มีหลายคนมาสนใจมาเยือน เมือง เซาเปาโล ประเทศบราซิล อืม..ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า Welcome to Brazil!! คุณคือผู้โชคดีที่ได้มีโอกาสมาเยือนบราซิล เราขอยกนิ้วให้กับความกล้าหาญ!! >.<' เพราะการตัดสินใจมาที่นี่ นอกจากค่าเครื่องบินที่แพงหูฉี่แล้ว ยังใช้เวลาเป็นวันอีกต่างหากกว่าจะมาถึง และมีไม่กี่เส้นทางที่จะมาได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมาต่อเครื่องที่ยุโรป ตะวันออกกลาง หรือ อาฟริกา ยังไงก็ตาม ขอให้เตรียมตัวให้พร้อม ดื่มน้ำเยอะๆเพื่อป้องกันอาการ jet lag และพร้อมสำหรับการนั่งเครื่องบินเที่ยวละประมาณ 8-12 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
แม้ฉั้นจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไร แต่ก็อยากเล่าให้ฟังจากประสบการณ์ส่วนตัวของการมาอยู่และมาเที่ยว ซึ่งก็หวังว่ามันคงพอเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อยากมาเที่ยวที่บราซิลบ้้าง ซึ่งต้องขอบคุณหลายๆคนที่ฝากคำถามไว้ในอีเมลล์ ทำให้ฉั้นเองตระหนักยิ่งกว่าเดิมว่าการมาเที่ยวที่เซาเปาโลหรือการมาทำภาระกิจที่นี่ ช่างแตกต่างจากการท่องเที่ยวในเมืองอื่นๆประเทศอื่นๆเอาซะจริง ในความคิดส่วนตัวของฉั้น เมื่อมาถึงแล้วจะพบว่ามีสิ่งที่ต้องทำใจอยู่หลายอย่าง ทั้งภาวะ "Culture Shock" เพราะสังคมคนบราซิล มีอิสระทางการพูด การแสดงออก ซึ่งแตกต่างกับคนไทยและวัฒนธรรมไทยมาก
เซาเปาโลเป็นเมืองธุรกิจที่สำคัญเมืองหนึ่งของบราซิลที่มีผลต่อเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศ เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ เช่น ริโอ เดอ จาเนยโร ผู้คนในเซาเปาโล จะค่อนข้างถือว่าเป็นคนทำมาหากิน จริงจัง เคร่งเครียด และทำงานหนัก แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นคนสบายๆ ขี้เล่น เป็นมิตร และยิ้มแย้มแจ่มใส แต่อย่าเพิ่งวางใจ เพราะหนุ่มๆที่นี่ค่อนข้างเจ้าชู้ และ สาวๆที่นี่ค่อยข้างอารมณ์ร้อน ที่ชัดเจนที่สุดคือ คนบราซิลจะตรงไปตรงมา ตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่อ่อนน้อมหรือขี้เกรงใจใคร ความแตกต่างระหว่างคนมีตังค์กะคนระดับล่างจะต่างกันมาก ทั้งรูปร่าง หน้าตา ลักษณะท่าทาง นิสัยใจคอ รวมทั้งความเป็นอยู่ (แต่จะว่าไปก็เหมือนในสังคมไทยแหละ)
ตอนนี้ภาวะ "เงินเฟ้อ" ก็กำลังระบาด ไม่รู้ว่าผลมาจากการคอร์รัปชั่น หรือ อยากให้สังคมแตกต่างมากขึ้นอีกกันแน่ เพราะราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆ ระบบการคมนาคมก็ไม่ค่อยจะทันสมัย ไม่มีรถไฟฟ้า และก็ไม่เห็นมีทางด่วนซักกะเส้น เห็นแต่รถติดกระหน่ำทุกวันช่วงเวลาเร่งด่วน(Rush hour) ซึ่งยิ่งรถติดมากกลับเห็นผู้คนยิ่งซื้อรถส่วนตัวมาใช้้เพิ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงกฏ "โฮจิซีโอ้" ที่กำหนดให้รถบางเลขทะเบียนห้ามวิ่งในช่วงวันและเวลาเร่งด่วน และเพื่อเลี่ยงการต้องไปใช้ระบบขนส่งมวลชนที่แน่นขนัดไม่ค่อยจะปลอดภัยและไม่สะดวกสบายซักเท่าไรอย่างรถไฟใต้ดินและรถเมล์ ส่วนแท๊กซี่ที่แม้จะปลอดภัยกว่าแต่ค่าโดยสารแพงหูฉี่ ระหว่างเมืองแต่ละเมืองในบราซิลไม่มีรถไฟให้โดยสาร มีรถทัวร์และเครื่องบิน แต่คนเซาเปาโลส่วนใหญ่มักใช้รถส่วนตัว และขับรถออกนอกเมืองไปเที่ยวชายหาดใกล้ๆกันเกือบหมดในช่วงวันหยุดยาวๆ ทิ้งให้เซาเปาโลเงียบกริบกันเลยทีเดียวเพราะในเมืองไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจมากมาย นอกจากเดินเล่นห้างนู้นห้างนี้กันไป
การดูแลตัวเองเมื่อมาใช้เวลาอยู่ที่นี่ การระมัดระวังตัวถือเป็นเรื่องสำคัญ เช่นการไม่เดินไปไหนมาไหนคนเดียวในช่วงกลางค่ำกลางคืน การไม่พกเงินสดเยอะๆ การขับรถเองที่นี่ถือเป็นเรื่องที่ยาก เพราะถนนหนทางไม่มีป้ายภาษาอังกฤษและผู้คนไม่พูดภาษาอังกฤษ ไม่่ค่อยมียูเทิร์นให้กลับรถ รถราก็ไม่ค่อยจอดให้คนข้าม ค่าที่จอดรถก็แพง แถมหากไปจอดในที่ที่ไม่แน่ใจว่าปลอดภัยรึป่าวและรถไม่มีสัญญาณกันขโมยหรือกระจกติดฟิล์มที่แน่นหนา อาจต้องระวัง เพราะดีไม่ดีกลับมาอีกทีกระจกอาจโบ๋และข้าวของในรถอาจหายไปหน้าตาเฉย อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
เรื่องอากาศ ที่นี่ก็มีร้อน ฝน หนาว แต่ถ้าพูดให้หรูก็มี Spring, Summer, Autumn, Winter (หรูมั้ย หรูยัง?!) เราขอเริ่มจากช่วง Autumn เพราะเป็นช่วงที่ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งฉั้นชอบอากาศช่วงนี้มาก ว่าไปใบไม้ก็ไม่ได้ร่วงอะไรหรอก แต่อากาศจะเริ่มเย็นขึ้น อุณภูมิอยู่ประมาณ 15-25 องศา ช่วงประมาณเดือน เมษา-มิถุนา ตามมาด้วยฤดูหนาวซึ่งก็หนาวเหน็บได้ใจ แต่แปลก...ที่อากาศที่เซา เปาโล เปลี่ยนแปลงขึ้นลงสลับไปมา เดี๋ยวก็เย็นจัด แล้วก็ฝนตกเล็กน้อย แล้วเดี๋ยวก็อุ่นขึ้นหน่อย ไม่นานก็กลับมาเย็นจัดอีกละ ดูไม่ค่อยคงที(เหมือนอารมณ์คนซะจริง!!^^) ฤดูหนาวอยู่ช่วงประมาณ กรกฎา-กันยา อุณหภูมิประมาณ 12-20 องศา (ทางใต้ของบราซิลเท่านั้นที่จะหนาวจัดจนเป็นน้ำแข็ง แต่ไม่ถึงขั้นมีหิมะนะ) จากนั้นก็เข้าสู่ช่วง Spring หรือฤดูใบไม้ผลิ คือประมาณ ตุลา-ธันวา ก็็อีกล่ะ..ใบไม้ไม่ได้ผลิอะไรหร้อก เพียงแต่อากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้นตามลำดับเพื่อเตรียมตัวต้อนรับหน้าร้อนที่ทุกคนรอคอย แต่ที่แย่หน่อยคือช่วงต้นปีจะตามมาด้วยฝนตก โดยเฉพาะปลายธันวา-ต้นมกรา ฝนอาจตกหนักถึงขั้นน้ำท่วมดินถล่มกันเลยทีเดียว ก็ต้องระวัง!! ช่วง มกรา-มีนา อากาศจะร้อนเอาการ ดังนั้น การเตรียมเสื้อผ้าเพื่อมาที่นี่ก็เน้นที่เสื้อผ้าใส่สบายๆก็เพียงพอ ในหน้าร้อนก็ใส่น้อยชิ้นได้ ในหน้าหนาวก็เพิ่มจำนวนชิ้นเข้าไปหน่อย เสื้อกันหนาวก็ไม่ต้องถึงกับต้องเตรียมเสื้อขนสัตว์หนาๆหรือรองเท้าบูตยาวถึงน่องอะไรให้ยุ่งยาก เพราะใน เซา เปาโล ไม่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเกินไป ถือว่าอากาศดี กำลังสบายๆ
เรื่องการติดต่อสื่อสาร หากมาที่นี่แค่ไม่นาน การเปิดโรมมิ่งบนมือถือก็ใช้ได้ เพียงแต่อัตราค่าโทรคงแพงหน่อย (เช็คให้ดีก่อนมา) แต่หากมี Skype ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการโทรผ่านเน็ทหรือ Voice over IP แค่ Download Skype ลงเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วก็เปิด account เพื่อซื้อ Package ค่าโทรต่างประเทศตามโปรโมชั่นที่ถูกใจ ก็โทรกลับเมืองไทยผ่านเน็ทได้สบายๆนาทีละไม่เกิน 90cent เห็นจะได้ หรือซื้อแบบรายเดือนก็ไม่กี่ USD เท่านั้น แถมจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้อีกด้วย เพียงแต่ต้องมีอินเตอร์เน็ทใช้ แต่หากอยู่นาน ต้องการใช้มือถือ ที่นี่ก็มีหลาย Operator เช่น TIM, VIVO, Claro, Oi เป็นต้น มีทั้ง Package แบบรายเดือนและเติมเงิน แต่การซื้อเบอร์ใหม่ ต้องไปสมัครและกรอกแบบฟอร์มที่เคาน์เตอร์(ตามห้างฯ) ยุ่งยากหน่อยเพราะใช้เอกสารบางอย่าง(ที่นักท่องเที่ยวไม่มี)และก็เป็นภาษาโปรตุเกสเท่านั้น! แต่หากเปิดบริการได้แล้วการเติมเงินก็สามารถเติมได้ตามร้านค้าหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป หรือเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า
การมาคนเดียว ควรจองโรงแรมและนัดคนมารับให้เรียบร้อย ไม่แนะนำให้มาแบบ Bag Packing เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว หากมาติดต่อธรุกิจก็ควรหาที่พักที่ใกล้ๆกับบริษัทที่มาติดต่อเอาแบบเดินถึงกันได้จะดีมาก จะได้สะดวกและประหยัดค่าแท๊กซี่ที่แพงใช่ย่อย
เรื่องไฟฟ้าที่นี่ เค้าใช้ไฟประมาณ 110V-120V กำลังจะน้อยกว่าของเราครึ่งนึง ซึ่งเต้าเสียบจะมีทั้งแบบสองรูและสามรู จะใช้ได้กับปลั๊กสองขาแบบขาแบนๆของเรา แต่ถ้าเป็นปลั๊กสองขาหรือสามขาชนิดขากลมๆนี่ส่วนใหญ่ขาเราจะกลมและใหญ่กว่ารูเค้าจะเสียบไม่เข้า แต่ถ้าขากลมแต่ขาเล็กก็พอเสียบได้(เอ๊ะ..ฟังดูยังไงยังไง!!) ดังนั้นต้องเตรียม Adapter แบบขาแบนมาดีที่สุด แต่ล่าสุดดันมีสามรูแบบใหม่ออกมา ถ้าโชคไม่ดี ไปเจอสามรูรุ่นใหม่จะไซส์เท่ารูยุโรป ถ้าไม่มี Adapter แบบ International ติดมาด้วย ก็คงต้องรูใครรูมัน เอ้ย ตัวใครตัวมันล่ะคราวนี้!!
เรื่องภาษาโปรตุเกสพื้นฐานที่ควรรู้แบบฉบับย้อย่อ...
Bondia-บงเจีย(สวัสดีตอนเช้า), Boa tarde-บัวตาฮาจิ(สวัสดีตอนบ่าย), Boa noite-บัวน้อยจิ(สวัสดีตอนค่ำ หรือ ราตรีสวัส), Tu do bem?-ตูโดเบง(สบายดีมั้ยหรือเป็นยังไงบ้าง), Obrigado-โอบริกาโด้(ขอบคุณครับ), Obrigada-โอบริกาด้า(ขอบคุณค่ะ) Tabon-ต๊ะบง (OK), Ate logo-อาแต ลอกุ (ลาก่อน), tchau tchau-เชาๆ(บ๊ายบาย) ^^
เรื่องการแลกเปลี่ยนเงิน ที่นี่ไม่มีเงินสกุล THB (ไทยบาท) ดังนั้นต้องแลกเงินสกุล USD มาก่อน แล้วมาแลกเป็น Reais ที่นี่ ซึ่ง Banks&Exchange ก็มีหลายที่ แต่แนะนำ Citibank กับ HSBC และถ้าให้สะดวกก็ควรแลกจากใน Airport ชั้น Arrival Floor เพราะแลกตามห้างฯกับแถวย่านธุรกิจอย่าง ถ.เปาลิสต้า จะหายากและค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง หรือตามโรงแรมดีๆบางแห่งก็มีให้แลก ประเภทบัตรเครดิตแบบกดเงินสดจาก ATM ที่ใช้ในตปท.ได้ก็สามารถใช้ได้ หรือจะใช้จ่ายด้วยบัตร visa หรือ mastercard ที่ใช้ในตปท.ได้ ก็ใช้ได้เหมือนกัน **เพียงแต่อย่าชะล่าใจ ต้องเช็คดีๆเพราะอาจไม่ทุกที่ที่จะรับ**
หากใครต้องการซื้อของฝากกลับบ้าน อืมม..ที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวซะด้วย เลยไม่ค่อยมีของ Souvenir หรือของฝาก แม้แหล่งช้อปปิ้งจะมีเยอะแต่ก็แพงใช่ย่อย แต่ถ้าจะซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆที่มีสัญลักษณ์ประเทศบราซิลคงหนีไม่พ้นใน Duty Free แอร์พอร์ตหรือไม่ก็ลองอ่านในโพสต์ Shopping in Sao Paulo... ดูก่อน เผื่อจะเป็นประโยชน์
ในเรื่องของวีซ่า เพราะการมาเที่ยวบราซิลสำหรับคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่า แต่หากมีภาระกิจต้องอยู่ที่บราซิลนานกว่า 90 วัน(ตาม Valid date ของวีซ่านักท่องเที่ยว) ก็จะต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง ในการณ์นี้ขอแนะนำให้สอบถามจากสถานทูตบราซิลในประเทศไทยมาก่อนจะดีกว่า เพราะจะง่ายกว่ามาดำเนินการที่นี่..แบบว่าง่ายกว่ามากมายก่ายกองจนไม่รู้จะบรรยายยังไงอ่ะ...เพลีย!! -_-'
การขอวีซ่าเพื่ออยู่นานๆมากกว่า 3 เดือนหรืออยู่ถาวร ไม่แนะนำให้มาดำเนินการที่นี่เลยจริงๆ เพราะชาวต่างชาติอย่างเราไม่ชำนาญด้านภาษา และไม่รู้ขั้นตอนการทำงานของหน่วยงานราชการที่นี่ และจำเป็นต้องจ้างเอเจนซี่ดำเนินการให้ซึ่งค่าใช้จ่ายก็แพงมาก แถมไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ สำหรับวีซ่าอยู่ถาวรอย่างต่ำต้องรอประมาณ 6 เดือนในการขออนุมัติ บางคนรอเป็นปียังไม่ได้วีซ่าตัวจริงเลย ได้มาแค่แสตมป์ในพาสปอร์ตพร้อมกับข้อความภาษาโปรตุกีซระบุว่าสามารถอยู่ได้ถาวร ส่วนวีซ่าตัวจริงที่ว่า ทางกรมตำรวจ หรือ Policia Federal จะเป็นผู้อนุมัติและลงทะเบียนให้ ซึ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าจะได้เมื่อไรและมันหน้าตาเป็นยังไง! สรุปว่า บางคนรอเป็นปีจนเผลอๆย้ายออกไปจากประเทศกลับบ้านกลัับช่องของตัวเองไปแล้ว ยังไม่ได้วีซ่าตัวจริงเลย! ส่วนเอกสารทีี่ต้องใช้ก็ต้องแปลเป็นภาษาโปรตุกีซด้วยนะ แต่ถ้าจะป้องกันความสับสน เพราะคนบราซิลไม่รู้ภาษาไทยและคนไทยไม่รู้ภาษาโปรตุกีซ เอกสารก็ควรจะแปลเป็นภาษาอังกฤษเผื่อไว้อีกฉบับ เรียกว่า 'กันเหนียว' เอกสารทุกอย่างต้องผ่านการรับรองความถูกต้องจากทั้งกระทรวงการต่างประเทศของไทยและสถานทูตไทยในบราซิล แถมเอกสารบางอย่างที่ออกในประเทศไทยก็ต้องผ่านการรับรองจากสถานทูตบราซิลในไทยอีกด้วย ยุ่งยากดีมั้ย ซึ่งกระบวนการขั้นตอนที่ว่าทั้งหมดก็ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายการในการเตรียมการมากมายหลายอย่างจนน่าปวดหัว ซึ่งขอเล่าต่อในโพสต์ถัดไปแล้วกัน ตอนนี้ขอไปกินพาราเซตามอลก่อน หุ หุ!!