ขึ้นโพสต์ใหม่ ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไร รู้แต่ว่าชีวิตคนเป็นแม่นี่มันช่างลำบากยากเย็นซะจริง ผ่านไป 2 เดือนกับ 1 สัปดาห์แล้วกับชีวิตใหม่ของฉั้น ชีวิตที่ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวอีกต่อไป ชีวิตที่ไม่ลำพัง การต้องคอยดูแลคนตัวเล็กๆนี่มันไม่ธรรมดา เพราะคนตัวเล็กมักจะเอาแต่ร้องไห้เวลาอยากได้อะไรหรือไม่อยากได้อะไร คนตัวเล็กมักต้องการให้อุ้มอยู่ตลอดเวลา ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมเวลาเปียกชื้นจากอึและฉี่ ต้องให้นมทันทีเวลาหิว ต้องนอนและกล่อมทันทีเวลาง่วง ต้องการการดูแลจากฉั้นตลอด 24 ชั่วโมงทั้งยามหลับยามตื่น เวลาอารมณ์ดีก็น่ารัก แต่บางวันงอแงก็ร้องไห้ดังไปสามบ้านแปดบ้าน โอ๋ยังไง ปลอบยังไงก็เอาไม่อยู่ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำถึงช่วงดึกก่อนเข้านอน ความเป็นแม่ทำให้ฉั้นห่วงกังวลคิดว่าเค้ากลัวการนอนคนเดียว หรือกลัวความมืด แต่หมออธิบายแบบวิทยาศาสตร์ว่ามันคืออาการโคลิค หรือการร้อง 3 เดือนแบบที่คนไทยเรียกกัน บางคืนเค้าร้องไห้จนกระทั่งฉั้นก็ร้องไปด้วย วันไหนทนไม่ไหวก็ต้องวางเค้าไว้ให้ร้องจนเหนื่อย ส่วนฉั้นก็เข้าไปร้องในห้องน้ำ ร้องไห้ไปอาบน้ำไปในเวลาเดียวกัน เวลาและร่างกายของฉั้นต้องกลายเป็นของเค้าไปเกือบ 90% สภาพอารมณ์และจิตใจของฉั้นก็เลยต้องพยามเข้มแข็งและปรับตามให้ทัน
ฉั้นไม่มีเวลาและกระจิตกระใจจะมานั่งทำสวยเลยในบางวัน ทำให้เข้าใจแล้วว่าทำไมบรรดาแม่ๆหลายๆคนจึงเลิกดูแลใส่ใจตัวเอง ไม่มีเวลาสนใจตัวเอง ไม่มีเวลาที่จะไปออกกำลังกาย หรือไปเดินช้อปปิ้ง บางคนถึงขั้นยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงให้ซะเลย แถมอยากจะกลับไปทำงานนอกบ้านใจจะขาด เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งให้นมลูก อุ้มลูก คอยเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำแต่งตัวให้ลูก และกล่อมลูกให้หลับ ไหนจะงานบ้านอีก แม้จะโชคดีที่มีคนมาทำความสะอาด แต่ก็ใช่ว่าจะดีมากมายเพราะเวลาเค้ามาฉั้นก็ต้องทำอาหารแล้วก็คอยกระเตงลูกหลบฝุ่นไปมา
การเป็นแม่เต็มตัวเต็มเวลา ถือเป็นอาชีพที่ห้ามขาดลามาสาย ห้ามป่วยห้ามตาย ใครว่าเป็นแม่...ง่าย แล้วถ้าใครดูถูกการเป็นแม่ละก็ ฉั้นคนนึงล่ะที่จะขอเถียงหัวชนฝา ว่าการเป็นแม่นี่แหละเป็นอะไรที่ยากที่สุดในชีวิตละ ตั้งแต่มีลูกฉั้นต้องใช้ความพยามและความอดทนอย่างมากในการดูแลทั้งตัวเอง และลูก รวมทั้งสามีด้วย มันยากนะ ที่ต้องวิ่งวุ่นอุ้มลูกและทำนู้นทำนี่ไปด้วยตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาต้องทำอาหารเวลาที่สามีอยู่ และอุ้มลูกรอ และลูกก็ร้องโยเย ฉั้นรีบจนมือไม้สั่น ไม่รีบก็ไม่ได้ เสียงร้องมันบีบหัวใจ เวลากิน เวลาอึ เวลาฉี่ ต้องทำอย่างเร็วและเร่งรีบเพราะลูกฉั้นร้องไห้แทบจะตลอดเวลาแถมติดให้อุ้มด้วย เวลาต้องออกไปข้างนอกก็ใช่ย่อย แทนที่จะรู้สึกมีความสุขกับการได้ไปเที่ยว เปิดหูเปิดตา กลับกลายเป็นความกังวล เพราะต้องแต่งตัวให้ลูกและตัวเองให้เสร็จทันเวลา ออกไปแล้วก็กลัวลูกจะร้องจนหมดสนุก เรื่องสุขภาพลูกก็สำคัญ ต้องพาไปหาหมอเพื่อมอร์นิเตอร์การเจริญเติบโต ต้องคอยให้นมให้ตรงเวลาหรือก่อนที่เค้าจะหิวจนโยเย ผิวพรรณก็บอบบาง ผื่นขึ้นบ้าง รอยข่วนบ้าง เวลาเค้าง่วงก็ต้องกล่อมให้หลับด้วยการอุ้มเดินไปมาจนเมื่อย จนเหนื่อย จนล้า ปวดแขน ปวดหลัง
ฉั้นแทบไม่รู้เลยว่าความสุขของการมีลูกที่คาดหวังไว้มันอยู่ตรงไหน มีแต่ความกังวล ความเหนื่อย ความล้า ความทรมาน และความท้อแท้!!
จนกระทั่ง.....
ฉั้นได้เห็นรอยยิ้มแรกของเค้า ได้ยินเค้าส่งเสียงร้อง อูๆอาๆ ได้เห็นเค้าเล่นน้ำลาย เอามือยัดเข้าปาก ดูดนิ้วดังจ๊วบจ๊าบ แววตาอันแสนอ่อนโยนและไร้เดียงสาที่มองมาที่ฉั้นเวลาเข้าอารมณ์ดี เหมือนกำลังจะบอกว่าตอนนี้เค้ามีความสุข ถึงได้รู้ว่า พัฒนาการของลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว ตาหวานๆบวกกับรอยยิ้มมันทำให้ฉั้นแทบน้ำตารื้น เหมือนเป็นวันที่รอคอยมานานแสนนานยังไงบอกไม่ถูก มันคือพัฒนาการทางสมองและร่างกายของเด็กน่ะ เมื่อครบ 3 เดือน สมองและร่างกายของเด็กก็จะเริ่มพัฒนาไประดับนึงจนเห็นได้ชัด คริสโตเฟอร์ก็เหมือนกัน ตอนนี้ 2 เดือนกว่าแล้ว ได้รับวัคซีนป้องกันโรคสำคัญๆ พวกคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 1 ตับอักเสบ บี ครั้งที่ 2 เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ ครั้งที่ 1 และโปลิโอ ครั้งที่ 1 เรียบร้อยแล้ว หลังจากวัคซีนปุ๊บ เค้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คงไม่ใช่เพราะวัคซีนหรอก แต่คงเป็นเพราะการพัฒนาอย่างที่ว่า ตอนนี้เค้าเลยหลับง่ายขึ้น ร้องไห้น้อยลง ยิ้มมากขึ้น และเหมือนพยามสื่อสารกับฉั้นด้วย อ้อ...ที่สำคัญ ตอนนี้เค้าดูดนมแม่มากขึ้น เข้าขั้นติด ดูดจนหลับ แถมเวลาหิวก็ทำท่าอ้าปากงับนมแม่สุดฤทธิ์ ฉั้นดีใจมากเพราะมันบ่งบอกว่า ฉั้นคงจะมีน้ำนมมากขึ้นแล้วในช่วงนี้ และการให้นมลูกมันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ เห็นเค้าว่าการให้นมลูกนอกจากจะเผาผลาญแคลอรี่แล้ว ร่างกายยังหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ทำให้มีความสุขเหมือนกับหลังจากการออกกำลังกายอีกต่างหาก ระบบร่างกายมนุษย์นี่ช่างน่ามหัศจรรย์
นี่ไง พระเจ้าเห็นใจฉั้นแล้ว!!! ความเหนื่อยของฉั้นที่สั่งสมมากว่า 2 เดือน การที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวซะส่วนใหญ่ เพราะแฟบก็ต้องทำงาน แล้วฉั้นก็ตัวคนเดียว ที่สำคัญความเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง แล้วไม่ชอบพึ่งพาใคร บวกกับความเชื่อมั่นที่ว่า เมื่อตัดสินใจเองว่าจะมีลูก ก็ต้องเลี้ยงเค้าเองให้ได้ จึงยอมเหนื่อยและกัดฟันทน พอได้เห็นพัฒนาการที่ว่า และเห็นเค้าเริ่มเรียนรู้ที่จะหลับนานขึ้นในช่วงกลางคืนและหลับได้โดยไม่ต้องอุ้มเดินทั่วบ้านเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ฉั้นมีเวลานอนนานขึ้นและได้กลับมาหลับลึกๆบ้างแล้วในบางคืน เหมือนได้กลับมาหายใจทั่วท้องอีกครั้ง ฟิ้วววว......
ตอนนี้รู้ละ ว่าความสุขอยู่ตรงไหน!!! ^^ การได้อยู่ด้วยกันนานๆ มันสร้างความผูกพันธ์ได้มากมายก่ายกอง ความสัมพันธ์ของเราเริ่มเติบโตและพัฒนา การได้กอด ได้หอม ได้อุ้ม ได้ให้นม ได้นอนให้นมจนหลับไปด้วยกัน การได้กลิ่นของลูก การได้เห็นอึเห็นฉี่เค้า การพาเค้าอาบน้ำ การได้กล่อมให้หลับทุกคืน ได้คุยกับเค้าไปเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้ การไม่กลัวเสียงร้องของลูก การได้รู้จักและรู้ใจเค้ามากขึ้น การได้โอ๋ให้เค้าหยุดร้องแบบที่คนอื่นทำไม่ได้ รวมทั้งการลืมไปแล้วว่า "เวลาส่วนตัว" คืออะไร เพราะการได้ใช้เวลาอยู่กับลูกนี่ล่ะ คือ ความสุขที่สุด ยิ่งเวลาได้อยู่ด้วยกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก แล้วละก็ ยิ่งเป็นความสุขเหนือสิ่งอื่นใด
ที่เค้าว่าเลี้ยงลูกมันลำบากในช่วงแรกๆ พ้น 3 หรือ 4 เดือนไปแล้ว คราวนี้ละ อะไรๆจะง่ายขึ้น แถมจะติดลูกเอามากๆด้วย ก็เห็นท่าว่าคงจะจริง!!
ฉั้นได้เห็นรอยยิ้มแรกของเค้า ได้ยินเค้าส่งเสียงร้อง อูๆอาๆ ได้เห็นเค้าเล่นน้ำลาย เอามือยัดเข้าปาก ดูดนิ้วดังจ๊วบจ๊าบ แววตาอันแสนอ่อนโยนและไร้เดียงสาที่มองมาที่ฉั้นเวลาเข้าอารมณ์ดี เหมือนกำลังจะบอกว่าตอนนี้เค้ามีความสุข ถึงได้รู้ว่า พัฒนาการของลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว ตาหวานๆบวกกับรอยยิ้มมันทำให้ฉั้นแทบน้ำตารื้น เหมือนเป็นวันที่รอคอยมานานแสนนานยังไงบอกไม่ถูก มันคือพัฒนาการทางสมองและร่างกายของเด็กน่ะ เมื่อครบ 3 เดือน สมองและร่างกายของเด็กก็จะเริ่มพัฒนาไประดับนึงจนเห็นได้ชัด คริสโตเฟอร์ก็เหมือนกัน ตอนนี้ 2 เดือนกว่าแล้ว ได้รับวัคซีนป้องกันโรคสำคัญๆ พวกคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 1 ตับอักเสบ บี ครั้งที่ 2 เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ ครั้งที่ 1 และโปลิโอ ครั้งที่ 1 เรียบร้อยแล้ว หลังจากวัคซีนปุ๊บ เค้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คงไม่ใช่เพราะวัคซีนหรอก แต่คงเป็นเพราะการพัฒนาอย่างที่ว่า ตอนนี้เค้าเลยหลับง่ายขึ้น ร้องไห้น้อยลง ยิ้มมากขึ้น และเหมือนพยามสื่อสารกับฉั้นด้วย อ้อ...ที่สำคัญ ตอนนี้เค้าดูดนมแม่มากขึ้น เข้าขั้นติด ดูดจนหลับ แถมเวลาหิวก็ทำท่าอ้าปากงับนมแม่สุดฤทธิ์ ฉั้นดีใจมากเพราะมันบ่งบอกว่า ฉั้นคงจะมีน้ำนมมากขึ้นแล้วในช่วงนี้ และการให้นมลูกมันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ เห็นเค้าว่าการให้นมลูกนอกจากจะเผาผลาญแคลอรี่แล้ว ร่างกายยังหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ทำให้มีความสุขเหมือนกับหลังจากการออกกำลังกายอีกต่างหาก ระบบร่างกายมนุษย์นี่ช่างน่ามหัศจรรย์
นี่ไง พระเจ้าเห็นใจฉั้นแล้ว!!! ความเหนื่อยของฉั้นที่สั่งสมมากว่า 2 เดือน การที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวซะส่วนใหญ่ เพราะแฟบก็ต้องทำงาน แล้วฉั้นก็ตัวคนเดียว ที่สำคัญความเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง แล้วไม่ชอบพึ่งพาใคร บวกกับความเชื่อมั่นที่ว่า เมื่อตัดสินใจเองว่าจะมีลูก ก็ต้องเลี้ยงเค้าเองให้ได้ จึงยอมเหนื่อยและกัดฟันทน พอได้เห็นพัฒนาการที่ว่า และเห็นเค้าเริ่มเรียนรู้ที่จะหลับนานขึ้นในช่วงกลางคืนและหลับได้โดยไม่ต้องอุ้มเดินทั่วบ้านเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ฉั้นมีเวลานอนนานขึ้นและได้กลับมาหลับลึกๆบ้างแล้วในบางคืน เหมือนได้กลับมาหายใจทั่วท้องอีกครั้ง ฟิ้วววว......
ตอนนี้รู้ละ ว่าความสุขอยู่ตรงไหน!!! ^^ การได้อยู่ด้วยกันนานๆ มันสร้างความผูกพันธ์ได้มากมายก่ายกอง ความสัมพันธ์ของเราเริ่มเติบโตและพัฒนา การได้กอด ได้หอม ได้อุ้ม ได้ให้นม ได้นอนให้นมจนหลับไปด้วยกัน การได้กลิ่นของลูก การได้เห็นอึเห็นฉี่เค้า การพาเค้าอาบน้ำ การได้กล่อมให้หลับทุกคืน ได้คุยกับเค้าไปเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้ การไม่กลัวเสียงร้องของลูก การได้รู้จักและรู้ใจเค้ามากขึ้น การได้โอ๋ให้เค้าหยุดร้องแบบที่คนอื่นทำไม่ได้ รวมทั้งการลืมไปแล้วว่า "เวลาส่วนตัว" คืออะไร เพราะการได้ใช้เวลาอยู่กับลูกนี่ล่ะ คือ ความสุขที่สุด ยิ่งเวลาได้อยู่ด้วยกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก แล้วละก็ ยิ่งเป็นความสุขเหนือสิ่งอื่นใด
ที่เค้าว่าเลี้ยงลูกมันลำบากในช่วงแรกๆ พ้น 3 หรือ 4 เดือนไปแล้ว คราวนี้ละ อะไรๆจะง่ายขึ้น แถมจะติดลูกเอามากๆด้วย ก็เห็นท่าว่าคงจะจริง!!