หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ บราซิล มาหลายด้าน หลายคนว่าเป็นประเทศที่อันตราย หลายคนว่าประเทศนี้ผู้ชายหล่อ, ผู้หญิงสวย แถมเซ็กซี่อีกต่างหาก บางคนบอกว่าเป็นประเทศที่มีธรรมชาติสวยงาม บางคนรู้จักแต่ฟุตบอลบราซิล ส่วนบางคนก็สนใจเรื่องดนตรีและเสียงเพลงอันมีเอกลักษณ์ หลายคนสนใจว่าบราซิลเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจทั้งที่จริงๆแล้วก็ยังยากจนและอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ฟังดูแล้วเหมือนจะมีทุกอย่างอยู่ในตัวเอง ช่างเป็นประเทศที่น่าสนใจชวนให้อยากรู้อยากเห็น
ฉั้นเขียนเกี่ยวกับบราซิลไว้หลายโพสต์ บ่นไปเรื่อยเปื่อยตามประสา(คนแก่อยากระบาย อุ๊บส์ >.< )!! การมาอยู่บราซิล ถ้าให้พูดอย่างไม่โกหก ขอบอกว่ายิ่งอยู่ยิ่งอยากจะกลับเมืองไทยทุกวัน!! เพราะพูดคุยกับใครก็ไม่ได้ ฟังเค้าคุยกันก็ไม่รู้เรื่อง ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวที่มันน่าปวดหัวและไม่น่าดึงดูดใจซึ่งก็ต้องอาศัยการปรับตัวปรับใจกันสาหัส แต่บางคนก็อาจหลงรักบราซิลเข้าอย่างจังนะ คงขึ้นอยู่กับมุมมองของชีวิตแต่ละคนจริงๆ และอยู่ที่จะเจอะเจอกับสภาพแวดล้อมใกล้ตัวยังไงด้วย
มีหลายอย่างเกี่ยวกับบราซิลที่ถ้าไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองคงไม่มีทางรู้ บราซิลได้รับอิทธิพลโดยตรงจากอเมริกาและประเทศแถบยุโรปที่นอกเหนือจากด้านเชื้อชาติและเผ่าพันธ์ุแล้ว วัฒนธรรมของบราซิลก็เหมือน 'ฝรั่ง' ทั่วไปนั่นแหละ พวกเค้าไม่มีความแตกต่างด้านวัยวุฒิ เด็กไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใหญ่ ไม่ว่ากับพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ การเปิดเผยเรื่องเรือนร่างและเรื่องเพศสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ การแสดงออกทางอารมณ์ก็ถือเป็นเรื่องปกติ คำเล่าลือว่าลูกสะใภ้กับแม่ผัวมักเป็นศตรูกันเหมือนในละครน้ำเน่านั้นจึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง เพราะผู้หญิงบราซิลจะไม่อ่อนหวานและไม่เอาอกเอาใจใคร บางคนถึงขั้นอารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิดฉุนเฉียวด้วย ผู้ชายบราซิลบางคนอาจเจ้าชู้แบบไม่เก็บอาการ เพราะสื่อหลายสื่อที่นี่ช่างชอบยั่วยุปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศกันมาก มี Sex Shop อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่น้อยกว่า Motel ที่คล้ายม่านรูดบ้านเรา ได้ยินว่าตกแต่งอย่างแฟนตาซี คนไปใช้บริการมากมาย หนังสือโป๊หลายต่อหลายฉบับถูกวางขายหน้าร้านหนังสืออย่างสะดุดตายิ่งกว่าหนังสือพิมพ์รายวันซะอีก รายการทีวีที่นี่สามารถฉายอะไรก็ได้แบบ 'Uncensored' ทั้งหนังทั้งละคร ทั่งรายการวาไรตี้ ชอบมีโชว์อกตู้มและบั้นท้ายของสาวๆขนาดเบ้อเริ่มเทิ่มในบิกีนี่ไซส์เด็กให้เห็นเป็นประจำ!! -_-' หนุ่มๆดูแล้วคงมีความสุขจนน้ำลายไหลย้อย ส่วนสาวๆหลายคนเลยมีความเชื่อว่าความเซ็กซี่คือความงามที่แท้จริง วัฒนธรรมการทักทายของที่นี่ก็เป็นการกอดและจูบกันจ๊วบจ๊าบ...ซึ่งก็ดูเป็นมิตร(สนิทแนบ)ดีแท้!
ปัญหาหย่าร้างมีให้เห็นอยู่ใกล้ๆตัว คงด้วยหลายๆสาเหตุที่ว่ามาด้วย แต่เค้าว่าเวลาหย่าร้่างภรรยาจะได้ทรัพย์สินของสามีครึ่งหนึ่งตามกฏหมายหย่าพร้อมกับค่าเลี้ยงดูลูกๆจากสามีทุกเดือน จึงได้ยินมาว่ามีไม่น้อยที่ผู้หญิงใช้เป็นทางอ้อมในการหาเงินเข้ากระเป๋า จริงรึป่าว ไม่รู้!! เด็กๆที่นี่จะเคยชินกับปาร์ตี้วันเกิดอันใหญ่โตกันตั้งแต่ 2 ขวบ ยังไม่ทันรู้อิโหน่อิเหน่เลย จนกระทั้งอายุครบ 15 เป็นธรรมเนียมว่าเด็กผู้หญิงจะต้องมีงานวันเกิดที่จัดอย่างอลังการ...แบบว่าต้องใส่ 'ชุดราตรี' ไปงานกันเลยว่างั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่ออะไร!! โรงเรียนที่บราซิลจะไม่มีกฏระเบียบอะไรมากมาย ไม่มียูนิฟอร์ม จะใส่อะไรไปเรียนก็ได้ จะแต่งหน้า ทาปาก ทำผม ทำเล็บ ได้ทั้งนั้น แข่งกันสุดฤิทธ์ การเรียนการสอนมีเพียงแค่ครึ่งวัน (ไม่รู้ครึ่งวันที่เหลือจะมีซักกี่คนที่กลับบ้านอ่านหนังสือ เข้าห้องสมุด หรือเรียนพิเศษ) การกอดจูบที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวก็จะเห็นพวกเค้านั่งกอดจูดกันอย่างประเจิดประเจ้อ ใครไม่เคยจูบหรือจูบไม่เป็นถือเป็นเรื่องน่าอาย ปัญหาขาดแคลนแรงงานครูอาจารย์ก็มีมากขึ้น ไหนจะปัญหายาเสพติดอีก พ่อแม่ที่ดีเลยต้องเหนื่อยหนักเพื่อคอยเฝ้าระวังเรื่องพวกนี้ น่าเห็นใจจริงๆ!!
ปัญหาหย่าร้างมีให้เห็นอยู่ใกล้ๆตัว คงด้วยหลายๆสาเหตุที่ว่ามาด้วย แต่เค้าว่าเวลาหย่าร้่างภรรยาจะได้ทรัพย์สินของสามีครึ่งหนึ่งตามกฏหมายหย่าพร้อมกับค่าเลี้ยงดูลูกๆจากสามีทุกเดือน จึงได้ยินมาว่ามีไม่น้อยที่ผู้หญิงใช้เป็นทางอ้อมในการหาเงินเข้ากระเป๋า จริงรึป่าว ไม่รู้!! เด็กๆที่นี่จะเคยชินกับปาร์ตี้วันเกิดอันใหญ่โตกันตั้งแต่ 2 ขวบ ยังไม่ทันรู้อิโหน่อิเหน่เลย จนกระทั้งอายุครบ 15 เป็นธรรมเนียมว่าเด็กผู้หญิงจะต้องมีงานวันเกิดที่จัดอย่างอลังการ...แบบว่าต้องใส่ 'ชุดราตรี' ไปงานกันเลยว่างั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่ออะไร!! โรงเรียนที่บราซิลจะไม่มีกฏระเบียบอะไรมากมาย ไม่มียูนิฟอร์ม จะใส่อะไรไปเรียนก็ได้ จะแต่งหน้า ทาปาก ทำผม ทำเล็บ ได้ทั้งนั้น แข่งกันสุดฤิทธ์ การเรียนการสอนมีเพียงแค่ครึ่งวัน (ไม่รู้ครึ่งวันที่เหลือจะมีซักกี่คนที่กลับบ้านอ่านหนังสือ เข้าห้องสมุด หรือเรียนพิเศษ) การกอดจูบที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวก็จะเห็นพวกเค้านั่งกอดจูดกันอย่างประเจิดประเจ้อ ใครไม่เคยจูบหรือจูบไม่เป็นถือเป็นเรื่องน่าอาย ปัญหาขาดแคลนแรงงานครูอาจารย์ก็มีมากขึ้น ไหนจะปัญหายาเสพติดอีก พ่อแม่ที่ดีเลยต้องเหนื่อยหนักเพื่อคอยเฝ้าระวังเรื่องพวกนี้ น่าเห็นใจจริงๆ!!
ฉั้นอยากจะเรียกที่นี่ว่าเป็น Free Country หรือประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบ Free Style นะ เพราะมีความอิสระทางการพูด การแสดงออก ไม่มีคำสอนหรือการปลูกฝังอะไรที่เน้นการเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจ คนส่วนใหญ่อยากทำอะไรก็ทำ คนที่นี่ถ้าไม่อยู่โหมดปกป้องระวังภัย คือ ระวังตัวเองตลอดเวลา ไม่เที่ยวไม่ดื่ม จริงจังและซีเรียสกับการใช้ชีวิต ทำงานหนัก ขยันขันแข็ง รักและหวงแหนครอบครัวมาก ไม่ยอมเป็นมิตรกับใครง่ายๆ ตั้งการ์ดอยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะก็ ก็จะเป็นคนประเภทสบายๆไปเลย มีความสุขไปเรื่อยๆกับความบันเทิงเริงรมย์ การดื่ม การเที่ยว การร้องรำทำเพลงแบบเต็มเหนี่ยว ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายทั้งสองโหมดเรียกว่าอยู่คนละขั้วเลยทีเดียว เรื่องการเปิดเผยทางความรู้สึกและอารมณ์เนี่ย ก็ทำให้เห็นบ่อยเหมือนกันที่ผู้คนอาจทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น ขับรถโฉบเฉี่ยวกันบนท้องถนนก็โมโหฉุนเฉียวจริงจัง ข่าวฆาตกรรมเลยมีให้ดูทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ผู้หญิงที่นี่ถ้ามีเงินจะใช้เงินไม่อั้นไปกับการช้อปปิ้ง คนรวยบางคนจึงประโคมใส่เครื่องประดับของมีค่า โดยเฉพาะนาฬิกาเรือนโตๆยี่ห้อแพงๆเนี่ย ชอบมาก เพื่อบ่งบอกความร่ำรวยและแสดงให้เห็นถึงฐานะทางการเงิน ไม่แปลกใจที่การปล้น การจับเรียกค่าไถ่ หรือการขโมยของจึงเกิดขึ้นเป็นประจำ แถมคนพวกนี้จะพยามวางตัว เหมือนในละครไทยเปี๊ยบ ชอบแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม ทำเล็บ เข้าร้านเสริมสวย และดูถูกพวกคนที่มีสตังค์น้อย ส่วนคนมีสตังค์น้อยที่ว่าส่วนใหญ่อาจจะทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด เลี้ยงเด็ก รับทำเล็บ ฯลฯ เพราะความอิสระทางสังคม จึงเห็นผู้คนตะโกนข้ามหัวกันก็ได้ เอาเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะเวลาคุยกันก็ได้ ใส่รองเท้าเดินในบ้านก็ได้ เพราะเค้าไม่เคารพยำเกรงกัน จะไปไหน จะทำอะไรจึงต้องระวังตัวไว้ก่อน เช่น ตามร้านอาหาร ก็ไม่ควรวางกระเป๋าให้ห่างสายตา บางร้านมีสายล็อกกระเป๋าติดไว้ที่เก้าอี้ให้ด้วย! หรือตามห้างฯ ออฟฟิศ คอนโดที่พักอาศัย ระบบรักษาความปลอดภัยแต่ละที่ก็ดูแน่นหนา(ซะจนรู้สึกไม่ปลอดภัย) แถมกล้องวงจรปิดตามถนนหนทาง ตามตรอก ซอก ซอย มีความสำคัญมาก เพราะเวลามีเหตุร้ายเกิดก็จะได้หลักฐานจากกล้องวงจรปิดนี่ล่ะบ่อยมาก ขโมยขโจรที่นี้ก็ล้ำหน้าถึงขนาดระเบิดตู้ ATM เพื่อขโมยเงินในตู้กันแล้ว!!
ประเทศบราซิลเป็นประเทศใหญ่ จำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 5 ของโลก มีทรัพยากรธรรมชาติของตัวเองมากมาย มีทั้งน้ำมันดิบ ทั้งปลูกข้าว ทั้งเลี้ยงวัว ทั้งเหมืองแร่ ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งกาแฟชั้นดี ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันเกือบครึ่งของประเทศก็ยังเป็นคนจน ไม่มีความรู้ รายได้น้อย ความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมากมายอยู่ตามชุมชนแออัด สิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ระบบการคมนาคม ถนนหนทาง การจราจร ก็ยังล้าหลังอยู่ ค่าเงิน Reais ถึงแม้แข็งแรง แต่ถ้าเทียบกับค่าภาษีสูงลิ่วและข้าวของที่แพงโคตะระแล้ว คนเลยไม่อยากจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย(แม้จะมีการคืนภาษีให้ตอนสิ้นปีก็เถอะ) แถมมีการนัดหยุดงานกันบ่อยๆ ระบบขนส่งมวลชนมั่ง คนขับรถไฟใต้ดินและคนขับรถเมล์มั่ง ช่วงนี้ก็พนักงานธนาคารและไปรษณีย์ นัดกัน Strike เรียกร้องขอขึ้นเงินเดือน บริษัทจะไล่ออกซะเลยก็ไม่ได้ เพราะกฏหมายคุ้มครองแรงงานที่นี่ระบุว่า ถ้าจะไล่ใครออกต้องจ่ายค่าชดเชย(ได้ยินว่าคุ้มแสนคุ้มสำหรับการตกงานซักพักใหญ่ๆ) แถมกฏหมายใหม่ระบุเพิ่มต้องแจ้งล่วงหน้าให้ท่านลูกจ้างที่เคารพทราบอย่างน้อย 3 เดือนด้วยอ่ะ! แต่ใครที่มีเงินเดือนเยอะๆก็กลับไม่อยากช้อปปิ้งในบราซิลกันนะ บินไปช้อปเมืองนอกเมืองนา อเมริกา ยุโรปกันดีกว่า เพราะค่าภาษีสินค้าในบราซิลก็สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดไปเที่ยวอเมริกาได้สบายๆ ไปอเมริกาซื้อข้าวของ คุณภาพดี ราคาถูกกว่าที่นี่ตั้งเยอะ คุ้มกว่าเป็นไหนๆ
แม้การมาท่องเที่ยวในบราซิลจะยังพอมีความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจอยู่มากโดยเฉพาะธรรมชาติอันงดงามอย่างป่าเขาลำเนาไพร เช่น ป่าดงดิบ Amazon ทางตอนเหนือของบราซิล หรือน้ำตกขนาดยักษ์ Iguazu ที่ขั้นระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน บราซิลและอาร์เจนติน่า หรือแม้แต่ทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลมและบิกินี่ อย่าง Rio de Janeiro, Florianopolis, Guaruja ฯลฯ แต่เพราะช่วงวันหยุดและวันแดดออก คนจะแห่กันไปเที่ยวจนแน่นขนัด การจราจรติดแหง่กอีก ไปแย่งแดด แย่งผืนทราย และแย่งอากาศกันหายใจอยู่บนชายหาด ฮืมมม...เปลี่ยนใจมั้ย?
อีกเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องภาษา คนไทยอย่างเรานอกจากจะต้องทนทรมานใจกับเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างแล้ว ภาษาอังกฤษที่ถึงพูดได้คล่องหรือใช้งานได้ดีก็แทบไม่มีประโยชน์ เพราะการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันที่นี่ดูเหมือนจะเป็นศูนย์ "0" พวกเค้าไม่รู้ภาษาอังกฤษและพยายามจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษให้ปวดหัว(กบาล)ด้วย หากจำเป็นต้องสื่อสารก็ต้องแถภาษาโปรตุกีซแบบ snakeๆfishๆ ไปเลย (ถ้าสามารถ!) ไม่ต้องถามใครให้เสียเวลาว่า "คุณพูดภาษาอังกฤษมั้ย? - Você fala Inglês?" ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆก็ค่อยเฉลยว่าจริงๆแล้ว "เราพูดภาษาโปรตุกีซได้นิดหน่อย - Eu falo um pouco de Português!" แต่พอเฉลยแล้วพวกเค้าอาจเดินหนีไปเลยก็ได้ เจอบ่อย!! หรือเค้าอาจจะถามเราต่อว่า แล้วเราพูดภาษาอะไร อังกฤษหรือสแปนิช อันนี้ก็เจอบ่อยเหมือนกัน!!
เออ....บ่นมากก็เหนื่อย!! เอาเป็นว่าใครที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ถาวรก็คงต้องปรับตัวให้ได้ อาจจะมีความสุขไปกับงานรื่นเริง วันหยุดนักขัตฤกษ์ กิน ดื่ม เที่ยว เต้นรำ ไปตามประสา หรือไม่ก็อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปหน่อย ก็จะมีชีวิตที่สงบๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ส่วนฉั้น ไม่หวังจะอยู่ที่นี่ถาวร เลยยังปรับใจไม่ได้ซักที อยู่มาก็ครบปีแล้ว ดูข่าวสารมากก็เครียด ดูละครมากก็เอียน ดูรายการทีวีมากก็กลุ้ม ไปไหนมาไหนก็ที่เดิมๆบ่อยเข้าก็เบื่อ จะให้ดูบอลทั้งวี่ทั้งวันก็คงไม่ไหว ก็เลยต้องหาอะไรทำให้มันยุ่งๆเข้าไว้ ทำไงได้ล่ะ ยุบหนอ พองหนอ!! อย่างงี้ไง...ฉั้นถึงได้คิดถึงบ้านไม่เลิกซักกะที :-(
เออ....บ่นมากก็เหนื่อย!! เอาเป็นว่าใครที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ถาวรก็คงต้องปรับตัวให้ได้ อาจจะมีความสุขไปกับงานรื่นเริง วันหยุดนักขัตฤกษ์ กิน ดื่ม เที่ยว เต้นรำ ไปตามประสา หรือไม่ก็อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปหน่อย ก็จะมีชีวิตที่สงบๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ส่วนฉั้น ไม่หวังจะอยู่ที่นี่ถาวร เลยยังปรับใจไม่ได้ซักที อยู่มาก็ครบปีแล้ว ดูข่าวสารมากก็เครียด ดูละครมากก็เอียน ดูรายการทีวีมากก็กลุ้ม ไปไหนมาไหนก็ที่เดิมๆบ่อยเข้าก็เบื่อ จะให้ดูบอลทั้งวี่ทั้งวันก็คงไม่ไหว ก็เลยต้องหาอะไรทำให้มันยุ่งๆเข้าไว้ ทำไงได้ล่ะ ยุบหนอ พองหนอ!! อย่างงี้ไง...ฉั้นถึงได้คิดถึงบ้านไม่เลิกซักกะที :-(