พอชีวิตมันเปลี่ยน Topic ในแต่ละโพสต์ หลังๆเลยเปลี่ยนไปด้วยเลย! ^^ ก็ตอนนี้กลายเป็นแม่คนแล้ว ใจคอเลยมีแต่ลูก ลูก ลูก แล้วก็ลูก!!
ฉั้นเลี้ยงลูกเอง คนเดียว ทุกวัน ตลอด 24 ชม. การมีลูกเป็นลูกเสี้ยว แล้วมาเกิดในต่างแดนแบบนี้ อะไรมันก็แปลกแตกต่างไปหมดเมื่อเทียบการการเลี้ยงดูแบบไทยๆหรือแบบที่ฉั้นเกิดและเติบโตมา เรื่องอาหารการกิน เรื่องการเลี้ยงดู เรื่องการใช้ชีวิต สิ่งที่ยากคือ การเป็นครอบครัวเดียวกันในขณะที่คนเป็นพ่อก็เติบโตมาอีกแบบ ฉั้นซึ่งเป็นแม่ก็เติบโตมาอีกแบบ จึงต้องเลือกและเรียนรู้ว่าการเลี้ยงดูแบบไหนที่มันจะเหมาะและดีที่สุดต่อลูก มันไม่ง่ายเพราะเราเป็นแม่ไทยในเมืองฝรั่ง จะเลี้ยงลูกแบบที่แม่เราเลี้ยงเราก็ไม่ดี จะเลี้ยงแบบฝรั่งจ๋าอย่างที่แม่เค้าเลี้ยงเค้าก็ไม่ได้ เพราะความแตกต่างตรงนี้แหละทำให้ฉั้นต้องศึกษาจากสื่อต่างๆมากมาย ทั้งหนังสือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ทั้งจากอินเตอร์เน็ต ทั้งจากหมอ บางอย่างเห็นด้วย บางอย่างไม่เห็นด้วย ต้องเรียนรู้และทดลอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ 'ลูก' ถ้าสิ่งที่ทำแล้วเค้าไม่ต่อต้าน ทำแล้วเค้ายังมีความสุข เติบโต แข็งแรง สำหรับฉั้น นั่นล่ะคือสิ่งที่เวิร์คที่สุด
เลี้ยงแบบฝรั่งเลี้ยงยังไง
เท่าที่สังเกตุ ฝรั่งเค้าจะเน้นเรื่องมารยาทและระเบียบวินัยนะ เพราะสังคมมันอยู่กับการแข่งขันกันมาก อาจไม่ทุกครอบครัวหรอกที่จะมารยาทดีและมีระเบียบวินัย เพราะพวกฝรั่งเองเค้าก็เลี้ยงแบบลองผิดลองถูกเหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่ฉั้นไม่เห็นว่าเค้าจะเน้นเรื่องแสดงความรัก ความอ่อนโยน หรือเน้นเรื่องพื้นฐานจิตใจอะไรมาก แต่จะเน้นว่าลูกต้องเก่ง ต้องแกร่ง ต้องสู้คนอื่นเค้าได้หรือต้องดีกว่าคนอื่นอะไรอย่างงั้น หลักๆก็เลยจะประมาณนี้
เรื่องการกิน
เลี้ยงแบบฝรั่งเลี้ยงยังไง
เท่าที่สังเกตุ ฝรั่งเค้าจะเน้นเรื่องมารยาทและระเบียบวินัยนะ เพราะสังคมมันอยู่กับการแข่งขันกันมาก อาจไม่ทุกครอบครัวหรอกที่จะมารยาทดีและมีระเบียบวินัย เพราะพวกฝรั่งเองเค้าก็เลี้ยงแบบลองผิดลองถูกเหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่ฉั้นไม่เห็นว่าเค้าจะเน้นเรื่องแสดงความรัก ความอ่อนโยน หรือเน้นเรื่องพื้นฐานจิตใจอะไรมาก แต่จะเน้นว่าลูกต้องเก่ง ต้องแกร่ง ต้องสู้คนอื่นเค้าได้หรือต้องดีกว่าคนอื่นอะไรอย่างงั้น หลักๆก็เลยจะประมาณนี้
เรื่องการกิน
ระเบียบวินัยในการกิน คือ ต้องกินเป็นเวลา และกินเป็นที่เป็นทาง ต้องฝึกให้นั่งเก้าอี้ให้เรียบร้อย พวกฝรั่งเค้ามี High Chair ให้ลูกนั่งที่โต๊ะอาหาร แต่อันนี้ฝึกยากมากและก็ยังไม่ได้ผลเลย เพราะให้นั่งกินที่เก้าอี้สูงที่โต๊ะอาหารทีไร ลูกก็ปีนออกปีนออกทุ๊กกกที เมื่อก่อนยังปีนไม่ได้ก็ยกขาขึ้นพาด ทุบโต๊ะดังป๊าบๆๆ ฉั้นละปวดหัวตึ๊บ เลยเปลี่ยนมาฝึกให้นั่งเก้าอี้เตี้ยๆแทนก่อน ลูกเพิ่ง 10 เดือนน่ะต้องค่อยเป็นค่อยไปหน่อย แต่จะพยามไม่วิ่งไล่ตามป้อน แต่ก็ไม่วาย ทั้งปีนทั้งป่ายเหมือนเดิม แต่ละมื้อ แต่ละมื้อ เล่นเอาเหนื่อยน่าดู เลยต้องใช้วิธีเปิดการ์ตูนให้ดูเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จริงๆไม่ถูกหรอก แต่ทำไงได้ พอลองแล้ว นั่งนิ่ง กินอย่างเรียบร้อย ตั้งอกตั้งใจ
เรื่องอาหาร
เด็กฝรั่งเค้ากินนมกันเยอะมาก ไม่ก็พวกโยเกิร์ต พวกโอ๊ต ซีเรียล ไรงี้ แต่ฉั้นมันคนไทย ไม่ชอบกินเล้ยยยย ของทั้งหมดที่ว่ามา แต่ก็ต้องฝึกให้ลูกกิน หมอที่นี่ก็แนะนำให้กินนมผสมตั้งแต่คริสโตเฟอร์เพิ่งเกิด เพราะตอนน้ันฉั้นน้ำนมน้อย หมอไม่อยากให้แม่เครียดเพราะมันจะส่งผลกระทบให้คนในบ้านเครียดไปด้วยและจะทำให้น้ำนมลด แต่จนกระทั่งตอนนี้หมอก็ยังแนะนำให้กินอยู่ แม้ฉั้นเองจะแอบต่อต้านในใจเพราะตอนนี้ฉั้นมีน้ำนมแล้วก็อยากให้เค้ากินนมแม่ แต่พอเห็นเค้าเริ่มน้ำหนักขึ้นช้าเพราะตัวเริ่มยืด ฉั้นเองก็เริ่มลดน้ำหนักด้วยเลยไม่ได้โด๊ปตัวเองเหมือนแรกๆ ที่สำคัญฉั้นไม่ได้เลี้ยงเค้าแบบให้ดูดจุกหลอก และไม่ได้ร้องปุ๊บเอานมให้กินปั๊บเค้าเลยเป็นเด็กที่กินแค่พออิ่มแล้วถ้าอิ่มเกิินไปเค้าก็จะแหวะออกมาเล็กน้อย ตอนนี้น้ำหนักเค้าก็เลยเริ่มเพิ่มน้อยกว่าส่วนสูง ฉั้นเริ่มกลัวเค้าจะโตไม่ทันเด็กฝรั่ง ก็ต้องยอมฝึกให้ดื่มนมผสม แต่เพราะมันรสชาติแปลกๆนะ เค้าก็เลยกินมั่งไม่กินมั่ง ชงแล้วต้องทิ้งมั่งอะไรมั่ง แต่ก็ต้องพยายาม เค้าไม่ชอบดูดจากขวดนมด้วยก็ต้องลองป้อนด้วยช้อน ทำทุกวิถีทาง แม้เค้าจะร่าเริง แข็งแรง และเป็นเด็กมีความสุขดี แต่คนเป็นแม่มันก็อดเครียดไม่ได้ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ยื่งพอเค้าเริ่มกินอาหารแล้ว ก็ต้องพยามทำอาหารที่มีประโยชน์ และอร่อย! พยามดูเมนูที่คิดว่าเค้าน่าจะชอบ ต้มน้ำซุปผักทีก็ต้องต้มให้หวาน เมนูข้าวก็ต้องทำเป็นข้าวตุ๋นให้มีรสชาติ มื้อไหนฉั้นกินเองแล้วไม่อร่อยก็ต้องตัดใจเททิ้ง ไม่อยากให้เค้ากินอาหารไม่อร่อย ไม่อยากให้เค้าเป็นเด็กอมข้าว หรือไม่ยอมกินข้าวแบบต้องบีบบังคับจับยัดปากอะไรอย่างงั้น โชคดีที่เค้ากินได้ ไม่งั้นฉั้นก็เครียดอีก หุหุ!!
การมีหมอประจำคอยมอร์นิเตอร์ตลอด ตรวจเช็คเป็นประจำและไปตามที่หมอนัดแบบไม่ขาด(มาตั้งแต่ตอนท้อง) แม้มันจะเครียดบ้างแต่มันก็ดีหลายอย่าง ลูกแข็งแรง มีพัฒนาการดี ทำให้ฉั้นได้รู้ความเป็นไปตลอด และยังช่วยให้ฉั้นดูแลลูกอย่างตั้งใจมากด้วย
เรื่องอาหาร
เด็กฝรั่งเค้ากินนมกันเยอะมาก ไม่ก็พวกโยเกิร์ต พวกโอ๊ต ซีเรียล ไรงี้ แต่ฉั้นมันคนไทย ไม่ชอบกินเล้ยยยย ของทั้งหมดที่ว่ามา แต่ก็ต้องฝึกให้ลูกกิน หมอที่นี่ก็แนะนำให้กินนมผสมตั้งแต่คริสโตเฟอร์เพิ่งเกิด เพราะตอนน้ันฉั้นน้ำนมน้อย หมอไม่อยากให้แม่เครียดเพราะมันจะส่งผลกระทบให้คนในบ้านเครียดไปด้วยและจะทำให้น้ำนมลด แต่จนกระทั่งตอนนี้หมอก็ยังแนะนำให้กินอยู่ แม้ฉั้นเองจะแอบต่อต้านในใจเพราะตอนนี้ฉั้นมีน้ำนมแล้วก็อยากให้เค้ากินนมแม่ แต่พอเห็นเค้าเริ่มน้ำหนักขึ้นช้าเพราะตัวเริ่มยืด ฉั้นเองก็เริ่มลดน้ำหนักด้วยเลยไม่ได้โด๊ปตัวเองเหมือนแรกๆ ที่สำคัญฉั้นไม่ได้เลี้ยงเค้าแบบให้ดูดจุกหลอก และไม่ได้ร้องปุ๊บเอานมให้กินปั๊บเค้าเลยเป็นเด็กที่กินแค่พออิ่มแล้วถ้าอิ่มเกิินไปเค้าก็จะแหวะออกมาเล็กน้อย ตอนนี้น้ำหนักเค้าก็เลยเริ่มเพิ่มน้อยกว่าส่วนสูง ฉั้นเริ่มกลัวเค้าจะโตไม่ทันเด็กฝรั่ง ก็ต้องยอมฝึกให้ดื่มนมผสม แต่เพราะมันรสชาติแปลกๆนะ เค้าก็เลยกินมั่งไม่กินมั่ง ชงแล้วต้องทิ้งมั่งอะไรมั่ง แต่ก็ต้องพยายาม เค้าไม่ชอบดูดจากขวดนมด้วยก็ต้องลองป้อนด้วยช้อน ทำทุกวิถีทาง แม้เค้าจะร่าเริง แข็งแรง และเป็นเด็กมีความสุขดี แต่คนเป็นแม่มันก็อดเครียดไม่ได้ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ยื่งพอเค้าเริ่มกินอาหารแล้ว ก็ต้องพยามทำอาหารที่มีประโยชน์ และอร่อย! พยามดูเมนูที่คิดว่าเค้าน่าจะชอบ ต้มน้ำซุปผักทีก็ต้องต้มให้หวาน เมนูข้าวก็ต้องทำเป็นข้าวตุ๋นให้มีรสชาติ มื้อไหนฉั้นกินเองแล้วไม่อร่อยก็ต้องตัดใจเททิ้ง ไม่อยากให้เค้ากินอาหารไม่อร่อย ไม่อยากให้เค้าเป็นเด็กอมข้าว หรือไม่ยอมกินข้าวแบบต้องบีบบังคับจับยัดปากอะไรอย่างงั้น โชคดีที่เค้ากินได้ ไม่งั้นฉั้นก็เครียดอีก หุหุ!!
การมีหมอประจำคอยมอร์นิเตอร์ตลอด ตรวจเช็คเป็นประจำและไปตามที่หมอนัดแบบไม่ขาด(มาตั้งแต่ตอนท้อง) แม้มันจะเครียดบ้างแต่มันก็ดีหลายอย่าง ลูกแข็งแรง มีพัฒนาการดี ทำให้ฉั้นได้รู้ความเป็นไปตลอด และยังช่วยให้ฉั้นดูแลลูกอย่างตั้งใจมากด้วย
เรื่องการนอน
คริสโตเฟอร์นอนคนเดียวในห้องส่วนตัวตั้งแต่แรกเกิดแบบเด็กฝรั่งเลย เราก็เตรียมห้องนอนและเครื่องนอนรวมถึงของประดับตกแต่งห้องให้เค้าอย่างดี มีกล้องมอร์นิเตอร์เค้าตลอด แค่เค้าร้องแอ๊ะเดียวเราก็ได้ยิน ฉั้นได้ยินว่าเด็กที่นอนเตียงเดียวหรือห้องเดียวกับพ่อแม่ตั้งแต่เกิด เค้าจะไม่ยอมแยกไปนอนห้องตัวเองเมื่อถึงเวลาอันควร และจะฝึกยาก เราก็เลยฝึกเค้าตั้งแต่เกิด และเราคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะแฟบเป็นคนตัวใหญ่พลิกตัวทีโคลงทั้งเตียงเชียว และแฟบเองก็กลัวว่าอาจจะไม่ปลอดภัยเพราะอาจพลิกไปทับหรือกระแทกลูกเอา และนี่เป็นวิธีที่ฝรั่งส่วนใหญ่ใช้ ประกอบกับห้องนอนเราเล็กด้วย แค่เตียงเราเองก็เต็มละ แรกๆฉั้นอยากจะให้เค้านอนด้วยกันใจจะขาดเพราะเวลาเค้าตื่น ฉั้นก็ต้องตื่น แล้วก็เดินท่อมๆไปดูลูก ง่วงก็ง่วงสุดๆ แต่ก็ต้องเดินงัวเงียไปให้นมลูก ทรมานตอนที่เพิ่งคลอดใหม่ๆ เพราะหลังผ่าตัด ทั้งเจ็บแผล ทั้งอ่อนเพลีย แต่ก็ต้องปีนขึ้นปีนลงจากเตียงเพื่อไปกล่อมลูก แถมตอนเค้ายังเล็กๆเกิดใหม่ๆต้องอุ้มเดินกล่อมทั่วบ้านเป็นชั่วโมงๆ แต่ผ่านไป 10 เดือนแล้ว พบว่าการที่เค้านอนคนเดียวในห้องส่วนตัวเงียบๆมันก็ดีตรงที่เค้าได้นอนเป็นเวลา เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ หลับสบาย พ่อกะแม่ก็ทำนู้นทำนี่ได้ ตอนเช้า จะตื่นกันกี่โมงก็ได้ ไม่รบกวนกัน การนอนสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเด็กมาก เพราะเวลาเค้าได้หลับสนิท Growth Hormone จะหลั่ง ทำให้เค้ามีการเจริญเติบโตดี แถมอารมณ์ดีด้วยเวลาเข้าได้นอนเต็มอิ่ม
ส่วนกลางวันก็มีเวลานอนกลางวันเป็นเวลาด้วย ฝึกจนเค้าง่วงเป็นเวลา หิวเป็นเวลา ก็ง่ายขึ้นอีกนิดสำหรับคนเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกเองคนเดียวอย่างเรา
ฝรั่งเค้าเน้นเรื่องฝึกให้ลูกสามารถหลับเองได้ด้วยนะ ไม่ใช่อะไรๆก็เอานมยัดปากให้หลับ เค้าใช้วิธีกล่อมให้ง่วงก่อนเข้านอน จะอ่านหนังสือ เล่านิทาน ร้องเพลง หรืออะไรก็ได้เพื่อให้ลูกเริ่มง่วงแล้วก็วางเค้าลงเตียง โดยไม่ต้องรอให้เค้าหลับคาตัก เพื่อให้เค้าเรียนรู้ที่จะหลับด้วยตัวเอง แต่ธรรมชาติของเด็กจะร้องๆๆๆๆ จนเหนื่อยแล้วผล่อยหลับ แต่ฝึกจนเมื่อเค้าเรียนรู้ที่จะหลับเองได้ เค้าก็จะไม่ร้องอีกต่อไป ฉั้นลองล่ะ แต่ไม่ได้ผล หุหุ!! เห็นเค้าร้องไห้ตอนที่วางเค้าลงเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป มันทำใจไม่ได้ เลยเลือกที่จะให้เค้าดูดนมจนหลับไปอย่างอบอุ่นสบายใจ แต่ไม่ปล่อยให้เค้าหลับคาตักจนสนิท ค่อยเอาเค้าวางลงเตียงตอนเค้าหลับเคลิ้มไป แล้วไปหลับสนิทบนเตียงเค้าเอง ง่ายกว่าและสบายใจกว่าเยอะ เอาน่า หยวนๆกันไป อย่าไปเคร่งเครียดอะไรมาก ต้องนึกถึงลูกไว้ก่อน แค่เค้าหลับคนเดียวได้ฉั้นว่าก็ดีแค่ไหนแล้ววว
เรื่องการลงโทษ
การสอนแบบฝรั่ง เค้าจะใช้วิธี Time Out ยังไม่เคยลอง เพราะลูกยังเล็กเกิน แต่เค้าว่าได้ผลคือ เวลาที่เราห้ามอะไร แล้วเค้าไม่ฟัง ให้เตือนก่อน 1 ครั้ง ถ้ายังไม่ฟังอีกก็ให้บอกว่า Time Out แล้วพาเค้ามุม ไม่ใช่มุมแดงมุมน้ำเงินนะ ไม่ใช่มวย แต่ให้นั่งในมุมหรือที่ประจำสำหรับทำโทษ ให้นั่งนิ่งๆนานตามอายุ เช่น 1 ขวบก็ 1 นาที แต่ก่อนให้นั่งต้องอธิบายก่อนว่า Time Out เพราะอะไร เช่น เตือนแล้วไม่ฟัง บอกว่าไม่ให้ทำแล้วยังทำ จึงต้องทำโทษ แล้วก็จับเวลา ถ้าไม่ยอมนั่งก็ต้องจับกลับไปนั่งจนกว่าจะยอมนั่งในมุม Time Out จนครบตามเวลา ความยากมันอยู่ตรง เด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้ชายเนี่ยมันไม่ยอมอยู่นิ่งแม้แต่เสี้ยววินาที! ต้องอาศัยความอดทน ความตั้งใจ และความเด็ดขาดของความเป็นแม่ ถ้าบอกว่า 'ไม่' ก็ต้อง 'ไม่' ถ้าบอกว่าจะทำโทษก็ต้องทำโทษ ตามนั้น ห้ามใจดีหรือใจอ่อน และห้ามใส่อารมณ์จนถึงขั้นลงไม้ลงมือตี แล้วถ้าทำโทษเสร็จก็ต้องอธิบายอีกด้วยเพื่อให้เค้าเข้าใจว่าเราลงโทษเค้าทำไม เพื่อให้เค้าพูดคำว่า 'ขอโทษ' และเราให้อภัย กอดแล้วก็จูบแก้มลูก เพื่อแสดงให้เค้ารู้ว่าเมื่อเค้าสำนึกผิดเราก็พร้อมให้อภัย ด้วยความรักและหวังดี เอิ๊กกกก....ตรู จะสำเร็จมั้ยเนี่ย!! -_-'
เรื่องความปลอดภัย
พวกฝรั่ง หรือแม้แต่ฉั้นเอง จะชอบพาลูกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พานั่งรถเข็นไปเที่ยวกัน สนุกดี ทำให้ต้องนึกถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ในรถต้องมี Car Seat มีรถเข็น ให้พร้อม บ้านช่องต้องสะอาด ข้าวของต้องเก็บเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเรียบร้อย ปลั๊กเปลิ๊กไฟอะไรก็ต้องปิดต้องป้องกันไม่ให้เค้าเอานิ้วเข้าไปแหย่เล่น ประมาณนี้
เรื่องภาษา
แม้จะยังหนักใจว่าลูกจะเริ่มพูดภาษาอะไรได้ก่อน แต่เราก็เลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ความเป็นแม่ก็ใช้ภาษาไทยปนไปเยอะอยู่เพราะมันรู้สึกความใกล้ชิดมากกว่า แต่เห็นพ่อเค้ายังไม่พูดภาษาโปรตุกีซเพราะกลัวลูกสับสนแล้วจะพูดได้ช้า เราก็ต้องต้องเสียสละบ้างไรบ้าง ดังนั้น คาดว่าคริสโตเฟอร์คงจะเรียก Daddy กับ Mommy ได้ก่อนที่จะเรียก พ่อ กับ แม่ เป็นแน่
นึกออกประมาณนี้ก่อนนะ
ส่วนกลางวันก็มีเวลานอนกลางวันเป็นเวลาด้วย ฝึกจนเค้าง่วงเป็นเวลา หิวเป็นเวลา ก็ง่ายขึ้นอีกนิดสำหรับคนเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกเองคนเดียวอย่างเรา
ฝรั่งเค้าเน้นเรื่องฝึกให้ลูกสามารถหลับเองได้ด้วยนะ ไม่ใช่อะไรๆก็เอานมยัดปากให้หลับ เค้าใช้วิธีกล่อมให้ง่วงก่อนเข้านอน จะอ่านหนังสือ เล่านิทาน ร้องเพลง หรืออะไรก็ได้เพื่อให้ลูกเริ่มง่วงแล้วก็วางเค้าลงเตียง โดยไม่ต้องรอให้เค้าหลับคาตัก เพื่อให้เค้าเรียนรู้ที่จะหลับด้วยตัวเอง แต่ธรรมชาติของเด็กจะร้องๆๆๆๆ จนเหนื่อยแล้วผล่อยหลับ แต่ฝึกจนเมื่อเค้าเรียนรู้ที่จะหลับเองได้ เค้าก็จะไม่ร้องอีกต่อไป ฉั้นลองล่ะ แต่ไม่ได้ผล หุหุ!! เห็นเค้าร้องไห้ตอนที่วางเค้าลงเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป มันทำใจไม่ได้ เลยเลือกที่จะให้เค้าดูดนมจนหลับไปอย่างอบอุ่นสบายใจ แต่ไม่ปล่อยให้เค้าหลับคาตักจนสนิท ค่อยเอาเค้าวางลงเตียงตอนเค้าหลับเคลิ้มไป แล้วไปหลับสนิทบนเตียงเค้าเอง ง่ายกว่าและสบายใจกว่าเยอะ เอาน่า หยวนๆกันไป อย่าไปเคร่งเครียดอะไรมาก ต้องนึกถึงลูกไว้ก่อน แค่เค้าหลับคนเดียวได้ฉั้นว่าก็ดีแค่ไหนแล้ววว
เรื่องการลงโทษ
การสอนแบบฝรั่ง เค้าจะใช้วิธี Time Out ยังไม่เคยลอง เพราะลูกยังเล็กเกิน แต่เค้าว่าได้ผลคือ เวลาที่เราห้ามอะไร แล้วเค้าไม่ฟัง ให้เตือนก่อน 1 ครั้ง ถ้ายังไม่ฟังอีกก็ให้บอกว่า Time Out แล้วพาเค้ามุม ไม่ใช่มุมแดงมุมน้ำเงินนะ ไม่ใช่มวย แต่ให้นั่งในมุมหรือที่ประจำสำหรับทำโทษ ให้นั่งนิ่งๆนานตามอายุ เช่น 1 ขวบก็ 1 นาที แต่ก่อนให้นั่งต้องอธิบายก่อนว่า Time Out เพราะอะไร เช่น เตือนแล้วไม่ฟัง บอกว่าไม่ให้ทำแล้วยังทำ จึงต้องทำโทษ แล้วก็จับเวลา ถ้าไม่ยอมนั่งก็ต้องจับกลับไปนั่งจนกว่าจะยอมนั่งในมุม Time Out จนครบตามเวลา ความยากมันอยู่ตรง เด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้ชายเนี่ยมันไม่ยอมอยู่นิ่งแม้แต่เสี้ยววินาที! ต้องอาศัยความอดทน ความตั้งใจ และความเด็ดขาดของความเป็นแม่ ถ้าบอกว่า 'ไม่' ก็ต้อง 'ไม่' ถ้าบอกว่าจะทำโทษก็ต้องทำโทษ ตามนั้น ห้ามใจดีหรือใจอ่อน และห้ามใส่อารมณ์จนถึงขั้นลงไม้ลงมือตี แล้วถ้าทำโทษเสร็จก็ต้องอธิบายอีกด้วยเพื่อให้เค้าเข้าใจว่าเราลงโทษเค้าทำไม เพื่อให้เค้าพูดคำว่า 'ขอโทษ' และเราให้อภัย กอดแล้วก็จูบแก้มลูก เพื่อแสดงให้เค้ารู้ว่าเมื่อเค้าสำนึกผิดเราก็พร้อมให้อภัย ด้วยความรักและหวังดี เอิ๊กกกก....ตรู จะสำเร็จมั้ยเนี่ย!! -_-'
เรื่องความปลอดภัย
พวกฝรั่ง หรือแม้แต่ฉั้นเอง จะชอบพาลูกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พานั่งรถเข็นไปเที่ยวกัน สนุกดี ทำให้ต้องนึกถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ในรถต้องมี Car Seat มีรถเข็น ให้พร้อม บ้านช่องต้องสะอาด ข้าวของต้องเก็บเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเรียบร้อย ปลั๊กเปลิ๊กไฟอะไรก็ต้องปิดต้องป้องกันไม่ให้เค้าเอานิ้วเข้าไปแหย่เล่น ประมาณนี้
เรื่องภาษา
แม้จะยังหนักใจว่าลูกจะเริ่มพูดภาษาอะไรได้ก่อน แต่เราก็เลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ความเป็นแม่ก็ใช้ภาษาไทยปนไปเยอะอยู่เพราะมันรู้สึกความใกล้ชิดมากกว่า แต่เห็นพ่อเค้ายังไม่พูดภาษาโปรตุกีซเพราะกลัวลูกสับสนแล้วจะพูดได้ช้า เราก็ต้องต้องเสียสละบ้างไรบ้าง ดังนั้น คาดว่าคริสโตเฟอร์คงจะเรียก Daddy กับ Mommy ได้ก่อนที่จะเรียก พ่อ กับ แม่ เป็นแน่
นึกออกประมาณนี้ก่อนนะ