามีความสุขบ้าง บอกว่าภูมิใจบ้าง แฟบไม่เคยทิ้งให้ฉั้นหดหู่อย่างเดียวดายเลย ไม่เคยปล่อยให้ฉั้นไปหาหมอคนเดียว ไม่เคยปล่อยให้ฉั้นเศร้าซึมนาน แค่เห็นฉั้นซึมๆก็คอยถามไถ่และให้กำลังใจตลอด แม้เค้าจะเหนื่อยจากงานแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิดใส่ฉั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เห็นอย่างงี้แล้วฉั้นได้แต่บอกตัวเองว่า เหนื่อยแค่ไหนก็จะสู้!! >..<' แถมทุกครั้งที่ไปหาหมอ แล้วได้ยินหมอบอกว่า ทุกอย่างโอเค เพอร์เฟ็ค อาการต่างๆจะหายไปหลังคลอด ส่วนหัวใจลูกน้อยเต้นก็เป็นจังหวะแข็งแรง แขนขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวตลอดเวลา แถมน้ำหนักก็ขึ้นตามเกณฑ์ปกติ ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูก แค่นี้ก็ทำให้ยิ้มได้ และใจชื้นกันทั้งพ่อทั้งแม่
ฉั้นเฝ้าลูบพุงตัวเองอยู่ทุกวันอย่างมีความสุข จนเข้าเดือนที่ 8 ลูกเริ่มเคลื่อนไหวแรงมาก ทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งยืดเหยียด ทั้งม้วนตัว เช้าบางเช้าตื่นเพราะโดนปลุกจากแรงดิ้นก็มี แต่ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่ทำก็คือลูบไล้พุงตัวเองเพื่อเล่นกับเค้าและเพื่อเช็คว่าตอนนี้เค้ากำลังนอนอยู่ด้านไหน ซ้ายหรือขวา เพราะส่วนที่นูนกว่าส่วนอื่นทำให้รู้ได้แล้วว่า เป็นหลังหรือก้น และส่วนที่ดุ๊กดิ๊กไปมาอีกด้านก็ต้องเป็นเท้า และดุ๊กดิ๊กเบาๆอยู่ด้านล่างหน่อยก็คือมือน้อยๆ ตอนนี้เค้ามีสัมผัสการรับรู้และได้ยินแล้ว จึงตอบสนองฉั้นได้ บางวันก็ให้พ่อเค้าชวนคุย แฟบคุยกับลูกผ่านพุงฉั้น รอซักพักเค้าก็จะขยับตัวเคลื่อนไหวไปมาตอบรับ เรามีความสุขและตื่นเต้นกันมากทุกครั้งที่เห็นพุงเคลื่อนไหวราวกับคลื่นใต้น้ำ น้ำหนักลูกเพิ่มอย่างรวดเร็วมากช่วงนี้ ฉั้นต้องเข้าห้องน้ำถ่ายเบาบ่อยขึ้น เพราะเค้าเริ่มยืดเหยียดและดันพุงส่วนล่างจนบีบกระเพาะปัสสวะฉั้นไปด้วย ช่วงนี้ฉั้นตื่นแต่เช้าทุกวันเพราะแรงเคลื่อนไหวของเค้าในช่วงเช้าๆทำให้รู้สึกตัวตื่น แต่บ่อยครั้งที่ตื่นกลางดึกเพราะมือและแขนชา หรือไม่ก็ปวดข้อมือ ไม่ก็ปวดฉี่ ไม่ก็อยากรู้ว่าท่านอนของเราทำให้ลูกอึดอัดรึป่าว เค้าจะดิ้นแรงมากอีกทีช่วงก่อนเที่ยงและช่วงเย็น หมอบอกว่ายิ่งลูกดิ้นแรงและบ่อยยิ่งดี ฉั้นเองก็ว่างั้นเพราะนอกจากมันทำให้ฉั้นมีความสุขมากมายแล้วมันยังบ่งบอกว่าเค้าแข็งแรงและแอ็กทีฟดีอีกด้วย
ไตรมาสนี้เป็นไตรมาสที่ทุกอย่าง 'จริง' มากขึ้น ไม่ใช่แค่ความสุขอย่างที่บอก แต่เป็นเพราะมีความตื่นเต้น ความประหม่า ความกลัว และกังวล ปนอยู่ด้วย และแทนที่ฉั้นนจะพักผ่อนมากๆ แต่กลับตรงกันข้าม ไตรมาสนี้กลับเป็นช่วงเวลาที่ต้องทำงานหนักที่สุด เพราะเรายังต้องเตรียมความพร้อมอีกหลายอย่าง เราเตรียมห้องนอน เตียงนอน โต๊ะสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อม ตู้เก็บข้าวของเครื่องใช้ ตกแต่งให้ดูน่ารัก สะอาดสะอ้าน ฉั้นเตรียมทำความสะอาดและจัดระเบียบ ซักรีดเสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าอ้อม ผ้าขนหนู แกะกล่องข้าวของเครื่องใช้ต่างๆแล้วเริ่มศึกษาว่ามันใช้ยังไง เช่น เครื่องปั้มนม เครื่องทำความสะอาดขวดนม เก้าอี้นั่งเล่นลูก ฯลฯ ยังมีอ่างอาบน้ำและเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆที่เป็นรายละเอียดที่ยังขาดอยู่ และต้องไปเดินหาซื้ออีกหลายอย่าง ที่ขาดไม่ได้คือ ฉั้นต้องเตรียมแพ็คกระเป๋าสำหรับไปโรงพยาบาลในวันคลอดเอาไว้ด้วย ซึ่งต้องเตรียมทั้งของเราและของลูก เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะพร้อมเมื่อไร จะเกิดขึ้นวันไหน อาจเป็นเมื่อไรก็ได้เมื่อย่างเข้าสู้เดือนที่ 9 ตอนนี้ฉั้นเตรียมใจเรื่องความเจ็บเอาไว้แล้ว แม้จะยังกลัวอยู่ แต่แฟบก็คอยให้กำลังใจฉั้นอยู่ตลอด
เมื่อมัน 'จริง' ขึ้นเรื่อยๆอย่างนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ฉั้นลืมไม่ได้เลยก็คือ การเตรียมพร้อมให้ตัวเองในการเป็นแม่ ฉั้นไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงนึกไม่ออกว่าจะเลี้ยงลูกแบบไหน เท่าที่ทำได้คือ จินตนาการว่า ลูกจะอยากมีแม่แบบไหน แล้วฉั้นควรจะเป็นแม่แบบไหนให้ลูก และที่สำคัญฉั้นอยากให้ลูกฉั้นเป็นคนแบบไหนเมื่อเค้าเติบโตขึ้น ฉั้นเริ่มจากการนึกถึงตัวเอง นึกถึงอดีตของตัวเอง ทบทวนว่าเราเติบโตมาจากครอบครัวแบบไหน ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน สิ่งไหนที่เราชอบ สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ สิ่งไหนที่เกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนฉั้นจากคนที่ควรเป็นและอยากเป็นในอดีต ฉั้นนั่งคิดและทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำความเข้าใจ พยาม Complete กับอดีตของตัวเอง ฉั้นเชื่อว่าคนเราเกิดและเติบโตมากับครอบครัวที่เลี้ยงดูในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และการถูกอบรมเลี้ยงดูมีผลกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันของเราทุกคน อาจมีบางความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในใจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาจมีบางอย่างที่ครอบงำความคิดและความเชื่อของเราและทำให้เราดำเนินชีวิตในแบบที่เราอาจไม่ได้ต้องการ อาจมีบางเหตุการณ์ที่ต้องย้อนนึกถึงและทำความเข้าใจเพราะมันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนความเป็นตัวตนและบุคลิกของเรา ฉั้นนั่งคิดและทบทวนคำสั่งสอนและการเลี้ยงดูของพ่อแม่อีกครั้งและมองเห็นหลายอย่างที่เราทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ใช้เวลาซักพักใหญ่ๆกว่าจะเข้าใจที่มาที่ไปของความเป็นตัวตนของตัวเอง การทำแบบนี้มันช่วยให้อย่างน้อยฉั้นก็เห็นหลายๆสิ่งในภาพอดีตที่มันอาจไม่สมบูรณ์แบบ ภาพที่มันอาจมีผลต่อสภาพจิตใจฉั้นมาเนิ่นนานทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ภาพทั้งหมดถูกประกอบขึ้นใหม่ให้เป็นภาพที่มองออก และเข้าใจได้ ฉั้นต้องการให้ภาพอดีตของฉั้นเป็นตัวอย่างในการเรียนรู้ ให้รู้ว่าสิ่งไหนที่พ่อแม่ควรและไม่ควรทำ ฉั้นเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตไม่ได้ แต่ฉั้นก็รู้แล้วว่าฉั้นต้องการเป็นแม่แบบไหน เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสได้ทำหน้าที่นี้ ฉั้นจึงอยากจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด มันเป็นความภูมิใจอยู่ลึกๆที่ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้หญิงเต็มตัว ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่มีผู้ชายดีๆคนหนึ่งให้ความไว้วางใจและให้โอกาสฉั้นได้เป็นแม่ของลูกเค้า แต่มันยังอยู่ที่ว่า ฉั้นภูมิใจที่จะได้ทำหน้าที่ดูแล ปกป้อง รับผิดชอบ และอีกหลายอย่างให้กับลูกน้อยที่เกิดจากความรักของเราสองคน การเตรียมความพร้อมจึงไม่ได้อยู่แค่วินาทีนี้ แต่ฉั้นต้องมองไปอีกไกล ล่วงหน้าไปอีกหลายปี จึงต้องเริ่มจากการสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเองเป็นอันดับแรก
ฉั้นมีความเชื่อว่าพ่อแม่ที่สร้างลูกด้วยความรัก ไม่จำเป็นต้องสร้างความเชื่อให้ตัวเองและลูกว่า วันหนึ่งลูกจะต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณ เพราะเค้าไม่ได้เป็นคนร้องขอให้เราให้กำเนิดเค้า ทุกอย่างเกิดจากการตัดสินใจของเรา ไม่ว่าจะด้วยความพลาดหรือด้วยความพร้อมก็ตาม หน้าที่ของพ่อแม่ที่ดี คือ สร้างความพร้อมให้กับลูก เพื่อให้เค้าได้มีชีวิตและใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ฉั้นกับแฟบเชื่อในแบบเดียวกันว่าเราจะมีโอกาสทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ไม่เกิน 25 ปีหรอก เพราะเมื่อเค้าถึงวัยนั้น ลูกก็จะรู้แล้วว่าเค้าอยากมีชีวิตแบบไหน มีความฝัน และทางเดินของตัวเอง และเราก็ต้องเข้าใจและให้โอกาสเค้าได้ดำเนินชีวิตในแบบที่เค้าต้องการ สิ่งที่สำคัญของการเป็นพ่อแม่ คือ การเป็นผู้ให้ เป็นครู เป็นคนคอยสอน คอยชี้แนะ คอยให้คำแนะนำ และเป็นที่พึ่งคอยช่วยเหลือดูแล การเตรียมความพร้อมให้เค้าสามารถใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องจึงเป็นภาระกิจสำคัญ พ่อแม่จึงไม่ควรทำตัวเป็นภาระของลูก ด้วยการไม่วางแผนให้ตัวเองในยามแก่เฒ่า แล้วยัดเยียดภาระหน้าที่ให้ลูกเป็นผู้ดูแลเรา ด้วยความเชื่อเรื่องการทดแทนคุณ ความเชื่อเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แม้ฟังดูแล้วอาจจะยากเพราะเราไม่รู้อนาคตและอาจขัดกับความเชื่อของคนไทยหลายๆคน แต่ฉั้นว่ามันไม่ยุติธรรมที่เราจะกลายเป็นคนที่เหนี่ยวรั้งชีวิตลูกไว้ จนเค้าต้องละทิ้งความฝัน ละทิ้งชีวิตที่เค้าต้องการ เพื่อคอยดูแลเราจนเราแก่เฒ่าหรือจนกว่าจะตายจากกัน ในขณะเดียวกันพ่อแม่ที่ยังพอมีเรี่ยวแรงก็ไม่ควรละทิ้งภาระหน้าที่ของตัวเองเพียงเพราะคิดว่าลูกๆดูแลตัวเองกันได้แล้ว เพราะความเป็นพ่อ แม่ ลูก มันเป็นสายสัมพันธ์ที่ผูกพันธ์ เชื่อมโยง และยึดเหนี่ยว สำหรับฉั้น เราทั้งคู่ต้องสามารถทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับได้อย่างเท่าเทียมและมีความสุข ความสุขของการเป็นผู้รับและผู้ให้จะไม่ทำให้ใครเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่ต้องมีความรู้สึกผิดหรือถูกมาเกี่ยวข้องมากเกินไป แต่เราจะนึกถึงกันและกันอย่างอบอุ่นใจอยู่เสมอ นั่นคือ ครอบครัว ในแบบที่ฉั้นคิดว่ามันควรจะเป็น