Pages

วันศุกร์, ธันวาคม 07, 2555

ความไร้เสน่ห์ของบราซิล

ช่วงนี้เกิดอารมณ์หงุดหงิดกะหลายเรื่อง เขียนเรื่องเสน่ห์ไปแล้วเลยต้องเขียนเรื่องความไร้เสน่ห์กันบ้าง เพราะรู้สึกว่าการอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว แต่ทำไมไม่หลงรักซักที ก็บราซิลมันสุดโต่งอ่ะ มีแต่ขาวกับดำ ไม่รักก็เกลียด มาอยู่แล้วต้องทำใจ เขียนเสร็จแล้ว อ่านเอง...รู้สึกเหมือนเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายสุดๆ แต่มันคือเรื่องจริงนะ เรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตาย.....

ความรุนแรง ขอเขียนเป็นเรื่องแรก เพราะไม่รู้มันจะอะไรนักหนาบ้านเมืองนี้ ฆ่าแกงกันเป็นว่าเล่น ตำรวจฆ่าพวกค้ายา พวกค้ายากลับมาฆ่าล้างแค้นตำรวจ ผัวฆ่าเมีย เมียฆ่าผัว ฆ่าหั่นศพ ฆ่าจ่อยิง จ้างวานฆ่า ฆ่าข่มขืน ปล้นฆ่า มีหมดทุกรูปแบบ ดูข่าวแล้วเพลีย มีให้เห็นทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ เบื่อมาก ไม่อยากออกไปไหนไกลๆตามลำพัง ไม่กล้าใส่เครื่องประดับ ของมีค่า ไม่กล้าไว้ใจใคร กลัว!! เรื่องจี้ปล้นก็ไม่แพ้ การฉกชิงวิ่งราวมีเยอะมาก บางทีก็เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว เช่น โดนกระชากสร้อย กระชากกระเป๋า ไม่ก็โจรเข้าปล้นสถานที่ใกล้ๆบ้าน เช่น ปล้นลูกค้าในร้านอาหาร หรือปล้นร้านขายจิวเวอรี่!! 

ความไม่เกรงใจ มีแต่คนนึกถึงแต่ตัวเองกันที่นี่จะเรียกว่า เห็นแก่ตัว ก็ได้ อย่างขับรถนี่ก็ไม่มีน้ำใจบนท้องถนนกันเลย เห็นคนจะข้ามถนนแทนที่จะชลอกลับเร่งเครื่อง แล้วนึกจะเปลี่ยนเลนส์แทนที่จะเปิดไฟเลี้ยวกลับหักเลี้ยวกระทันหัน พวกขับมอร์เตอร์ไซต์เลยขับชนคว่ำกันเป็นว่าเล่น มีตายได้ทุกวันเพราะพวกรถเก๋งก็เห็นแก่ตัว ไม่มีใครให้ทางใคร พวกมอร์เตอร์ไซต์ก็ขับไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วนิสัยเสียกันนะ ใครผิดใครถูกไม่สนเพราะกรูโทษคนอื่นไว้ก่อน แย่มาก!! พวกเมาแล้วขับยิ่งแล้วใหญ่ เห็นรถพังยับเยินจอดอยู่ข้างทางบ่อยมาก เห็นแล้วไม่อยากจะจินตนาการสภาพศพเลยอ่ะ พวกนี้อันตราย รถเมล์ รถไฟ ก็ใช่ย่อย เบียดเสียดยัดเยียดกันแบบแย่งได้แย่งเอา หญิงชายไม่สน กรูขอขึ้นก่อนกันทั้งนั้น พวกนักการเมืองก็โกงกินกันสุดๆ ประเทศนี้อันธพาลครองเมือง เพราะพวกคนในสลัมมีเยอะก็เลยเลือกนักการเมืองที่เข้าข้างคนจน มาเป็นรัฐบาลมาเป็นประธานาธิบดี พวกอิทธิพลมืดเลยครองเมือง คนจนที่นี่น่ากลัวนะ จิตใจหยาบ ติดยา ค้ายา ฆ่าแกง จี้ปล้น ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย ใช้ความรุนแรง บรื๋อออ!!! ไม่เว้นแม้แต่เมืองเซาเปาโล ตอนนี้ก็ได้อิทธิพลมืดเข้าครอบงำไปแล้วเพราะเพิ่งเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดไป ก็ได้กลุ่มนักการเมืองที่ขึ้นชื่อว่าโกงกินมาปกครอง เห็นเค้าลุ้น เซาเปาโล สเตท อยู่ ว่าพวกมันจะยึดไปได้ทั้งสเตทรึป่าว พวกคนมีความรู้ มีเงิน ทำงานหนักเลยลำบาก จ่ายภาษีหลังอาน

สังคมเสื่อม เห็นความเสื่อมของสังคมที่นี่แล้วขอทำใจอย่างแรง ทีวีก็โชว์แต่อะไรก็ไม่รู้ โป๊ๆเปลือยๆ กอดๆจูบๆ บางรายการก็ออกแนวลามก หาสาระไม่ค่อยจะได้ ไม่ก็โชว์ความรุนแรง ข่าวสารบ้านเมืองก็มีแต่ข่าวสร้างความหดหู่ใจ ไม่ฆ่าก็ปล้น ไม่ปล้น ก็อุบัติเหตุ ละครก็ไร้สาระ ไม่เห็นให้อะไรกับสังคมเลย ไม่มีการปลูกฝังคำสอนดีๆให้เด็ก เด็กวัยรุ่นเลยใจแตก หมกมุ่นแต่เรื่องดื่ม เรื่องเที่ยว เรื่องเพศสัมพันธ์ ผับที่นี่ อายุ 12 ก็เข้าได้ละ เพราะมีเปิดช่วงหัวค่ำให้เด็กต่ำกว่า 18 มาเพลิดเพลินได้ นักเรียนก็เรียนกันแค่ครึ่งวัน แต่งหน้าทาปากกันตั้งแต่นมยังไม่ตั้งเต้า หัดจูบกันตั้งแต่เสียงยังไม่แตกหนุ่ม พ่อแม่บางคนก็วัตถุนิยม มีเงินก็รู้จักแต่ใช้เงินซื้อของแพงๆประเคนตัวเอง ประเคนลูกเต้าแบบไม่คำนึงถึงอนาคตเด็ก แถมพวกนี้ชอบดูถูกคนอื่น นึกว่ามีเงินแล้วดีกว่าคนอื่นละมั้ง บางคนใช้แต่ของดีมียี่ห้อราคาแพงๆแค่อยากให้คนอื่นรู้ว่ามีตังค์ ผู้หญิงบางคนมีลูกก็ไม่เลี้ยงเอง กลัวคนดูถูกว่าไม่มีสตังค์ ต้องจ้างพี่เลี้ยง จ้างคนขับรถรับส่งลูก จ้างคนทำความสะอาดอีกต่างหาก ถ้ายังดูรวยไม่พอ ก็ต้องจ้างคนทำครัวด้วย ตัวเองจะได้มีเวลาไปทำงานหาเงิน เข้าร้านเสริมสวย ทำผม ทำเล็บ ช้อปปิ้ง แต่งตัวให้ดูฟู่ฟ่า อวดชาวบ้านว่าไม่ต้องลำบากเลี้ยงลูกเอง แล้วก็คอยเป็นคู่กัดกับแม่สามีเล่นๆ พ่อแม่ที่นี่ไม่ค่อยมีคำสั่งสอนดีๆให้ลูก เพราะในหัวมีแต่เรื่องความงาม กับเรื่องเซ็กซ์ พวกคนจนก็ขี้ขโมย พวกคนรวยก็ไม่เคยแบ่งปัน ไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัว พวกฉกชิงว่ิงราวจี้ปล้นมันมีเยอะ คำว่าเกรงใจก็ไม่รู้จักกัน น่าจับไปอยู่เมืองไทยให้บรรดาคุณปู่คุณย่าสั่งสอนซะให้เข็ด ประเทศเค้าไม่ค่อยให้ความสำคัญด้านการศึกษา ผู้คนก็เลยการศึกษาไม่ค่อยสูง เลยมารับจ้างทำความสะอาดซะเยอะ แต่จ้างมาทำความสะอาดแต่ละคนก็มีแต่ปัญหา พวกmaidกิตติมศักดิ์ บางคนก็ขี้เกียจ บางคนก็พูดมาก กินจุ ใช้ของเปลือง ขี้ขโมย ไว้ใจไม่ได้ แต่ก็ต้องจ้างเพราะต่อให้เลิกจ้างคนนี้ จ้างคนอื่นก็มีปัญหาแบบอื่นอยู่ดี เซ็ง กว่าจะเจอคนที่ถูกใจเล่นเอาซะเหงื่อตก!! คนดีๆบางทีเลยท้อ เพราะต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ พอท้อเข้า สิ่งที่ต้องทำก็คือ ปรับตัวเองให้กลมกลืนกันไปซะเลย

ข้าวของแพง ไม่รู้จะแพงไปไหน ต่อให้มีตังค์ก็ไม่อยากซื้ออะไรหรอก เสียดาย ราคาแพงไม่สมเหตุสมผล เงินมันเฟ้อน่ะ มีอุปทานแต่ไม่มีอุปสงค์ รัฐบาลบ้าๆบอๆ มันคิดภาษีสูงๆเพราะมันโกงกินจากเงินภาษีประชาชน ของเลยแพงขึ้นเรื่อยๆจนเกินกำลังซื้อ พอคนไม่ซื้อมันก็ขึ้นภาษีสินค้าให้สูงขึ้นอีกเพื่อได้ในส่วนที่คนจำเป็นต้องซื้อ แล้วค่าเงินกลับแข็งแรงได้ งงจริง!!  ร้านบางร้านในห้างบางห้าง ร้างจนผีจะหลอก เพราะไม่มีลูกค้าเข้าไปซื้อ แต่ก็อีกล่ะ พวกผู้หญิงชอบช้อป ก็ช้อปกระหน่ำอยู่ดีก็น่าแปลกใจ เอาเงินมาจากไหน แต่ไม่นับช่วงเทศกาลนะที่คนมันต้องซื้อจริงๆเพราะคนที่นี่ต้องให้ของขวัญกันช่วงเทศกาลสำคัญๆเป็นมารยาท

ดราม่า คนที่นี่คงดูละครเยอะไป พวกบราซิลเลี่ยนเลยดราม่ามาก ขี้โมโห ขี้โวยวาย ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ตื่นตูม ไม่รู้จักทำใจให้สงบ ไม่เคยคิดว่าเป็นความผิดตัวเอง ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ เรื่องใส่อารมณ์นี่ยกให้เลย ไม่รู้เป็นอะไรกันทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย เหมือนอยู่ในละครน้ำเน่า อะไรนิดอะไรหน่อยก็โมโห คอมเพลน โวยวาย ขี้วีน ส่งภาษามือกันให้วุ่นไปหมด เห็นแล้วกลุ้ม เหนื่อย เหนื่อยแทน!!

ยังไม่หมด เดี๋ยวกลับมาบ่นต่อ....

   


วันอังคาร, พฤศจิกายน 27, 2555

เลี้ยงลูก

ขึ้นโพสต์ใหม่ ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไร รู้แต่ว่าชีวิตคนเป็นแม่นี่มันช่างลำบากยากเย็นซะจริง ผ่านไป 2 เดือนกับ 1 สัปดาห์แล้วกับชีวิตใหม่ของฉั้น ชีวิตที่ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวอีกต่อไป ชีวิตที่ไม่ลำพัง การต้องคอยดูแลคนตัวเล็กๆนี่มันไม่ธรรมดา เพราะคนตัวเล็กมักจะเอาแต่ร้องไห้เวลาอยากได้อะไรหรือไม่อยากได้อะไร คนตัวเล็กมักต้องการให้อุ้มอยู่ตลอดเวลา ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมเวลาเปียกชื้นจากอึและฉี่ ต้องให้นมทันทีเวลาหิว ต้องนอนและกล่อมทันทีเวลาง่วง ต้องการการดูแลจากฉั้นตลอด 24 ชั่วโมงทั้งยามหลับยามตื่น เวลาอารมณ์ดีก็น่ารัก แต่บางวันงอแงก็ร้องไห้ดังไปสามบ้านแปดบ้าน โอ๋ยังไง ปลอบยังไงก็เอาไม่อยู่ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำถึงช่วงดึกก่อนเข้านอน ความเป็นแม่ทำให้ฉั้นห่วงกังวลคิดว่าเค้ากลัวการนอนคนเดียว หรือกลัวความมืด แต่หมออธิบายแบบวิทยาศาสตร์ว่ามันคืออาการโคลิค หรือการร้อง 3 เดือนแบบที่คนไทยเรียกกัน บางคืนเค้าร้องไห้จนกระทั่งฉั้นก็ร้องไปด้วย วันไหนทนไม่ไหวก็ต้องวางเค้าไว้ให้ร้องจนเหนื่อย ส่วนฉั้นก็เข้าไปร้องในห้องน้ำ ร้องไห้ไปอาบน้ำไปในเวลาเดียวกัน เวลาและร่างกายของฉั้นต้องกลายเป็นของเค้าไปเกือบ 90%  สภาพอารมณ์และจิตใจของฉั้นก็เลยต้องพยามเข้มแข็งและปรับตามให้ทัน

ฉั้นไม่มีเวลาและกระจิตกระใจจะมานั่งทำสวยเลยในบางวัน ทำให้เข้าใจแล้วว่าทำไมบรรดาแม่ๆหลายๆคนจึงเลิกดูแลใส่ใจตัวเอง ไม่มีเวลาสนใจตัวเอง ไม่มีเวลาที่จะไปออกกำลังกาย หรือไปเดินช้อปปิ้ง บางคนถึงขั้นยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงให้ซะเลย แถมอยากจะกลับไปทำงานนอกบ้านใจจะขาด เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งให้นมลูก อุ้มลูก คอยเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำแต่งตัวให้ลูก และกล่อมลูกให้หลับ ไหนจะงานบ้านอีก แม้จะโชคดีที่มีคนมาทำความสะอาด แต่ก็ใช่ว่าจะดีมากมายเพราะเวลาเค้ามาฉั้นก็ต้องทำอาหารแล้วก็คอยกระเตงลูกหลบฝุ่นไปมา

การเป็นแม่เต็มตัวเต็มเวลา ถือเป็นอาชีพที่ห้ามขาดลามาสาย ห้ามป่วยห้ามตาย ใครว่าเป็นแม่...ง่าย แล้วถ้าใครดูถูกการเป็นแม่ละก็ ฉั้นคนนึงล่ะที่จะขอเถียงหัวชนฝา ว่าการเป็นแม่นี่แหละเป็นอะไรที่ยากที่สุดในชีวิตละ ตั้งแต่มีลูกฉั้นต้องใช้ความพยามและความอดทนอย่างมากในการดูแลทั้งตัวเอง และลูก รวมทั้งสามีด้วย มันยากนะ ที่ต้องวิ่งวุ่นอุ้มลูกและทำนู้นทำนี่ไปด้วยตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาต้องทำอาหารเวลาที่สามีอยู่ และอุ้มลูกรอ และลูกก็ร้องโยเย ฉั้นรีบจนมือไม้สั่น ไม่รีบก็ไม่ได้ เสียงร้องมันบีบหัวใจ เวลากิน เวลาอึ เวลาฉี่ ต้องทำอย่างเร็วและเร่งรีบเพราะลูกฉั้นร้องไห้แทบจะตลอดเวลาแถมติดให้อุ้มด้วย เวลาต้องออกไปข้างนอกก็ใช่ย่อย แทนที่จะรู้สึกมีความสุขกับการได้ไปเที่ยว เปิดหูเปิดตา กลับกลายเป็นความกังวล เพราะต้องแต่งตัวให้ลูกและตัวเองให้เสร็จทันเวลา ออกไปแล้วก็กลัวลูกจะร้องจนหมดสนุก เรื่องสุขภาพลูกก็สำคัญ ต้องพาไปหาหมอเพื่อมอร์นิเตอร์การเจริญเติบโต ต้องคอยให้นมให้ตรงเวลาหรือก่อนที่เค้าจะหิวจนโยเย ผิวพรรณก็บอบบาง ผื่นขึ้นบ้าง รอยข่วนบ้าง เวลาเค้าง่วงก็ต้องกล่อมให้หลับด้วยการอุ้มเดินไปมาจนเมื่อย จนเหนื่อย จนล้า ปวดแขน ปวดหลัง

ฉั้นแทบไม่รู้เลยว่าความสุขของการมีลูกที่คาดหวังไว้มันอยู่ตรงไหน มีแต่ความกังวล ความเหนื่อย ความล้า ความทรมาน และความท้อแท้!! 

จนกระทั่ง.....

ฉั้นได้เห็นรอยยิ้มแรกของเค้า ได้ยินเค้าส่งเสียงร้อง อูๆอาๆ ได้เห็นเค้าเล่นน้ำลาย เอามือยัดเข้าปาก ดูดนิ้วดังจ๊วบจ๊าบ แววตาอันแสนอ่อนโยนและไร้เดียงสาที่มองมาที่ฉั้นเวลาเข้าอารมณ์ดี เหมือนกำลังจะบอกว่าตอนนี้เค้ามีความสุข ถึงได้รู้ว่า พัฒนาการของลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว ตาหวานๆบวกกับรอยยิ้มมันทำให้ฉั้นแทบน้ำตารื้น เหมือนเป็นวันที่รอคอยมานานแสนนานยังไงบอกไม่ถูก มันคือพัฒนาการทางสมองและร่างกายของเด็กน่ะ เมื่อครบ 3 เดือน สมองและร่างกายของเด็กก็จะเริ่มพัฒนาไประดับนึงจนเห็นได้ชัด คริสโตเฟอร์ก็เหมือนกัน ตอนนี้ 2 เดือนกว่าแล้ว ได้รับวัคซีนป้องกันโรคสำคัญๆ พวกคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 1 ตับอักเสบ บี ครั้งที่ 2 เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ ครั้งที่ 1 และโปลิโอ ครั้งที่ 1 เรียบร้อยแล้ว หลังจากวัคซีนปุ๊บ เค้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คงไม่ใช่เพราะวัคซีนหรอก แต่คงเป็นเพราะการพัฒนาอย่างที่ว่า ตอนนี้เค้าเลยหลับง่ายขึ้น ร้องไห้น้อยลง ยิ้มมากขึ้น และเหมือนพยามสื่อสารกับฉั้นด้วย อ้อ...ที่สำคัญ ตอนนี้เค้าดูดนมแม่มากขึ้น เข้าขั้นติด ดูดจนหลับ แถมเวลาหิวก็ทำท่าอ้าปากงับนมแม่สุดฤทธิ์ ฉั้นดีใจมากเพราะมันบ่งบอกว่า ฉั้นคงจะมีน้ำนมมากขึ้นแล้วในช่วงนี้ และการให้นมลูกมันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ เห็นเค้าว่าการให้นมลูกนอกจากจะเผาผลาญแคลอรี่แล้ว ร่างกายยังหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ทำให้มีความสุขเหมือนกับหลังจากการออกกำลังกายอีกต่างหาก ระบบร่างกายมนุษย์นี่ช่างน่ามหัศจรรย์

นี่ไง พระเจ้าเห็นใจฉั้นแล้ว!!! ความเหนื่อยของฉั้นที่สั่งสมมากว่า 2 เดือน การที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวซะส่วนใหญ่ เพราะแฟบก็ต้องทำงาน แล้วฉั้นก็ตัวคนเดียว ที่สำคัญความเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง แล้วไม่ชอบพึ่งพาใคร บวกกับความเชื่อมั่นที่ว่า เมื่อตัดสินใจเองว่าจะมีลูก ก็ต้องเลี้ยงเค้าเองให้ได้ จึงยอมเหนื่อยและกัดฟันทน พอได้เห็นพัฒนาการที่ว่า และเห็นเค้าเริ่มเรียนรู้ที่จะหลับนานขึ้นในช่วงกลางคืนและหลับได้โดยไม่ต้องอุ้มเดินทั่วบ้านเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ฉั้นมีเวลานอนนานขึ้นและได้กลับมาหลับลึกๆบ้างแล้วในบางคืน เหมือนได้กลับมาหายใจทั่วท้องอีกครั้ง ฟิ้วววว......

ตอนนี้รู้ละ ว่าความสุขอยู่ตรงไหน!!! ^^ การได้อยู่ด้วยกันนานๆ มันสร้างความผูกพันธ์ได้มากมายก่ายกอง ความสัมพันธ์ของเราเริ่มเติบโตและพัฒนา การได้กอด ได้หอม ได้อุ้ม ได้ให้นม ได้นอนให้นมจนหลับไปด้วยกัน การได้กลิ่นของลูก การได้เห็นอึเห็นฉี่เค้า การพาเค้าอาบน้ำ การได้กล่อมให้หลับทุกคืน ได้คุยกับเค้าไปเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้ การไม่กลัวเสียงร้องของลูก การได้รู้จักและรู้ใจเค้ามากขึ้น การได้โอ๋ให้เค้าหยุดร้องแบบที่คนอื่นทำไม่ได้ รวมทั้งการลืมไปแล้วว่า "เวลาส่วนตัว" คืออะไร เพราะการได้ใช้เวลาอยู่กับลูกนี่ล่ะ คือ ความสุขที่สุด ยิ่งเวลาได้อยู่ด้วยกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก แล้วละก็ ยิ่งเป็นความสุขเหนือสิ่งอื่นใด

ที่เค้าว่าเลี้ยงลูกมันลำบากในช่วงแรกๆ พ้น 3 หรือ 4 เดือนไปแล้ว คราวนี้ละ อะไรๆจะง่ายขึ้น แถมจะติดลูกเอามากๆด้วย ก็เห็นท่าว่าคงจะจริง!!

วันเสาร์, สิงหาคม 18, 2555

ไตรมาสสุดท้าย

และแล้วก็ถึงไตรมาสสุดท้าย เห้อออ.....ตื่นเต้นๆๆ!!

3 เดือนสุดท้ายของการอุ้มท้อง หลายคนบอกว่า คุณแม่ต้องพักผ่อนให้มากๆ งีบให้เยอะๆ เพราะร่างกายคุณแม่จะอุ้ยอ้าย และอ่อนเพลียมาก จริงยิ่งกว่าจริง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเกือบ 15 โล ตอนนี้ทำให้เดินเหิน นั่งนอน ลำบากมากๆ จะทำอะไรก็ติดพุงตลอด หนักก็หนัก พุงก็ใหญ่ เหนื่อยก็เหนื่อย น้ำหนักแค่พุงอย่างเดียวก็น่าจะเทียบเท่ากับแบกข้าวสาร 3-4 โลได้แล้วล่ะมั้ง เพราะทั้งน้ำ ทั้งรก ทั้งลูกน้อย ทั้งกล้ามเนื้อมดลูก รวมๆกันอยู่ เวลานอนแล้วจะลุกทีแทบอยากจะหารถเครนมาลาก มันลุกไม่ขึ้นจริงๆนะ ต้องตะแคงข้างก่อนแล้วค่อยๆดันตัวขึ้น พระเจ้า...เกิดมาไม่เคยหนักขนาดนี้มาก่อน!!! ฉั้นเห็นตัวเองแล้วก็อดปลงไม่ได้ เพราะตอนนี้ตัวกลมมาก แขนกลายเป็นขา ส่วนขาก็กลายเป็นขาโต๊ะสนุ้กไปแล้วเรียบร้อย ไม่ใช่แค่น้ำหนักที่เพิ่ม แต่เป็นปริมาณน้ำที่ร่างกายเก็บกักสะสมไว้ด้วย ทำให้ออกอาการทั้งอ้วนและบวม ฉั้นต้องดื่มน้ำเยอะมากเพราะลูกน้อยต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงเยอะๆ และเพื่อหล่อเลี้ยงให้ผิวพรรณชุ่มชื่นอีกต่างหาก เวลาร่างกายขาดน้ำทีไรบางช่วงที่อากาศเย็นๆ ผิวฉั้นแห้งแตก จนเป็นผื่นเต็มขาไปหมด แถมผื่นแห้งตกเสก็ดก็ทิ้งร่องรอยแผลเป็น แล้วฮอร์โมนก็ทำให้ร่องรอยแผลเป็นมีสีคล้ำขึ้นอีก ทำให้รู้สึกว่าตอนนี้ฉั้นมีแผลเป็นจากสิวเต็มหน้า และแผลเป็นจากรอยผื่นเต็มขา แถมผิวบางช่วงที่แตกลาย เพราะครืมบางตัวที่ใช้ก็เอาไม่อยู่ โชคดีที่พุงไม่ลาย แต่กลับกลมมน เต่งตึง สวยงาม ค่อยยังชั่ว!! ฉั้นปวดหลังเพราะต้องแอ่นตัวถ่วงน้ำหนักเอาไว้ตลอดเวลา ปวดขาเพราะน้ำหนักที่แบกรับเอาไว้ทำให้น่ังนานไม่ค่อยจะได้ บางวันเท้าและข้อเท้าบวมตุ่ยจนรองเท้าเบอร์เดิมที่เคยใส่แทบจะยัดไม่เข้า ยิ่งถ้าเดินมากๆกลางคืนอาจจะปวดขาจนนอนไม่หลับทีเดียวเชียว ไม่ว่ายน้ำก็ต้องนอนพาดขาสูงๆเข้าไว้จะช่วยได้ระดับนึง อาการปวดข้อมือข้างซ้ายก็ใช่ย่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืน หมอสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากแรงกดทับที่เส้นประสาทบางเส้นที่ทำให้ปวดมาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่เดือนที่ 6 เห็นจะได้ กลางวันก็ง่วงเหงาหาวนอนจนต้องหาเวลางีบหลับเป็นประจำ แม้จะมีอาการมากมายหลายอย่างที่บางครั้งเล่นเอาซะจิตตก หดหู่ แต่ก็ได้กำลังใจจากแฟบนี่ล่ะ เป็นแรงสำคัญ คอยบอกว่าฉั้นสวยบ้าง บอกว่ามีความสุขบ้าง บอกว่าภูมิใจบ้าง แฟบไม่เคยทิ้งให้ฉั้นหดหู่อย่างเดียวดายเลย ไม่เคยปล่อยให้ฉั้นไปหาหมอคนเดียว ไม่เคยปล่อยให้ฉั้นเศร้าซึมนาน แค่เห็นฉั้นซึมๆก็คอยถามไถ่และให้กำลังใจตลอด แม้เค้าจะเหนื่อยจากงานแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิดใส่ฉั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เห็นอย่างงี้แล้วฉั้นได้แต่บอกตัวเองว่า เหนื่อยแค่ไหนก็จะสู้!! >..<' แถมทุกครั้งที่ไปหาหมอ แล้วได้ยินหมอบอกว่า ทุกอย่างโอเค เพอร์เฟ็ค อาการต่างๆจะหายไปหลังคลอด ส่วนหัวใจลูกน้อยเต้นก็เป็นจังหวะแข็งแรง แขนขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวตลอดเวลา แถมน้ำหนักก็ขึ้นตามเกณฑ์ปกติ ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูก แค่นี้ก็ทำให้ยิ้มได้ และใจชื้นกันทั้งพ่อทั้งแม่ 

ฉั้นเฝ้าลูบพุงตัวเองอยู่ทุกวันอย่างมีความสุข จนเข้าเดือนที่ 8 ลูกเริ่มเคลื่อนไหวแรงมาก ทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งยืดเหยียด ทั้งม้วนตัว เช้าบางเช้าตื่นเพราะโดนปลุกจากแรงดิ้นก็มี แต่ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่ทำก็คือลูบไล้พุงตัวเองเพื่อเล่นกับเค้าและเพื่อเช็คว่าตอนนี้เค้ากำลังนอนอยู่ด้านไหน ซ้ายหรือขวา เพราะส่วนที่นูนกว่าส่วนอื่นทำให้รู้ได้แล้วว่า เป็นหลังหรือก้น และส่วนที่ดุ๊กดิ๊กไปมาอีกด้านก็ต้องเป็นเท้า และดุ๊กดิ๊กเบาๆอยู่ด้านล่างหน่อยก็คือมือน้อยๆ ตอนนี้เค้ามีสัมผัสการรับรู้และได้ยินแล้ว จึงตอบสนองฉั้นได้ บางวันก็ให้พ่อเค้าชวนคุย แฟบคุยกับลูกผ่านพุงฉั้น รอซักพักเค้าก็จะขยับตัวเคลื่อนไหวไปมาตอบรับ เรามีความสุขและตื่นเต้นกันมากทุกครั้งที่เห็นพุงเคลื่อนไหวราวกับคลื่นใต้น้ำ น้ำหนักลูกเพิ่มอย่างรวดเร็วมากช่วงนี้ ฉั้นต้องเข้าห้องน้ำถ่ายเบาบ่อยขึ้น เพราะเค้าเริ่มยืดเหยียดและดันพุงส่วนล่างจนบีบกระเพาะปัสสวะฉั้นไปด้วย ช่วงนี้ฉั้นตื่นแต่เช้าทุกวันเพราะแรงเคลื่อนไหวของเค้าในช่วงเช้าๆทำให้รู้สึกตัวตื่น แต่บ่อยครั้งที่ตื่นกลางดึกเพราะมือและแขนชา หรือไม่ก็ปวดข้อมือ ไม่ก็ปวดฉี่ ไม่ก็อยากรู้ว่าท่านอนของเราทำให้ลูกอึดอัดรึป่าว เค้าจะดิ้นแรงมากอีกทีช่วงก่อนเที่ยงและช่วงเย็น หมอบอกว่ายิ่งลูกดิ้นแรงและบ่อยยิ่งดี ฉั้นเองก็ว่างั้นเพราะนอกจากมันทำให้ฉั้นมีความสุขมากมายแล้วมันยังบ่งบอกว่าเค้าแข็งแรงและแอ็กทีฟดีอีกด้วย 

ไตรมาสนี้เป็นไตรมาสที่ทุกอย่าง 'จริง' มากขึ้น ไม่ใช่แค่ความสุขอย่างที่บอก แต่เป็นเพราะมีความตื่นเต้น ความประหม่า ความกลัว และกังวล ปนอยู่ด้วย และแทนที่ฉั้นนจะพักผ่อนมากๆ แต่กลับตรงกันข้าม ไตรมาสนี้กลับเป็นช่วงเวลาที่ต้องทำงานหนักที่สุด เพราะเรายังต้องเตรียมความพร้อมอีกหลายอย่าง  เราเตรียมห้องนอน เตียงนอน โต๊ะสำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อม ตู้เก็บข้าวของเครื่องใช้ ตกแต่งให้ดูน่ารัก สะอาดสะอ้าน ฉั้นเตรียมทำความสะอาดและจัดระเบียบ ซักรีดเสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าอ้อม ผ้าขนหนู แกะกล่องข้าวของเครื่องใช้ต่างๆแล้วเริ่มศึกษาว่ามันใช้ยังไง เช่น เครื่องปั้มนม เครื่องทำความสะอาดขวดนม เก้าอี้นั่งเล่นลูก ฯลฯ ยังมีอ่างอาบน้ำและเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆที่เป็นรายละเอียดที่ยังขาดอยู่ และต้องไปเดินหาซื้ออีกหลายอย่าง ที่ขาดไม่ได้คือ ฉั้นต้องเตรียมแพ็คกระเป๋าสำหรับไปโรงพยาบาลในวันคลอดเอาไว้ด้วย ซึ่งต้องเตรียมทั้งของเราและของลูก เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะพร้อมเมื่อไร จะเกิดขึ้นวันไหน อาจเป็นเมื่อไรก็ได้เมื่อย่างเข้าสู้เดือนที่ 9 ตอนนี้ฉั้นเตรียมใจเรื่องความเจ็บเอาไว้แล้ว แม้จะยังกลัวอยู่ แต่แฟบก็คอยให้กำลังใจฉั้นอยู่ตลอด 

เมื่อมัน 'จริง' ขึ้นเรื่อยๆอย่างนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ฉั้นลืมไม่ได้เลยก็คือ การเตรียมพร้อมให้ตัวเองในการเป็นแม่ ฉั้นไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงนึกไม่ออกว่าจะเลี้ยงลูกแบบไหน เท่าที่ทำได้คือ จินตนาการว่า ลูกจะอยากมีแม่แบบไหน แล้วฉั้นควรจะเป็นแม่แบบไหนให้ลูก และที่สำคัญฉั้นอยากให้ลูกฉั้นเป็นคนแบบไหนเมื่อเค้าเติบโตขึ้น ฉั้นเริ่มจากการนึกถึงตัวเอง นึกถึงอดีตของตัวเอง ทบทวนว่าเราเติบโตมาจากครอบครัวแบบไหน ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน สิ่งไหนที่เราชอบ สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ สิ่งไหนที่เกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนฉั้นจากคนที่ควรเป็นและอยากเป็นในอดีต ฉั้นนั่งคิดและทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำความเข้าใจ พยาม Complete กับอดีตของตัวเอง ฉั้นเชื่อว่าคนเราเกิดและเติบโตมากับครอบครัวที่เลี้ยงดูในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และการถูกอบรมเลี้ยงดูมีผลกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันของเราทุกคน อาจมีบางความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในใจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาจมีบางอย่างที่ครอบงำความคิดและความเชื่อของเราและทำให้เราดำเนินชีวิตในแบบที่เราอาจไม่ได้ต้องการ อาจมีบางเหตุการณ์ที่ต้องย้อนนึกถึงและทำความเข้าใจเพราะมันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนความเป็นตัวตนและบุคลิกของเรา ฉั้นนั่งคิดและทบทวนคำสั่งสอนและการเลี้ยงดูของพ่อแม่อีกครั้งและมองเห็นหลายอย่างที่เราทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ใช้เวลาซักพักใหญ่ๆกว่าจะเข้าใจที่มาที่ไปของความเป็นตัวตนของตัวเอง การทำแบบนี้มันช่วยให้อย่างน้อยฉั้นก็เห็นหลายๆสิ่งในภาพอดีตที่มันอาจไม่สมบูรณ์แบบ ภาพที่มันอาจมีผลต่อสภาพจิตใจฉั้นมาเนิ่นนานทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ภาพทั้งหมดถูกประกอบขึ้นใหม่ให้เป็นภาพที่มองออก และเข้าใจได้ ฉั้นต้องการให้ภาพอดีตของฉั้นเป็นตัวอย่างในการเรียนรู้ ให้รู้ว่าสิ่งไหนที่พ่อแม่ควรและไม่ควรทำ ฉั้นเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตไม่ได้ แต่ฉั้นก็รู้แล้วว่าฉั้นต้องการเป็นแม่แบบไหน เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสได้ทำหน้าที่นี้ ฉั้นจึงอยากจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด มันเป็นความภูมิใจอยู่ลึกๆที่ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้หญิงเต็มตัว ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่มีผู้ชายดีๆคนหนึ่งให้ความไว้วางใจและให้โอกาสฉั้นได้เป็นแม่ของลูกเค้า แต่มันยังอยู่ที่ว่า ฉั้นภูมิใจที่จะได้ทำหน้าที่ดูแล ปกป้อง รับผิดชอบ และอีกหลายอย่างให้กับลูกน้อยที่เกิดจากความรักของเราสองคน การเตรียมความพร้อมจึงไม่ได้อยู่แค่วินาทีนี้ แต่ฉั้นต้องมองไปอีกไกล ล่วงหน้าไปอีกหลายปี จึงต้องเริ่มจากการสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเองเป็นอันดับแรก 

ฉั้นมีความเชื่อว่าพ่อแม่ที่สร้างลูกด้วยความรัก ไม่จำเป็นต้องสร้างความเชื่อให้ตัวเองและลูกว่า วันหนึ่งลูกจะต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณ เพราะเค้าไม่ได้เป็นคนร้องขอให้เราให้กำเนิดเค้า ทุกอย่างเกิดจากการตัดสินใจของเรา ไม่ว่าจะด้วยความพลาดหรือด้วยความพร้อมก็ตาม หน้าที่ของพ่อแม่ที่ดี คือ สร้างความพร้อมให้กับลูก เพื่อให้เค้าได้มีชีวิตและใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ฉั้นกับแฟบเชื่อในแบบเดียวกันว่าเราจะมีโอกาสทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ไม่เกิน 25 ปีหรอก เพราะเมื่อเค้าถึงวัยนั้น ลูกก็จะรู้แล้วว่าเค้าอยากมีชีวิตแบบไหน มีความฝัน และทางเดินของตัวเอง และเราก็ต้องเข้าใจและให้โอกาสเค้าได้ดำเนินชีวิตในแบบที่เค้าต้องการ สิ่งที่สำคัญของการเป็นพ่อแม่ คือ การเป็นผู้ให้ เป็นครู เป็นคนคอยสอน คอยชี้แนะ คอยให้คำแนะนำ และเป็นที่พึ่งคอยช่วยเหลือดูแล การเตรียมความพร้อมให้เค้าสามารถใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องจึงเป็นภาระกิจสำคัญ พ่อแม่จึงไม่ควรทำตัวเป็นภาระของลูก ด้วยการไม่วางแผนให้ตัวเองในยามแก่เฒ่า แล้วยัดเยียดภาระหน้าที่ให้ลูกเป็นผู้ดูแลเรา ด้วยความเชื่อเรื่องการทดแทนคุณ ความเชื่อเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แม้ฟังดูแล้วอาจจะยากเพราะเราไม่รู้อนาคตและอาจขัดกับความเชื่อของคนไทยหลายๆคน แต่ฉั้นว่ามันไม่ยุติธรรมที่เราจะกลายเป็นคนที่เหนี่ยวรั้งชีวิตลูกไว้ จนเค้าต้องละทิ้งความฝัน ละทิ้งชีวิตที่เค้าต้องการ เพื่อคอยดูแลเราจนเราแก่เฒ่าหรือจนกว่าจะตายจากกัน ในขณะเดียวกันพ่อแม่ที่ยังพอมีเรี่ยวแรงก็ไม่ควรละทิ้งภาระหน้าที่ของตัวเองเพียงเพราะคิดว่าลูกๆดูแลตัวเองกันได้แล้ว เพราะความเป็นพ่อ แม่ ลูก มันเป็นสายสัมพันธ์ที่ผูกพันธ์ เชื่อมโยง และยึดเหนี่ยว สำหรับฉั้น เราทั้งคู่ต้องสามารถทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับได้อย่างเท่าเทียมและมีความสุข ความสุขของการเป็นผู้รับและผู้ให้จะไม่ทำให้ใครเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่ต้องมีความรู้สึกผิดหรือถูกมาเกี่ยวข้องมากเกินไป แต่เราจะนึกถึงกันและกันอย่างอบอุ่นใจอยู่เสมอ นั่นคือ ครอบครัว ในแบบที่ฉั้นคิดว่ามันควรจะเป็น

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 09, 2555

มาบราซิล ไม่ต้องใช้วีซ่า

ใช่จ้า 'มาบราซิล ไม่ต้องใช้วีซ่า' เพราะอย่างงี้นี่เอง เลยมีหลายๆคนแอบส่งข้อความมาถามฉั้นหลังไมค์(คล้ายกับเป็นดีเจ!!) ว่า ถ้าจะไปบราซิล อันตรายมั้ย ช่วยแนะนำหน่อย, ประเทศเค้าสวยมั้ย, ผู้คนเป็นยังไง, วัฒนธรรมเป็นยังไง บ้างก็ขอคำแนะนำ บ้างก็ขอความช่วยเหลือ บ้างก็ขอให้พาเที่ยวพาทัวร์ซะงั้น บ้างก็ถามไปถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสกับชาวบราซิลเลี่ยนโน้น.... 

จะว่าไปแล้ว ฉั้นก็เป็นแค่คนต่างชาติคนนึงที่มาอาศัยอยู่ในเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล ไม่ได้ชำนาญเรื่องภาษา ไม่ได้ชำนาญเรื่องสถานที่ ไม่ได้มีงานทำที่นี่ และไม่ได้มีเพื่อนมากมาย บล๊อคของฉั้นก็เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของฉั้น ที่สะสมจากการสังเกตุสังกา จากประสบการณ์ และการเรียนรู้ที่จะอยู่ที่นี่ให้รอดและปลอดภัย ฉั้นดีใจที่มีคนแวะเข้ามาอ่าน และติดต่อเข้ามาสอบถามข้อมูลหลายๆอย่าง หรือฝากคอมเม้นต์ไว้บ้าง มันทำให้ฉั้นรู้สึกว่าฉั้นมีตัวตน มีเพื่อน และได้ทำอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์บ้าง แต่ฉั้นก็ไม่ได้สามารถช่วยเหลือได้ทุกเรื่องเพราะไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น และมีอยู่เรื่องนึงที่ทำให้ฉั้นอดเป็นห่วงไม่ได้ ก็คือ สาวๆหลายๆคนสนใจอยากมาบราซิล และคิดจะมาคนเดียว เอ่อ...อันนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่ง บางคนอยากแค่มาเที่ยว มาดูงาน แต่บางคนก็มาอยู่ คนที่มาอยู่ก็น่าห่วงอีก เพราะบางคนยังมีสถานภาพโสด แต่อาจเพราะมีแฟนเลยเดินทางมาอยู่ด้วยกัน ฉั้นไม่ห่วงและไม่ก้าวก่ายเรื่องชีวิตส่วนตัวนะ แต่การมาในลักษณะนี้ค่อนข้างเข้าข่าย เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เพราะเราจะอยู่ได้แค่ชั่วคราวด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวเท่านั้น ครบกำหนด 3 เดือน วีซ่าหมด ถ้าไม่หาเรื่องเดินทางก็ต้องบินกลับเมืองไทย  ไม่ค่าปรับ ก็ค่าตั๋วเครื่องบิน ที่จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายตามมา แถมเสียพลังอีกต่างหากเพราะบินกลับบ้านที ไกลโขอยู่ ก็ไทยกับบราซิล ไกลกันคนละซีกโลกเลยนี่นา!!

มีบางคนถึงขั้นถามมาว่า ถ้าจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับบราซิลเลี่ยนต้องทำไง ยุ่งยากแค่ไหน อาจเพื่อตัดปัญหาเรื่องความลำบากที่ว่า หรือไม่ก็เพราะอยากจะแต่งจริงๆ ฉั้นไม่รู้เลยไม่กล้าแสดงความคิดเห็นว่าควรจดหรือไม่ควรจด ได้แต่ให้คำแนะนำเล็กๆน้อยๆเรื่องขั้นตอน แต่ฉั้นเองก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อำเภอซะด้วยสิ แต่งงานก็แต่งมาแค่ครั้งเดียว มันก็เลยค่อนข้างจะเลือนๆลางๆอยู่ กลัวบอกไปผิดๆถูกๆ เกิดไปเจอเข้ากับตัวแล้วแตกต่างกับประสบการณ์ที่ฉั้นเจอ ทำไง? แต่ก็อยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองไว้นิดนึงแล้วกัน เอาเป็นว่า ............ กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว (คือ นานประมาณ 2 ปีที่แล้วอ่ะนะ)  .............. 

ฉั้นและแฟนตัดสินใจจะแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน ฉั้นก็ทำเหมือนหลายๆคนนั่นแหละ ที่มาอยู่ก่อนแล้วค่อยมาดำเนินการที่หลัง เพราะคำว่า 'มาบราซิล ไม่ต้องใช้วีซ่า' นี่แหละเป็นเหตุ แต่โชคดีที่เช็คมาก่อนว่าต้องใช้อะไร เตรียมอะไรบ้างในการจดฯ เอกสารที่สำคัญที่สุดก็คือ เอกสารรับรองความเป็นโสด ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเท่าที่รู้เราสามารถ Download จากเว็บไซต์สถานทูตได้ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรื่องเอกสารอย่างเดียว แต่มันยังอยู่ที่เรื่องเวลาที่จะต้องใช้ และเอกสารที่ต้องดำเนินการเปลี่ยนหลังจากสมรสแล้วอีก ซึ่งก็มีผลไปถึงว่าเราอาจต้องไปๆกลับๆระหว่างไทย-บราซิล อีกซักกี่รอบถึงจะเสร็จสมบูรณ์ก็ไม่รู้ อย่างกรณีของฉั้น เราเริ่มดำเนินการตอนที่เราสองคนยังอยู่เมืองไทยอยู่ จึงเริ่มงกๆเงิ่นๆงงๆตั้งแต่การขอเอกสารรับรองความเป็นโสด สำหรับฉั้น ซึ่งเป็นคนไทย อยู่ในไทย ก็ไปขอจากอำเภอ ใช้เอกสารที่จำเป็นในการยื่นขอ เช่น ทะเบียนบ้าน, บัตรประชาชน สำหรับแฟนซึ่งเป็นบราซิลเลี่ยนอยู่ในไทยก็ Download จากเว็บไซต์สถานทูตของเค้า Download มาก็จะเป็นภาษาโปรตุกีซตามระเบียบ ก็ต้องเอาไปแปลเป็นอังกฤษก่อนซึ่งแฟนฉั้นแปลเองได้ก็แปลเองเลย เสร็จก็เอาไปยื่นให้สถานทูตบราซิลในไทยเพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารและการแปล โดยต้องยื่นไปพร้อมกับ Copy Passport ตามปกติ หรือทางสถานทูตบราซิลอาจขอเอกสารอื่นๆเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษอีกก็มีเหมือนกัน นั่นก็เป็นเรื่องที่แฟนเราต้องเป็นคนจัดการ เบ็ดเสร็จใช้เวลารอประมาณ 1-2 อาทิตย์ได้ จนกว่าเอกสารจะได้การรับรองว่าถูกต้องอย่างเป็นการ ถึงจะเอาเอกสารของแฟนเราทั้งหมดนั้นไปแปลเป็นภาษาไทยอีกที ตามร้านแปลเอกสารที่ได้อนุมัติสามารถแปลและรับรองการแปลถูกต้องจากกระทรวงการต่างประเทศ (ไม่งั้นต้องไปดำเนินการที่กรมการกงสุลแทนนะ ถูกกว่าแต่ใช้เวลานานกว่า) ถึงจะเป็นอันเสร็จขั้นตอน "การเตรียมเอกสาร" 

หลังจากเตรียมเอกสารและแปลมาเรียบร้อย ก็ถึงจะจูงมือกันไปอำเภอหรือสำนักงานเขต(ไหนก็ก็ได้)เพื่อไปสู่ขั้นตอน "การจดทะเบียนสมรส" ขั้นตอนนี้ คุ้นๆว่า แฟนเราจะต้องมี Bank Statement หรือ Slip เงินเดือน แนบไปด้วยเพื่อรับรองรายได้ของเค้าด้วยนะ กรณีฉั้น ไม่ได้จดฯในไทย แต่มาจดฯที่สถานทูตไทยในบราซิล (เพราะก่อนหน้านั้นไปอยู่นิวซีแลนด์กันมาก่อน เอกสารก็เลยถูกหอบหิ้วเดินทางไปมาอยู่นานพอสมควร) จดที่บราซิลเสร็จก็ได้แค่ทะเบียนสมรสฉบับภาษาไทยมา ก็ต้องหิ้วทะเบียนสมรสที่ได้จากสถานทูตไปสู่ขั้นตอน "การเปลี่ยนแปลงหรือ Update เอกสาร" ต่อไป ซึ่งขั้นตอนนี้นี่เองที่ต้องบินกลับมาทำที่เมืองไทย เอาทะเบียนสมรสไป ดำเนินการแจ้งเปลี่ยนนามสกุล กับคำนำหน้าชื่อจากนางสาวเป็นนาง ในทะเบียนบ้าน ที่สำนักงานเขตที่ฉั้นมีชื่ออยู่ แล้วถึงจะเปลี่ยนบัตรประชาชนใหม่ (โดยจะได้ใบเหลืองมาก่อน ตัวจริงต้องรอมารับภายหลัง)  ฉั้นมีเวลาแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้นในการดำเนินการขั้นตอนนี้ให้เสร็จ แถมดันมีปัญหาว่าสถานทูตไทยในบราซิลดันไม่แจ้งมาที่กงสุลไทยให้รับทราบว่าเราสองคนสมรสกันแล้วสำนักงานเขตก็เลยหาข้อมูลเราในระบบไม่เจอ ความยุ่งยากบังเกิดอีก แฟนฉั้นเลยต้องมาที่เขตเพื่อมาเซ็นยืนยันให้อีกรอบในการรับรองและอนุญาตให้ฉั้นใช้นามสกุลเค้าได้ แล้วฉั้นเองก็ต้องขอให้เขตออกเอกสารพิเศษให้ฉั้นเพื่อระบุว่าฉั้นขอแจ้งเปลี่ยนจากนางสาว เป็น นาง อย่างถูกต้องตามกฏหมายใหม่ เพราะสรุปว่าใบทะเบียนสมรสที่ออกให้โดยสถานทูตที่เราหิ้วมา ระบุแค่ว่าเราสองคนสมรสกันแล้ว แต่ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ เช่น จะใช้นามสกุลอะไร ใช้นางสาวหรือนาง ฯลฯ แนบมาด้วยเลย ไอ้เราก็ไม่รู้ ไม่เคยจดฯมาก่อนนี่นา ยุ่งยากดีมั้ยล่ะ!!! ฉั้นวุ่นวายอยู่่ที่เขตเป็นนานสองนานและหลายวันอยู่ ติดต่อกลับมายังสถานทูตไทยในบราซิลก็ไม่ได้ เพราะเวลาต่างกันเป็นวัน และติดต่อสถานทูตก็รู้ๆกันอยู่!! ฉั้นคุยกับพนง.ในเขตเกือบทุกคนจนเค้าจำหน้าฉั้นได้หมด ขอความช่วยเหลือไปถึงหัวหน้าเขตนู้นนนนน วิงวอนขอให้ช่วยทำยังไงก็ได้ให้ใบทะเบียนสมรสฉบับนั้นมีผลอย่างเป็นทางการ ไม่งั้นทำอะไรต่อไม่ได้เลย แล้วมีเวลาแค่ 2 อาทิตย์ในการดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนนั่งเครื่องกลับบราซิล(ซึ่งถ้าทำเรื่องจดทะเบียนในเมืองไทยคงไม่เจอปัญหานี้) แต่สุดท้ายก็สำเร็จ เสร็จธุระกับทางเขต แต่ยังไม่หมดขั้นตอน จากนั้นฉั้นต้องเอาเอกสารที่ได้จากทางเขตไปทำพาสปอร์ตใหม่ ที่กองสัญชาติและนิติกรณ์ อาคารกรมการกงสุล ที่ตั้งอยู่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ แล้วก็ต้องแปลเอกสารทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งทะเบียนสมรส ทะเบียนบ้าน ใบเกิด ใบเปลี่ยนชื่อ(ถ้ามี) ใบเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ ใบเปลี่ยนนามสกุล บัตรประชาชน ฯลฯ ซึ่งต้องเตรียมถ่ายเอกสารและจัดระเบียบเอกสารให้ดีเลยล่ะ เพราะใช้หลาย copy มาก ในการนำไปยื่นขอรับรองว่าเอกสารและการแปลนั้นถูกต้องนำไปใช้ในต่างประเทศได้ ซึ่งทั้งหมดก็ดำเนินการที่กรมการกงสุลนั่นแหละ ใช้เวลาในการยื่นขอรับรองเอกสารประมาณ 3 วัน แต่รวมแล้วเรียกว่านั่งรถแท็กซี่ตะลอนไปๆกลับๆระหว่างที่พัก สำนักงานเขต และกรมการกงสุล อยู่หลายต่อหลายรอบ เบ็ดเสร็จแบบฉิวเฉียด เส้นยาแดงผ่าแปด ทันกำหนดกลับบราซิลพอดิบพอดี ตั้งแต่ต้นจนจบสำหรับขั้นตอน นี้ก็ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์....ปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว!! 

หลังจากกลับมาบราซิล ฉั้นก็ถึงเอาเอกสารทั้งหมดมาทำเรื่อง "ขอวีซ่าอยู่ถาวรในฐานะภรรยา" เอกสารทั้งหมดที่แปลมาเป็นภาษาอังกฤษ ต้องถูกแปลเป็นโปรตุกีซ อีกรอบ (จริงๆจะแปลจากเมืองไทยที่ร้านแปลเอกสารที่สถานกงสุลแล้วรับรองเผื่อมาเลยก็ได้นะ!!) เพื่อใช้ในการยื่นขอ ทะเบียนสมรสฉบับบราซิล แล้วจึงนำไปยื่นขอวีซ่าอยู่ถาวร แต่เพราะที่นี่ใช้ภาษาโปรตุกีซในการสื่อสารและดำเนินการ ที่สำคัญดูเหมือนพวกเค้าจะไม่ค่อยคุ้นกับกรณีชาวบราซิลแต่งงานกับคนต่างชาติด้วย เลยต่างคนต่างงง ทั้งเจ้าหน้าที่ราชการ และทั้งเรา เราเลยลงทุนจ้างเอเจนซีให้ดำเนินการให้! ซึ่งก็มีเรื่องให้ได้ปวดตับตามมาอีกหลายขั้นตอน มีเอกสารอื่นๆที่ต้องเซ็นอีกหลายต่อหลายฉบับ แต่สุดท้ายก็จบแบบแฮ้ปปี้เอ็นดิ้งนะ เพราะตอนนี้ถึงแม้ฉั้นจะยังไม่ได้วีซ่าถาวรอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็มีแสตมป์ไว้ในพาสปอร์ตว่าสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย เบ็ดเสร็จรวมแล้วใช้เวลาเป็นปี ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!

เอาล่ะ คงไขข้อข้องใจสำหรับสาวๆบางคนได้บ้างไม่มากก็น้อย หรืออาจยิ่งข้องใจหนักเข้าไปใหญ่ พระเจ้า มันจะยุ่งยากไปป่าว??!! นี่แหละเลยเป็นที่มาของการเขียนโพสต์นี้ เผื่อบางคนที่กำลังตัดสินใจทำการใหญ่ จะได้วางแผนถูกว่าจะทำขั้นตอนไหน ที่ไหน อย่างไรดี ให้ง่ายและประหยัดเวลาได้มากที่สุด

สำหรับฉั้นแล้ว เวลาเราตัดสินใจจะทำอะไรแล้วคงไม่มีอะไรจะหยุดเราไว้ได้ เรื่องที่ยากที่สุดคือการเริ่มลงมือทำมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มนับ 1 ที่ตรงไหน ยังไงดี ขอบอกว่าการมีแฟนเป็นชาวต่างชาติมีเรื่องต้องทำใจหลายอย่างนะจ๊ะ ฝากไว้เป็น....อะไรดี .....เป็นอุทาหรณ์เหรอ?? เพราะนอกจากความยุ่งว่นวายเกี่ยวกับเอกสารทางราชการ เรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของตัวเราเองในต่างแดน ก็ยังมีเรื่องให้ต้องคิดทบทวนดีๆอีกว่า จะเกิดไรขึ้นถ้าเค้าต้องเดินทางไปประเทศอื่นที่เราอาจไม่ควรตามไปด้วย? หรือถ้าเค้าต้องไปประเทศอื่นที่เค้าไม่จำเป็นต้องใช้วีซ่าแต่เราต้องใช้? หรือถ้าเค้าต้องไปประเทศอื่นที่เค้าอาจจะใช้ชีวิตอยู่แค่ชั่วคราว? ที่สำคัญ เราควรทำยังไงถ้ายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน!!?? สำหรับฉั้นเองก่อนตัดสินใจหนีตาม เอ้ย...ย้ายตาม!! ก็ยังต้องตรวจสอบตัวเองอีกด้วยว่าคุ้มมั้ยถ้าเราจะสละชีวิตของเราเพื่อจะติดตามคนที่เรารัก กว่าจะเจอประเทศที่เราคิดกันว่าเราน่าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้อย่างมีอุปสรรคน้อยที่สุด เค้าและฉั้นต้องรอความลงตัวกันเป็นปี อยู่ห่างกันเป็นนานสองนาน กว่าจะได้เริ่มออกเดินทางตามหาหัวใจ (ฮิ้วววว!! ^^) การต้องตัดสินใจลาออกจากงาน ละทิ้งภาระหลายๆอย่าง เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ซึ่งอาจไม่เหมือนบางคนที่อาจจะไม่มีภาระอะไรเลย ฉั้นต้องลาออกจากงาน ประกาศขายรถ(แล้วกว่าจะขายได้ เล่นเอาเหนื่อย) ต้องใช้หนี้บัตรเครดิต หนี้ค่าโทรศัพท์ หนี้อะไรก็ตามให้หมด ต้องแจ้งบริษัทประกันที่ทำประกันชีวิตไว้ว่าจะย้ายที่อยู่ ปิดบริการมือถือ ยกเลิกโทรศัพท์ ยกเลิกอินเตอร์เน็ต ปิดบัญชีธนาคารบางธนาคาร เช็คและเตรียมตรวจสอบบัญชีเงินฝาก เงินลงทุน เพื่อเปิดบริการใช้งานทางอินเตอร์เน็ต ต้องวางแผนว่าจะดูแลแม่และครอบครัวยังไงเพื่อไม่ให้เค้าคิดว่าฉั้นทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบไปเฉยๆ จะต้องดูแลตัวเองยังไงในต่างแดน แล้วถ้าความรักมันเกิดไม่สมหวังอย่างที่คิดจะเดินทางกลับยังไง เอาเงินที่ไหนซื้อตั๋วเครื่องบิน จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองยังไง ถ้าไม่มีงานไม่มีเงินเดือนที่หาได้เอง ไม่มีเพื่อนฝูงและอยู่ห่างไกลครอบครัว และหนทางข้างหน้าจะเจออะไรบ้าง ความอดทนจะมีมากพอรึป่าว โดยเฉพาะไปอยู่ในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักหรือภาษาที่สอง แล้วแฟนเราจะช่วยเหลือเราได้มากแค่ไหน และอีกมากมายหลายคำถาม  

ไม่มีเส้นทางใดที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ สำหรับฉั้น การมาที่นี่จึงถือเป็นความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน แต่การลงทุนคือความเสี่ยง!! จึงต้องอาศัยทั้งความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ อาศัยเวลา อาศัยความรักและความมั่นใจ อาศัยการช่วยเหลือเกื้อกูล ดูแล เอาใส่ใจ อาศัยความอดทน และอาศัยเงินด้วย(สำคัญที่สุด) การมาบราซิล โดยไม่ต้องใช้วีซ่า ในความคิดฉั้นมันจึงดีแค่สำหรับตอนมาเที่ยว ที่สามารถจองตั๋วเครื่องบินแล้วแพ็คกระเป๋ามาได้เลย แต่การมาอยู่ที่นี่นั้นเป็นอีกเรื่องที่ไม่อยากให้ใครก็ตามประมาท มาโดยไม่มีแผนสำรอง เพราะอาจต้องหอบกระเป๋ากลับบ้านอย่างไม่มีแผนสำรองเหมือนกัน แต่อย่างที่บอก ถ้าไม่มีภาระอะไรให้ต้องห่วงหน้า พะวงหลังแล้วละก็ 'การมาบราซิล โดยไม่ต้องใช้วีซ่า' ก็คงทำให้ชีวิตหลายๆคนที่รักการท่องเที่ยว รักการหาประสบการณ์ และคนที่มีความรัก ง่ายขึ้นอีกโขเลยทีเดียว  

แต่ถ้าถามตัวเองว่าถ้าย้อนเวลาได้จะทำเหมือนเดิมรึป่าว คำตอบคือ แน่นอน ฉั้นจะทำเหมือนเดิม และตัดสินใจเหมือนเดิม เพราะมาแล้ว แต่งงานแล้ว จดทะเบียนแล้ว ชีวิตตอนนี้ไม่มีอะไรที่ผิดหวังซักนิดเดียว :) 


วันพุธ, พฤษภาคม 16, 2555

เจ้าชายน้อย

และแล้วภาระกิจของการเป็มแม่ในไตรมาสที่ 2 ของฉั้นก็กำลังจะเสร็จสิ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ บอกไม่ได้เลยว่าฉั้นไม่ได้นับวันรออย่างใจจดใจจ่อ เพราะทุกวันที่ผ่านไปไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าจับสังเกตุอาการ คอยวัดรอบเอว คอยช่ังน้ำหนัก คอยเฝ้าลูบไล้ คอยหมั่นทาครีมบำรุง กินวิตามินอย่างไม่ขาด และพยามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มันช่างเป็นงานหนักหนาสาหัสแต่มีความสุข 

ในแต่ละวันฉั้นเฝ้าเช็คดูความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพุงและหน้าที่แข่งกันกลมขึ้นทุกวันๆ เอวที่หนาขึ้น ไขมันที่พอกพูน อาการบวมตรงนู้นตรงนี้ อาการปวดเมื่อยในบางครั้งบางคราว ตั้งแต่เริ่มตั้งท้องเข้าสู่เดือนที่ 4 อาการแพ้ก็ยังไม่หายไปไหน ยังคงมีอาการคลื่นใส้ วิงเวียน แต่ก็น้อยลงมากจากเดือนที่ 2 และ 3 ฉั้นเริ่มกลับไปออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่เปลี่ยนจากการวิ่ง เป็นเดินช้าๆ ไม่ก็ว่ายน้ำบ้าง ครั้งละ 30-40 นาที ซึ่งก็เหนื่อยหอบใช่เล่น ต้องอาศัยนอนงีบยามบ่ายเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ร่างกายของแม่ที่ต้องหายใจเพื่อคนสองคน และกินเพื่อคนสองคนนี่มันช่างเหนื่อยเอาการ เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 นี้ ฉัั้นและแฟบต้องเริ่มเตรียมตัวอะไรหลายอย่างเพื่อลูกแล้ว เพราะต้องรีบเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ฉั้นยังมีแรงเดินเหินอย่างสบาย เนื่องจากอาการแพ้ก็ค่อยๆทุเลาและท้องก็ยังไม่โย้จนเกินไป เราจึงเริ่มแผนการเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้ลูก เราเสิร์ชหาข้อมูลกันยกใหญ่ว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้าง เสร็จสรรพก็สิสต์ออกมาจนยาวเป็นหางว่าว ไม่ว่าจะเสื้อผ้า ขวดนม ที่ปั้มนม เครื่องนอน เครื่องอาบน้ำ ผ้าห่ม ผ้าอ้อม ฯลฯ รวมทั้งเสื้อผ้าและบราสำหรับคนท้องของฉั้นเองอีกด้วย โอ้ว พระเจ้า!!! สร้างคนหนึ่งคนนี่มันยากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!! 

ใช่ แม้เราจะเตรียมใจมาก่อน แต่ก็อดจะอุทานออกมาไม่ได้ เรารีบวางแผนการเดินทางจากบราซิลไปไมอามี่, สหรัฐอเมริกา อย่างรวดเร็ว เพื่อทำการช้อปปิ้งข้าวของเครื่องใช้ที่เช็คแล้วว่าราคาถูกกว่าที่บราซิลนี่เกือบ 2-3 เท่า วิธีที่คุ้มที่สุดก็คือ การ Redeem ไมล์ที่เราสะสมจากการเดินทางครั้งก่อนๆมาแลกมาเป็นตั๋วเครื่องบินเดินทางไปฟรี แล้วเก็บเงินไว้ช้อปปิ้งให้หนำใจ การนั่งเครื่อง 8 ชั่วโมงกว่าๆ ทำให้คนท้อง 4 เดือนอย่างฉั้นถึงขั้นข้อเท้าบวมฉึ่ง! ขนาดท้องยังเล็กนิดเดียวเองนะ เจ็บก็เจ็บแต่ถึงปุ๊บก็ต้องออกทัวร์ปั๊บ กลับจากการช้อปปิ้งปุ๊บก็ต้องเอาขาพาดข้างฝาอยู่นานกว่าจะหายเจ็บและบวม เรากว๊านซื้อทุกอย่างที่คิดว่าขนไหว ทั้งรถเข็น ทั้งเก้าอี้นั่งเล่น ทั้งที่เปลี่ยนผ้าอ้อม ทั้งเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น อาการหอบแฮ่กๆอย่างคนท้องมีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ทำให้ย้อท้อเลยแม้แต่น้อย หอบทุกสิ่งทุกอย่างกลับบ้านอย่างทุลักทุกเล 

แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็สบายใจไปหนึ่งเปราะ อย่างน้อยลูกก็มีเสื้อผ้าใส่ ^^ ไม่นานนับจากนั้นฉั้นก็อุ้มท้องเข้าสู่เดือนที่ 5 อาการแพ้แบบคลื่นเหียน วิงเวียน ทุเลาไปมากจนเกือบจะหมด แต่อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องขึ้น กลับเข้ามาแทนที่ เค้าว่าเพราะเนื้อที่ของกระเพาะอาหารมันทุกเบียดให้เล็กลง และลำใส้ก็หดตัว ทำให้อาหารใช้เวลานานในการย่อยกลายเป็นแก็ซแทนที่ เรียกได้ว่าเจ้าแก๊ซนี่แหละทำพิษทั้งกลางวันกลางคืนเลยทีเดียว บางวันก็เล่นถึงขั้นปวดท้องซะนอนลำบาก ได้ยินว่าบางคนอาจท้องผูกด้วย แถมบางคืนบางวันก็มีอาการตะคริวกิน หมอแนะนำให้ดื่มน้ำเยอะๆแก้อาการแก๊ซและท้องผูก ก่อนออกกำลังกายก็ให้ยืดเส้นยืดสายนานหน่อย และกินกล้วยหอมเป็นประจำแก้อาการตะคริว ซึ่งฉั้นก็ทำตามทู้กคำแนะนำ อาการเป็นตะคริวนี่ดีขึ้นมาก แต่อาการแก๊ซในท้องยังแค่ทุเลาลง ต้องอาศัยกินช้าๆเคี้ยวให้ละเอียด ไม่กินของย่อยยาก แม้แต่อาหารเผ็ดและอาหารกลิ่นฉุน ก็ต้องเพลาๆลง

เข้าสู่เดือนที่ 6 ไม่เป็นตะคริวแล้ว แต่กลับปวดหลังและก้นกบแทน อืมม -_-' ฉั้นเริ่มรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของลูกในช่วงเดือนนี้ ความหนักแบบหน่วงๆทำให้ฉั้นเริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเวลานอนหงาย แถมต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายเบาบ่อยขึ้น เพราะกระเพาะปัสวะก็ถูกเบียดบังเนื้อที่ไปด้วยเช่นกัน ทำให้บางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ บางวันเลยต้องอาศัยการออกกำลังกายให้ได้รู้สึกเพลียๆ พอเพลียก็นอนหลับสนิทแต่พอหลับสนิทก็แถมกรนอีกต่างหาก เฮ้ออ!! และแล้วสัปดาห์ที่ 20 ก็เป็นสัปดาห์ที่ตื่นเต้นที่สุดของฉั้น เพราะสัมผัสแรกของแรงถีบของลูกทำให้ฉั้นตื่นเต้นมาก กล้ามเนื้อพุงบางส่วนถูกกระทุ้งเบาๆจากภายใน ย้ำอยู่ที่เดิม 2-3 ครั้ง ในช่วงบ่ายๆของวัน ฉั้นไม่แน่ใจนักในครั้งแรก เลยเริ่มสังเกตุในวันต่อๆมา พบว่าส่วนไหนที่ถูกกระทุ้งเบาๆ ก็จะซ้ำอยู่ที่เดิมซักพัก จนฉั้นมั่นใจว่า ใช่แล้วล่ะ!! เค้าทักทายฉั้นแล้ว!!! ^^ ฉั้นลืมความลำบากกายทุกสิ่งทุกอย่างอย่างสนิท เฝ้ารอแต่สัมผัสนี้ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เค้าขยับตัว ฉั้นจะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหว มันอดยิ้มไม่ได้จริงๆนะ เหมือนได้ความมั่นใจว่า อย่างน้อยท้องที่อูมเหมือนแบกลูกแตงโมครึ่งลูกไว้ตลอดเวลานั่น มันไม่ใช่แค่ลูกแตงโมอีกต่อไป!! ฉั้นเฝ้ารอจังหวะดีๆเพื่ออยากให้พ่อเค้าได้สัมผัสบ้าง แต่เค้าคงยังเล็กเกินไปเวลาแฟบนาบมือหนาๆหนักๆที่พุงของฉั้นทีไร ดูเหมือนเค้าก็จะเงียบไปทันที เรารอจนอีกสัปดาห์ถัดมา สัปดาห์ที่ 21 ดูเหมือนว่า แขนขาเค้าจะเริ่มแข็งแรงขึ้นแล้ว เค้าทักทายพ่อเค้าได้เป็นครั้งแรก และฉั้นเองก็รู้สึกถึงแรงการเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ภายในชัดเจนขึ้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทดแทนอาการทรมานทุกอย่างที่ผ่านมาได้จริงๆ เค้าเคลื่อนไหวของเค้าทุกวัน โดยเฉพาะเวลา(ฉั้น)หิว เวลา(ฉั้น)กิน เวลาที่เปิดเพลงแด๊นซ์ดังๆ และช่วงเวลาเย็นๆตอนพ่อเค้ากลับจากทำงานไปจนถึงเราเข้านอน แต่บางทีก็นอนไม่หลับเพราะรู้สึกว่าเค้าจะดิ้นไม่หยุด ฉั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไร และไม่รู้ว่าจะต้องทำไง เลยลองลุกขึ้นมาดื่มนมหนึ่งแก้วแล้วนอนต่อ ปรากฏว่าซักพักก็ผลอยหลับไป เลยสันนิษฐานเอาว่าเค้าคงหิว(อีกแล้ว!) พอดื่มนมก็เป็นอันว่าท้องอิ่ม เราทั้งคู่ก็หลับสบาย!

ความตื่นเต้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่เรา เพราะดูเหมือนปู่กับย่า ป้าและลุงก็จะตื่นเต้นไปด้วย ของขวัญชิ้นแรกที่ได้จากป้าตั้งแต่ยังไม่รู้เพศ ก็คือ เสื้อตัวน้อยๆ และตุ๊กตาลูกเป็ดน้อยน่ารักสีเหลืองสดใส หลังจากนั้นไม่นาน ก็เป็นเสื้อทีมฟุตบอลตัวน้อยๆจากเลขาฯแฟบ แล้วก็มีเสื้อและผ้าขนหนูจากปู่และย่า ตามมาด้วยถุงเท้า เสื้อผ้า จากลุง และอื่นๆอีกมากมายตามมาไม่ขาดสาย ฉั้นเป็นคนไทยที่ได้ยินว่าไม่ควรเตรียมข้าวของให้ลูกก่อนเค้าเกิด มาอยู่ที่นี่ ลืมไปได้เลยเคล็ดแบบนั้น เพราะคนที่นี่ทั้งให้ของขวัญในการแสดงความยินดี และก็ต้องเตรียมข้าวของกันแต่เนิ่นๆ ดังนั้นเมื่อเราซื้อข้าวของที่จำเป็นชิ้นเล็กๆรอไว้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือต้องเตรียมห้องนอนให้เค้า ซึ่งที่นี่ต้องไปเดินหาร้านที่ถูกใจแล้วสั่งทำเอา ทั้งเตียง ทั้งโต๊ะ และเก้าอี้สำหรับตกแต่งห้อง Nursery สั่งแล้วก็รอไปอีกเกือบ 2 เดือนกว่าจะได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเตรียมตัวแต่เนิ่นๆจึงดีกว่ามาก เพราะไม่งั้นอาจจะเกิดอาการรนรานซะมากกว่า

อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะครบ 6 เดือน และมุ่งหน้าเข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย ฉั้นหิวและโหยทั้งวี่ทั้งวัน น้ำหนักก็เพิ่มเอาเพิ่มเอา และยังไม่รู้จะมีอาการอะไรอีกบ้าง แต่ที่แน่ๆท้องที่โตขึ้นโตขึ้นทุกวันก็ทำให้ฉั้นมั่นใจว่าเค้าแข็งแรงดีและกำลังเติบโต

อีกไม่นานเราก็จะได้เห็นหน้ากันแล้ว เรานั่งจินตนาการกันทุกวันว่าเค้าจะหน้าเหมือนใคร จะเหมือนพ่อมากกว่าหรือเหมือนแม่มากกว่าน้าาาาา เจ้าชายน้อยของเรา!! :)


        

วันจันทร์, เมษายน 02, 2555

เสน่ห์ของบราซิล

ตั้งแต่อยู่บราซิลมา 2 ปีแล้ว ยังไม่เคยเขียนเรื่องประทับใจเกี่ยวกับประเทศนี้เลย ถ้าจะบอกว่าไม่มีข้อดีเลยก็คงดูจะลำเอียงและมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป อยู่ไปอยู่มา วันนี้ไม่รู้อารมณ์ไหนเลยอยากจะลุกขึ้นมาเขียนเรื่องดีๆเกี่ยวกับบราซิลบ้าง เพราะเท่าที่นึกได้จะต้องรีบบันทึกไว้ก่อน ไม่งั้นอาจลืม หรือไม่ความรู้สึกชื่นชมนี้อาจจะหมดไปได้ภายในพริบตาถ้ามีอะไรเข้ามารบกวนจิตใจ

เสน่ห์ของบราซิลในมุมมองของคนมาอยู่ ย่อมแตกต่างจากคนมาเที่ยวที่คิดว่าเสน่ห์ของความเป็นบราซิลคือ งานรื่นเริง บันเทิง ดนตรี และฟุตบอล แต่เสน่ห์ของบราซิลในความคิดของฉั้นที่แม้จะได้สัมผัสแค่เมืองเซาเปาโลที่มาอยู่ แต่ฉั้นก็ทึกทักเอาเองเลยว่านี่แหละคือ บราซิล  

คนบราซิล - แม้ฉั้นจะเคยมีประสบการณ์แย่ๆกับคนบางคนหรือหลายคนที่ได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอครั้งแรก แต่เอาเข้าจริง คนบราซิลก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่ฉั้นเคยตื่นตูมหรอก ช่วงแรกของการมาที่นี่คงเป็นเพราะความไม่ชินและไม่รู้ในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ที่สำคัญฉั้นมาจากเมืองไทยที่ผู้คนแสนจะใจดี พออยู่ไปนานเข้าก็พอจะเข้าใจและรู้จักพวกเค้ามากขึ้น ผู้คนที่นี่ค่อนข้างมีเสน่ห์นะ ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและนิสัยใจคอบางอย่าง พวกเค้าเป็นคนกล้าพูด กล้าแสดงออก เปิดเผยมาก บางคนก็มีอารมณ์ขัน ตลกโปกฮา ทะลึ่ง ลามก เจ้าชู้ขี้เล่น หรือสไตล์สบายๆชิลๆ ก็มีเยอะ แต่น่าเสียดายตรงที่หลายๆคนอาจต้องปรับตัวให้อยู่ในโหมด 'ระวังภัย' กันเล็กน้อย ทำให้เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปบ้างหรือดูไม่เชื่อใจใครและไม่ไว้ใจใคร อาจเข้าขั้นดูไม่จริงใจก็มีเยอะ ที่นี่มันไม่ค่อยปลอดภัยน่ะ บางสถานที่แหล่งชุมชนวันดีคืนดีก็มีการปล้น ออกข่าวให้เห็นประจำ ร้านอาหารเอย ตู้ ATM เอย แล้วไม่ได้ปล้นกันธรรมดานะ ปิดร้านปล้นลูกค้า วางระเบิดตู้ ATM ไม่ก็ปล้นแบงค์แบบ 20 แบ้งค์ภายในวันเดียว!! ปล้นร้านเพชรร้านทองก็บ่อย รถไฟ และรถเมล์ บางวันพนักงานก็หยุดงานประท้วงกันประจำ ประท้วงขอขึ้นเงินเดือน ผู้โดยสารก็เดือดร้อนกันไป ไม่มีรถไฟ ไม่มีรถเมล์ ให้ขึ้น พอมีเข้าซักคันก็ต้องแย่งกัน เบียดเสียดกันขึ้นไม่ว่าจะคนแก่ หรือเด็ก ไม่เว้นแม้แต่คนท้องก็ต้องโดนเบียดโดนผลัก ยิ่งมีการปล้นมากๆคนรวยบางคนกลับยิ่งอยากจะอวดรวย แปล๊ก แปลก!! คงเพราะไม่อยากให้คนอื่นดูถูก หรือไม่ก็เพราะอยากเป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตา  ไหนจะข่าวอุบัติเหตุ และอาชญากรรมแบบจ้างวานฆ่า แบบเอาปืนจ่อยิงตายคารถ ก็มีให้ดูไม่เว้นแต่ละวันจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา พวกขอทาน คนไร้บ้าน คนติดยา หรือพวกที่ชอบฉกชิงวิ่งราว สำหรับที่นี่เรียกว่า เด็กๆไปเลย!

แม้ยังไม่เคยเจอกับตัวหรือเห็นกับตาแค่ได้ยินข่าวเตือนมาก็ผวาแล้ว แต่ก็ถือว่าโชคดีไป!  แต่ที่พูดมาทั้งหมดแค่อยากจะบอกว่า น่าเห็นใจที่คนหลายๆคนจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับภาวะเครียด หวาดระแวง ระวังภัย มองโลกด้านลบ ท้ังที่เนื้อแท้ของคนบราซิลจริงๆแล้ว พวกเค้าเกิดและเติบโตมากับความบันเทิงเริงรมย์ การร้องรำทำเพลง การท่องเที่ยว การได้แสดงความรักใคร่ชอบพอด้วยการกอด การจูบ การแตะเนื้อต้องตัวอย่างไม่ถือสา การแสดงอารมณ์ได้แบบไม่ต้องปิดบัง หลายคนก็มีอารมณ์ขันดี แม้การพบเจอกับคนบราซิลในครั้งแรก อาจเจอกับท่าทีไม่เป็นมิตรอยู่บ้าง หรือไม่ก็ท่าทีที่เป็นมิตรจนเกิดเหตุก็มี หลายคนมีอารมณ์ขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวก็อารมณ์ดีแต่เดี๋ยวก็โมโหร้าย ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ฉั้นได้เห็นอะไรมากมายจนเข้าใจเอาเองว่า ยิ่งสังคมทวีความเครียดและความรุนแรงมากขึ้นเท่าไร วัฒนธรรมการไม่เก็บกักอารมณ์ของพวกเค้าก็ยิ่งส่งผลให้ผู้คนระบายออกทางอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าการแสดงความโมโห ความกลัว ความรัก ความชัง ความดีใจ หรือเสียใจ ผู้คนที่นี่ต่างแสดงออกอย่างไม่ปิดบัง บางครั้งอาจดูเข้าขั้นฟูมฟาย คลุ้มคลั่ง ไม่สมเหตุสมผล เช่น การใส่อารมณ์เชียร์ฟุตบอล ความใจร้อนไม่ยอมกันบนท้องถนน หรือแม้แต่การพูดจาแบบสาดอารมณ์ใส่กัน ซึ่งดูแปลกมากสำหรับฉั้นซึ่งมาจากวัฒนธรรมไทยที่ไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์กันซักเท่าไร แต่สำหรับพวกเค้ามันเป็นเรื่องปกติจนฉั้นคิดไปเองว่า บางทีพวกเค้าอาจทำตามกันจนติดเป็นนิสัยโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

มารยาทอย่างนึงของคนบราซิล คือ การพูดคุยเมื่อพบประเจอะเจอ แม้จะเป็นการเจอกันครั้งแรกก็ต้องหาเรื่องคุยไปเรื่อย เช่น เจอกันงานสังสรรค์ เจอกันตามที่ต่างๆ จะสังเกตุเห็นว่าคนบราซิลจะช่างพูดช่างคุย ช่างเจรจากันมาก บางทีก็คุยกันเหมือนว่าเคยรู้จักกันมาก่อน แม้แต่ฉั้นซึ่งหน้าตาไม่ได้เข้าพวกเล้ยย บางทีก็ยังมีคนหันมาชวนคุย ถามนู้นถามนี่บ้าง แต่พอรู้ว่าฉั้นคุยภาษาเค้าไม่ได้ก็จะเลิกคุยด้วยทันที สังเกตุหลายทีละ ที่นี่น้อยคนมากที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ถึงพูดได้ก็ไม่ค่อยอยากจะพูดกัน หย่ิง เค้าไม่แคร์ภาษาอังกฤษกันเลยอ่ะ!! แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ก็ยังจะชวนคุยต่อ ปล่อยให้ฉั้นเดาไป ถ้าเจอกันในลิฟท์ มารยาทอย่างหนึ่งก็คือการกล่าวสวัสดีทักทายและกล่าวบ๊ายบายเมื่อออกจากลิฟท์ จึงดูไม่ออกหรอกว่าใครเป็นคนชอบพูดชอบคุยจริงๆหรือคุยไปตามมารยาท แต่ก็ไม่ใช่จะคุยกับใครก็ได้เรื่อยเปื่อยนะ เพราะในที่ที่ไม่คุ้นเคยก็ต้องระวังตัวดีๆเหมือนกัน และที่สำคัญกว่านั้น บางคนออกแนวพูดไม่หยุดซะด้วย ไม่รู้สรรหาอะไรมาคุยนักหนา คุยทั้งเรื่องที่ควรคุยและทั้งเรื่องไม่ควรคุย เรียกว่า คุยไปเรื่อยเปื่อย หรือ คุยจนลิงหลับ ก็มีเยอะ!!!

พูดถึงการพบปะเจอะเจอกันในงานสังสรรค์ จะมีมารยาทอีกอย่างที่ต้องทำใจ คือ คนบราซิลจะมาสายเป็นแฟชั่น เรียกว่านัดที สายกันเป็นชั่วโมง ถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะนัดทานมื้อเที่ยงในวันหยุด นัดเร็วก็ไม่ได้ ต้องนัดสายๆไว้ ประมาณบ่ายโมงครึ่งหรือบ่ายสอง แต่กว่าจะมากันพร้อมอาจจะสามโมงหรือสายกว่านั้นแล้วแต่สถานที่ที่นัดและก็แล้วแต่คนด้วย มีบ้างถ้าเป็นวันธรรมดาแล้วนัดเป็นมื้อเย็น คนบราซิลจะนิยมนัดค่ำๆเช่น ทุ่มครึ่งหรือสองทุ่ม แล้วกว่าจะมากันครบ กว่าจะนั่งเมาท์ กว่าจะเสริ์ฟของว่าง และกว่าจะเริ่มรัปทานเมนคอร์ส อาจปาเข้าไปเกือบ 3 ทุ่มได้ แล้วกว่าจะรัปทานเสร็จ แล้วกว่าจะเม้าท์ต่ออีก เสร็จก็สี่ทุ่มห้าทุ่มโน้น การนัดกับคนบราซิลในบราซิล สายแค่ไหนจึงไม่มีสิทธ์บ่นเพราะเค้านัดกันแบบนี้จนเป็นธรรมเนียม เป็นนิสัย เป็นแฟชั่น เป็นเรื่องปกติธรรมดา ถ้ากลัวหิวก็ต้องหาไรรองท้องไปก่อน ลามไปถึงนัดเรื่องอื่นๆด้วย เช่น นัดช่างซ่อม นัดส่งของรับของ ทุกอย่างเรียกว่า สายได้หมดจนต้องทำใจว่าพวกเค้าไม่เคารพเรื่องเวลาเอาซะเลย ไม่เหมือคนยุโรป เอ๊ะ...ว่าแต่นี่เรียกเสน่ห์ป่าวเนี่ย??

กีฬาและการออกกำลังกาย - ไม่พูดถึงกีฬาฟุตบอลคงไม่ได้สำหรับบราซิล ความสุขความสุขอีกอย่างนึงของคนบราซิล คือ การได้เชียร์บอลมันส์ๆในยามค่ำคืน โดยเฉพาะทีมที่ตัวเองรักลงแข่งใน League ใหญ่ๆสำคัญๆ ทั้งพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟดังลั่นสนั่นเมือง บรรยากาศในสเตเดี่ยมยิ่งฮึกเหิม เสียงโห่ร้อง ตะโกน ร้องเพลงเชียร์ ใส่อารมณ์กันอย่างบ้าคลั่ง เวลาทำประตูได้แทบจะหัวใจวาย ล่าสุด Match ใหญ่ บราซิล-อาร์เจนติน่า(คู่อริ) ชนะไป 2-0 บราซิลเป็นแชมป์เปี้ยนในทวีปอเมริกาไปเรียบร้อย เสียงพลุและประทัดดังข้ามวันข้ามคืน (ไม่อยากคิดว่าถ้าแพ้ขึ้นมา???) ความสุขที่นี่หายากน่ะ การได้ใส่อารมณ์กับกีฬาฟุตบอลจึงเป็นที่โปรดปรานของทุกคน ทุกเพศทุกวัย ลูกเล็กเด็กแดง คนแก่ คนท้อง .... เข้าไปเชียร์ในสนาม ทีมที่ตัวเองรักชนะที ร้องไห้ร้องห่ม ใครไม่มีอารมณ์ร่วมถือว่าแปลก ใครจะตะโกนโวกเวกลั่นถนนก็ไม่มีใครว่า ดูน่ากลัว แต่ก็ดูบ้าๆบอๆดี แปลกดีอ่ะ!! อีกอย่างหนึ่งที่ผู้คนที่นี่ดูจะใส่ใจเป็นพิเศษก็คือ การออกกำลังกาย เพราะพวกเค้าคลั่งใคล้การมีเรือนร่างที่ดีและการรักการแข่งขันเป็นชีวิตจิตใจ การออกกำลังกายเป็นประจำจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนบราซิลไปเลย คนแก่ไม่ยอมแก่ คนหนุ่มคนสาวก็สวยหล่อตลอด ที่นี่ Fitness และ Personal Trainer เป็นหนึ่งในหลายๆสิ่งที่เป็นที่นิยม การปิดถนนเพื่อปั่นจักรยานกันในวันอาทิตย์ การวิ่งมาราธอนประเพณีในช่วงปีใหม่ การเล่นฟุตบอลจนเป็นกีฬาประจำชาติ และการเก่งด้านกีฬาหลายๆอย่างจนนำมาซึ่งชื่อเสียงของประเทศ การเต้นโชว์สรีระ เรือนร่าง เซ็กซี่สไตล์แซมบ้า และศิลปะการต่อสู้สไตล์บราซิลอย่าง Capoeira ก็น่าสนใจ ทั้งหมดก็มีสาเหตุมาจากความรักที่อยากจะมีเรือนร่างที่ดีและชื่นชอบการประชันขันแข่ง หลายคนเชื่อว่าการมีเรือนร่างที่ดีเป็นเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม หนุ่มหล่อๆที่นี่มักหว่านเสน่ห์ด้วยการอวดกล้ามเป็นมัดๆด้วยการเดินเหินด้วยกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวตามชายหาด สาวๆก็นิยมการใส่บิกินี่ตัวเล็กจิ๋ว เพื่อโชว์เรือนร่าง หน้าอกหน้าใจ แก้มก้นที่สมส่วนงอนงาม และต้นขาใหญ่ๆแต่ฟิตเปรี้ยะ เชพบ๊ะ!! ถือเป็นความภูมิใจของพวกเค้า โดยเฉพาะถ้าใครได้เจอหนุ่มบราซิลที่รักสุขภาพ เรือนร่าง และยังโรแมนติกอีกด้วยละก็ อาจถึงขั้น 'โงหัวไม่ขึ้น' กันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ!! ผู้ชายบราซิลนี่เสน่ห์แรงไม่เบานะจะบอกให้ ก็ไม่ใช่แค่เรือนร่าง หน้าตาเท่านั้น ยังจะดวงตาคมเข้มและแววตาที่ส่อความเจ้าชู้ ขี้เล่นนั่นอีกล่ะ!! สาวๆบราซิลส่วนใหญ่จึงพยายามกันสุดฤทธิ์สุดเดชเพื่อทำให้ตัวเอง สวย เซ็กซี่ ดูดี ไม่แพ้ใคร ความเชื่อหนึ่งที่ว่าความเซ็กซี่เป็นความงามที่แท้จริงทำให้หลายต่อหลายคนพยายามเซ็กซี่กันแบบไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าต้องออกกำลังกายหนักแค่ไหน หรือต้องศัลยกรรมกระหน่ำขนาดไหน หรือแม้ต้องโชว์เรือนร่างเนื้อหนังมังสา ก็ขอให้บอกมาเถอะพวกเธอจะลงทุนแบบไม่ยั้งเลยทีเดียว แต่เห็นแบบนี้แล้วบราซิลเลี่ยนก็ให้ความสำคัญกับการคบหาดูใจเหมือนกันนะ ถึงแม้้ One Nigth Stand จะถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าพวกเค้าชอบกันจริงๆก็จะใช้เวลาคบหาดูใจกันก่อนแต่งนานมากด้วย จนกว่าจะแน่ใจว่าพบคนที่ใช่นั่นแหละ

ความรักสวยรักงาม - นอกจากเรื่องออกกำลังกายให้เรือนร่างดูดีแล้ว ก็หนีไม่พ้นความรักสวยรักงามของบรรดาสาวๆ ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ฉั้นก็ค่อนข้างต่อต้านและต่อสู้กับตัวเองอยู่ไม่น้อย เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่(สามี)ชอบคะยั้นคะยอและชวนให้ไปร้านเสริมสวยเป็นประจำ ทำผม ทำเล็บทุกสัปดาห์  เสื้อผ้าเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า ก็ต้องเนี๊ยบกริบ พิถีพิถันและลงทุน ใส่ใจให้มันดูดี อยู่ไปอยู่มาจึงเริ่มรู้ว่าคนที่เซาเปาโลส่วนใหญ่ก็เหมือนคนเมือง ที่มองและตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันดับแรก แถมสาวๆที่นี่ก็เริ่มแต่งตัวมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียน เพราะที่นี่เค้าไม่มียูนิฟอร์มอย่างบ้านเรา และไม่มีอาจงอาจารย์มาคอยตรวจตราว่าเล็บยาวมั้ย ผมเพ้ามัดเรียบร้อยรึป่าว ใช้โบว์ต้องเป็นสีเดียวกัน กระโปรงห้ามสั้นห้ามยาวเกินไป ฯลฯ เด็กผู้หญิงที่นี่เลยเริ่มเสริมสวยกันแต่เนิ่นๆโดยมีคุณแม่นี่แหละคอยตรวจตราดูแล โดยเฉพาะถ้าคุณแม่ก็เป็นประเภทรักสวยรักงามเอามากๆก็ยิ่งอยากให้ลูกเสริมสวยตั้งแต่หัวจรดเท้า การแต่งหน้า เข้าร้านทำผมทำเล็บจึงถือเป็นเรื่องจำเป็น มาอยู่ใหม่ๆฉั้นไม่ค่อยชินเพราะคนไทยอย่างเราก็ค่อนข้างสบายๆถ้าไม่ได้ไปไหนไกลจะแต่งตัวยังไงก็ได้ไม่มีใครว่า แค่อย่าโป๊ก็เป็นพอ ฉั้นไม่ค่อยถนัดใส่อะไรรุงรัง ชอบความเรียบง่าย สะอาดสะอ้าน แต่คนที่นี่ใส่ใจตัวเองมากตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีใครบอกว่าเราเว่อหรอกถ้าเราแต่งตัวเยอะๆ เพราะก็เห็นเยอะไว้ก่อนกันทุกคน ทองหยอง นาฬิกาเรือนใหญ่ๆ สร้อย กำไร เห็นแต่ละคนประโคมกันสุดฤทธิ์ ฉั้นเคยโดนทักว่าดูเหมือนเด็ก บางคนก็มองเราหัวจรดเท้า อยู่ไปอยู่มาตอนนี้ฉั้นก็เลยติดนิสัยกับการดูแลตัวเองให้มากขึ้นไปด้วย บวกกับความเป็นผู้หญิงที่มีความรักสวยรักงามอยู่บ้างแล้ว และพอทำให้ตัวเองดูดี เราก็รู้สึกดีกับตัวเอง แถมไม่เสียความมั่นใจเวลาต้องพบปะกับสาวๆบราซิลที่ชอบสนทนาเรื่องความสวยความงามเป็นหลัก เช่น ทำเล็บที่ไหน ทำผมที่ไหน เครื่องประดับสวยจัง กระเป๋าสวยจัง อย่างนี้เป็นต้น แถมพวกร้านทำผมดีๆเค้าก็ฝีมือดีนะ (แม้สนนราคาจะแพงอยู่ซักหน่อย แค่เล็มๆไดร์ๆยังปาเข้าไปเกือบจะ 1,500THB เข้าไปแล้ว) ร้านทำเล็บก็มีให้เลือกมากมายเต็มไปหมด ดูๆแล้วรู้สึกว่าเพื่อความงามของสาวๆร้านเสริมความงามเลยจะมีมากกว่าร้านของกินซะอีกนะ!!

อากาศ - หลายคนคงคิดว่า ที่บราซิลซึ่งมีสภาพทางภูมิศาสตรเป็น ป่า เขา ทะเล และชายหาดอันสวยงามมากมาย คงจะมีแดดจัดทั้งปี แต่จริงๆแล้ว อากาศที่นี่จะค่อนข้างหนาวเย็นนะ โดยที่อุณภูมิจะสูงหน่อยทางตอนเหนือของประเทศไล่ต่ำลงไปทางตอนใต้ของบราซิล ส่วนฉั้นอยู่ที่เซาเปาโล เรียกว่าเป็นภาคกลางของประเทศ อากาศก็จะร้อนแค่ช่วงหน้าร้อนคือปลายปีถึงต้นปีเท่านั้นเอง นอกนั้นก็เย็นสบาย ไม่หนาวจัดและไม่ร้อนจัด และไม่มีแดดจัด แม้จะมีมลพิษทางอากาศอยู่บ้างเนื่องจากรถติดและควันพิษ แถมฝนก็ตกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอยู่เสมอ แต่วันไหนถ้าอากาศดีๆการเดินไปไหนมาไหน หรือการไปเดินเล่นสูดอากาศยามเช้าหรือยามเย็นก็สบาย สดชื่นดี ถ้าให้เทียบกับเมืองไทยที่ร้อนจนตับแทบแลบ เหงื่อไหลใคลย้อย หรือที่นิวซีแลนด์ที่หนาวเหน็บจนเดินตัวสั่น อากาศที่นี่ก็ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อดีของบราซิล แต่ก็อีกแหละ....ข้อเสียก็คือ อากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา วันนี้แดดออก พรุ่งนี้อาจฝนตก วันต่อมาอาจหนาวเหน็บหรือหมอกลงจัด แล้วไม่แน่วันต่อมาอีกก็อาจจะร้อนอีก หรืออาจจะหนาวไปอีก 3-4 วัน แล้วก็ร้อนใหม่ เรียกว่า สามารถเปลี่ยนได้ 3 ฤดูภายในหนึ่งสัปดาห์ให้อารมณ์เสียเล่นๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการใช้ชีวีตอยู่ที่นี่คือ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อต่อสู้กับอากาศที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แถมบางที่อากาศชื้นๆเย็นๆก็อาจมี "การัว" ซึ่งก็คือสายฝนปรอยๆบางๆหล่นลงมาเป็นฝอยๆให้หัวเปียกเล่นๆอีกด้วย

ความสะอาด - แม้เซาเปาโลจะไม่ใช่เมืองที่สวยงามหรือสะอาดเอี่ยมอะไร แต่ชอบตรงที่ ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็น มด หนู แมลงสาบ จิ้งจก กบ เขียด หรือสัตว์อะไรที่บ่งบอกถึงความสกปรกเลยอ่ะ  ไม่ว่าตามที่พักอาศัย หรือ ตามถนนหนทาง ก็ไม่มีให้เห็น อาจเพราะที่นี่ไม่มีร้านอาหารริมทางเยอะแยะอย่างบ้านเราน่ะ เลยอดเปรียบเทียบไม่ได้กับกรุงเทพฯ ที่แม้แต่ถนนในย่านดีๆอย่างราชดำริ สาทร สุขุมวิท หรือ ย่านช้อปปิ้ง อย่างสีลม หรือสยามฯ กลับยิ่งสกปรก น่าเสียดายมาก ที่สำคัญที่นี่ไม่ค่อยมีหมาจรจัดให้เห็น คนที่นี่รักหมามาก เลี้ยงหมาในคอนโดก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นหมาฝรั่งพันธ์ุน่ารักๆ ตัวใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่รสนิยม เจ้าของจะเลี้ยงดูอย่างดี เช้าๆเย็นๆก็พาไปเดินเล่น ให้อึให้ฉี่ เจ้าของจะต้องพกถุงพลาสติกไปสำหรับเก็บอึสุนัขของตัวเองทิ้งถังขยะด้วย บางคนก็จ้างคนพาเดินก็มี ถนนหนทางที่นี่จึงไม่มีขี้หมาให้ต้องเดินระวังซ้ายขวาหน้าหลังให้เหนื่อย เห็นแต่หมาพันธ์ุดีๆเดินเล่นไปมา บางคนก็พาไปเดินเล่นห้าง บ้างก็พาไปอาบน้ำตัดขนอย่างดี น่ารักดี

ความร่มรื่น -  เซาเปาโล มีต้นไม้เยอะมาก ถึงแม้ต้นไม้ใหญ่ๆในหลายๆแห่งจะแก่และแห้งตายจนทำให้หักล้มลงมาทับบ้านช่อง รถรา หรือถนนหนทางอยู่บ่อยๆเวลาฝนตกหนักๆแล้วมีพายุพัดแรงๆ แต่อีกหลายๆแห่งที่มีต้นไม้ครึ้ม ปกคลุมทั่วบริเวณ และมีคนดูแลดีๆ หลังฝนตกจะเขียวชอุ่มชุ่มชื้น ร่มรื่น อากาศก็เลยไม่ร้อนจัดจนเกินไป ถ้ากรุงเทพฯมีต้นไม้เยอะกว่านี้อากาศคงไม่ร้อนขนาดนี้นะ แถมบางถนนแทนที่จะปลูกต้นไม้ใหญ่กลับไปปลูกต้นปาล์มสไตล์รีสอร์ท มันก็สวยอยู่หรอก แต่มันไม่ร่มรื่นและไม่ให้ความชุ่มชื้นเท่ากับต้นไม้ใหญ่บางชนิด สวนสาธารณะหลายแห่ง ก็มีไว้ให้เดินเล่น นั่งเล่น และออกกำลังกาย แต่เพราะที่นี่แทบจะไม่มีการสร้างถนนหนทางเพิ่มเติม เลยไม่ต้องรื้อต้นไม้ทิ้ง อยู่ยังไงก็เลยอยู่อย่างงั้นมาหลายสิบปีละ

ธรรมเนียมการมอบของขวัญ คนที่นี่เท่าที่ฉั้นรู้จัก ชอบให้ของขวัญกันเป็นชีวิตจิตใจ ได้ยินว่าได้รับอิทธิพลจากคนญี่ปุ่นที่มาอยู่ที่นี่ ก็ท่าจะจริงเพราะญี่ปุ่นมีร้านกิฟท์ช็อปเยอะแยะมากมาย ธรรมเนียมการให้ของขวัญ ในวันเกิด วันพ่อ วันแม่ วันปีใหม่ วันคริสต์มาส ฯลฯ ไม่ว่าวันพิเศษไหนๆการมอบของขวัญให้แก่กันถือเป็นธรรมเนียมหรือมารยาทเลยก็ว่าได้ แรกๆฉั้นรู้สึกเหนื่อยมากกับการต้องไปเดินหาซื้อของขวัญให้กับสมาชิกในครอบครัวสามี เพราะต้องไล่ตั้งแต่พ่อ แม่ พี่น้อง หลานๆ รวมไปถึง เขยและสะใภ้อีก แต่หลังๆก็เริ่มชิน ตามร้านต่างๆเวลาเราเข้าไปซื้อ พนง.ก็จะถามด้วยว่าซื้อเป็นของขวัญรึป่าว ถ้าใช่...เค้าก็ใส่กล่องหรือถุงดีๆหน่อย แล้วก็จะเปลี่ยนจากป้ายราคาเป็นโค๊ดอะไรซักอย่างสำหรับให้ผู้รับเอาไว้เปลี่ยนได้ โดยเฉพาะวันคริสมาสต์ร้านรวงจะแน่นเอี๊ยด เพราะเป็นวันที่สำคัญที่สุดประจำปี คู่สามีภรรยาก็ต้องทำงานหนักหน่อยเพราะต้องไปเดินหาซื้อของขวัญมาให้สมาชิกในครอบครัวของทั้งตัวเองและของภรรยาหรือสามี แต่มันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ อย่างฉั้นตั้งท้อง หลายคนก็ส่งของขวัญมาแสดงความยินดีตั้งแต่รู้ข่าวแน่ะ อาจเพราะคนที่นี่เค้าไม่ได้มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อฉันพี่น้องอย่างคนไทยมั้ง? การมอบของขวัญเลยเหมือนเป็นตัวช่วยในการแสดงน้ำใจอย่างหนึ่ง

ละครบราซิล ที่นี่มีละครฉายหลายเรื่องหลายเวลาเหมือนบ้านเราไม่มีผิด แต่แตกต่างตรงที่ละครหลังข่าวบ้านเค้า ถ้าเรื่องที่สร้างดีๆ Production ดีๆ ฉายทีฉายได้ 5-6 เดือน มีเรื่องเดียวช่องเดียว(ช่อง Globo) ไม่แข่งใคร ไม่มีโฆษณาคั่นเยอะแยะให้หงุดหงิดรำคาญใจ ยิ่งถ้าเรื่องไหนทำเงิน เนื้อหาก็จะถูกยืดเยื้อออกไปอย่างตั้งใจ เพราะรู้ว่ามีคนทั้งประเทศติดตาม แต่ก็มีเหมือนกันที่บางเรื่องสร้างมาเหมือนเพื่อมาคั่นเวลา เนื้อหาไม่ค่อยดี Production ก็งั้นๆ ไม่เป็นที่นิยมก็จะจบเร็วหน่อย ล่าสุดเรื่อง Avenida Brasil เป็นละครเรื่องที่สองที่ฉั้นมีโอกาสดูและตามติดตั้งแต่ต้น อรรถรสในการดูละครบราซิลที่ต้องทำใจคงไม่พ้นเรื่องเนื้อหาที่ค่อนข้างหนัก แถมติดเรท และความรุนแรง แต่สำหรับเรื่องนี้ Production ล้ำมากคล้ายกับดูภาพยนต์ยังไงยังงั้น นางเอกกะนางร้ายแทบจะแยกกันไม่ออกเพราะแสบพอๆกัน เรื่องราวและเนื้อหาเข้มข้น บทบาทแต่ละคนก็เล่นกันถึงพริกถึงขิง คนดูติดทั้งบ้านทั้งเมือง ดูกันซึมลึกกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของทุกคนไปเลยเพราะต้องคอยติดตามเรื่องราวชีวิตของตัวละครอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนางร้ายที่เล่นได้สมบทบาทจนคนเกลียดทั้งประเทศ ไม่ต่างจากเมืองไทยที่นางร้ายไปตลาดแล้วแทบจะโดนแม่ค้าเอาทุเรียนคว้างใส่ ทุกคนต่างรอดูว่านางเอกจะแก้แค้นยังไง สนุกถึงใจ แม้จะฟังไม่ออกแต่ก็ยังติดงอมแงม ดูแล้วรู้สึกว่าเค้าลงทุนและจริงจังกับการสร้างละครจริงๆเลย แต่เนื้อหาก็ค่อนข้างหนักและเครียดเอาการอยู่เหมือนกัน เรียกว่าไม่่เหมาะที่จะฉายในบ้านเราอย่างยิ่ง มันหนักเกิน คงโดนแบนด์ซะก่อนที่จะถึงมือเจ๊เบียบแน่!

การให้ความสำคัญกับเด็กและคนชรา ที่นี่จะมีที่จอดรถสำหรับคนแก่โดยเฉพาะ มีบำเหน็จบำนาญหลังเกษียร ไม่รู้ได้ยังไงเท่าไร แต่คนแก่จะสามารถดูแลตัวเองได้แบบไม่ต้องพึ่งลูกหลาน หลายคนชอบอยู่คนเดียวมากกว่าก็จ้างคนมาดูแลเลย อยู่เป็นเพื่อนกันไปสบายใจ คนบางคนอยู่ด้วยกันเป็นสิบๆปีคนตายจากกันไปก็มี ดูแลเหมือนเป็นญาติกันเลยอ่ะ ไปไหนก็ไปด้วยกัน หรือพ่อแม่บางคนก็อยู่กันจนแก่จนเฒ่ากันสองคน ลูกหลานก็มีครอบครัวกันไป หรือบางคนแก่แล้วก็ยังห่วงลูก ตามดูแลลูกอยู่ไม่เลิกไม่ราก็มี ไม่ดีอย่างตรงที่แม่ๆบางคนห่วงมากไปจนอาจเกิดเป็นกรณีลูกสะใภ้หรือลูกเขยเกิดความรำคาญได้ก็เยอะอยู่ ส่วนเด็กนี่ไม่ต้องห่วงเลย ไปห้างก็มีห้องให้นมเปลี่ยนผ้าอ้อม มีช่องให้คนท้อง หรือบรรดาแม่ๆให้จ่ายเงินก่อน มีลิฟท์หรือทางลาดตามห้างให้เดินเข็นรถเข็นสบายๆ ไปไหนใครๆก็จะหลบทางให้ มีร้านเสื้อผ้า ร้านขายของเด็ก ของตกแต่งห้อง ของเล่นเด็ก ดีๆสวยๆให้เลือกเยอะแยะ ที่สำคัญมีพี่เลี้ยงเด็กมากมายให้เลือกจ้าง คนที่นี่เลยจ้างแต่คนเลี้ยงเด็ก ไม่ดีก็เปลี่ยนใหม่ หาใหม่ ไม่เลี้ยงเองให้เหนื่อย โดยเฉพาะบรรดาคุณแม่ยังสาว จ้างคนเลี้ยงเพื่อให้ตัวเองมีเวลาไปช้อปปิ้ง ไปเสริมสวย ไปสังสรรค์ อย่างมีความสุข ถ้ายังสุขไม่พอ หลายต่อหลายคนก็จ้างคนขับรถรับส่งลูกไปกลับโรงเรียน จ้างคนทำอาหาร ทำความสะอาดบ้านไปด้วยเลย มีเงินก็ใช้เงินไปเพลินๆ แต่ไม่ค่อยเห็นคนเอาไปฝากให้ย่าให้ยายเลี้ยงซักเท่าไรนะ เพียงแค่พาไปเยี่ยม หรือเอาไปฝากไว้ชั่งครั้งชั่วคราวเท่านั้น ตรงนี้ไม่เหมือนคนไทยเน๊อะ!!

ยังมีอีกหลายอย่างที่ผู้คนหลายต่อหลายคนให้ความสนใจและอยากจะมาเยือนบราซิลตามคำเล่าลือที่พูดถึง งานรื่นเริงระดับโลกอย่างคาร์นิวัล รวมไปถึงชายหาดอันแสนเซ็กซี่ในริโอ ดิ จาเนยโร สำหรับฉั้นทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉั้นประทับใจซักเท่าไร เพราะยังไม่เคยไปร่วมงานคาร์นิวัลเลยซักครั้ง หลายคนบอกว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ขอสารภาพว่าก็ค่อนข้างกลัวกับบรรยากาศอยู่เหมือนกัน ไม่ชอบอยู่ในที่ที่คนเยอะๆอ่ะมันรู้สึกไม่ปลอดภัย การเต้นรำที่ออกแนวยั่วยวน เซ็กซี่ โชว์เรือนร่าง ส่วนเว้าส่วนโค้งสไตล์นี้ก็ไม่ค่อยสันทัด อายแทนคนเต้นอ่ะ! ฉั้นมันพวกหัวโบราณ!! ก็เป็นคนไทยนี่ ร่างกาย จิตใจเป็นไทยแท้ เกิดและเติบโตในสังคมแบบไทยๆ -_-' ส่วนริโอฯนี่เคยไปนะ ครั้งนึง ยืนยันว่าทะเลสวยมาก วิวและบรรยากาศดีมาก แต่ริโอฯ ไม่ใช่เมืองที่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้คนขับรถเร็ว แท็กซี่ก็ขับรถไม่สุภาพ ปล้น จี้ วิ่งราวก็มีเยอะ มีแหล่งสลัมขนาดใหญ่ ที่วันดีคืนดีกลุ่มตำรวจก็เข้าปราบปรามกลุ่มนักค้ายาเสพติดให้ได้ตื่นเต้นกันทั้งประเทศ ฉั้นไม่ใคร่อยากเที่ยวในที่ที่ฉั้นรู้สึกไม่ปลอดภัยเต็มร้อยซักเท่าไร แต่ไปที่ชายหาด Buzios ทะเลสวยนะ สะอาด เงียบสงบ แลดูปลอดภัย อยู่ที่ริโอฯนี่แหละ แต่ขับรถห่างจากชายหาดแหล่งท่องเที่ยวหลักไปประมาณ 2 กิโลกว่าได้ ก็สวยใช้ได้อยู่ เงียบ สงบแบบนั้นคงเหมาะสำหรับฉั้นมากกว่า!

ฉั้นพยายามรวบรวมสิ่งที่ประทับใจที่เกิดขึ้นที่นี่ พยายามเรียกมันว่า เสน่ห์ของบราซิล แหม่...คิดออกแค่นี้จริงๆ ไว้จะลองคิดเพิ่มแล้วค่อยมาอัพเดทอีกทีแล้วกัน ... 






วันพฤหัสบดี, มีนาคม 15, 2555

My little baby

I saw that little beautiful round head, little moving legs and arms, brain and back bone, .... including a little something right there! :)
You are still very tiny in me!!
I'm curious who you gonna look like and boy or girl you gonna be.
But you are so beautiful and amazing for me.
You are a big part of my life suchlike your daddy.
I promise you I will always love you with all my heart, my life, my soul.... now and then and forever, my lovely baby. :)

วันศุกร์, มีนาคม 02, 2555

ขอเรียกว่า สิ่งมหัศจรรย์

ฉั้นนึกอยู่ตั้งนาน ว่าจะบรรยายความรู้สึกของการจะเป็น 'แม่' ว่ายังไงดี เพราะมันช่างเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดเรื่องมีลูกเลยซักนิดเพราะมันช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัว เป็นสิ่งที่ต้องเกิดจากความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ วัยวุฒิ และคุณวุฒิของคนสองคนเท่านั้นจริงๆ จนหลังจากแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่บราซิล ความเป็นอยู่แบบครอบครัวมันกลายเป็นความรู้สึกผูกพันธ์ที่หนักแน่นขึ้นมาก เสมือนเรามีกันอยู่แค่สองคนบนโลกใบนี้ก็ไม่ปาน ผ่านทั้งความเหนื่อย ความลำบาก ความเหงา ความสุข และความทุกข์มาด้วยกัน จนถึงจุดที่ไม่อยากอยู่กันแค่สองคนอีกต่อไป ทำให้ความคิดเรื่องการมีเจ้าตัวเล็กนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความพร้อมและเวลาอันสมควรทำให้เราต้องเร่ิมวางแผน

เริ่มจากการทิ้งทวนความสุขสบายส่วนตัวด้วยการพากันไปเที่ยวฮันนีมูน และหลังจากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการเพื่อหาฤกษ์งามยามดี กว่าสี่เดือนที่เราพยามไปกับการหาฤกษ์งามยามดีที่ว่า แต่ก็ยังไม่เห็นมีวี่แวว เรารออย่างใจจดใจจ่อ จนเริ่มท้อและเครียดเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่ามันจะยากเย็นนัก และคิดไปว่าเราอาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพหรือไม่ก็อายุ (ตอนแรกนึกว่าเราจะเหมือนวัยรุ่นที่เปิดปุ๊บติดปั๊บอ่ะ คิดไปได้เน๊อะ!) จนกระทั้งเข้าสู่เดือนที่ห้า เราเริ่มปลงและคิดซะว่าถ้าเค้าจะมาเค้าก็คงมาเอง และเราก็เริ่มผ่อนคลายลงแบบอารมณ์ปลงๆ!! และแล้วเมื่อเราผ่อนคลายปุ๊บก็พบว่า แท๊น แท๊น แท้น แถ่น เดือนที่ห้านั้นเอง ที่ประจำเดือนฉั้นไม่มา และตรวจสอบการตั้งครรภ์ก็พบว่าขึ้น 2 ขีดที่หมายความว่าฉั้นตั้งครรภ์!! เรายังคงเช็คแล้วเช็คอีกว่า ใช่หรือไม่ จริงหรือหลอก ชัวร์หรือมั่วนิ่ม เพื่อให้แน่ใจว่าเค้ามาแล้วจริงๆรึป่าว เราต้องหาหมอเพื่อคอนเฟริ์ม แต่หาหมอที่ไหน ฉั้นไม่รู้จักบราซิลเลย ประสบการณ์ก็ไม่มี เราไม่รู้เลยว่าเค้าต้องหาหมอกันที่ไหน หมอที่ไหนถึงจะดี เราได้คำแนะนำจากพี่สาวแฟบ(ซึ่งมีประสบการณ์คุณแม่ลูกสอง)มาหนึ่งคน เป็นคุณหมอผู้หญิง พูดภาษาอังกฤษได้ ตรงไปตรงมาและอัธยาศัยดี เป็นคลีนิคเฉพาะทาง (ที่นี่เค้าไปหาหมอกันตามคลีนิคเฉพาะทางแบบนี้แหละ ถึงเวลาคลอดค่อยไปทำคลอดที่โรงพยาบาล กับคุณหมอคนเดียวกัน) เราได้พบหมอครั้งแรกเพื่อฟังคำยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง แล้วความสุขก็ปริออกทางแก้มและพุงของเราสองคน ดูเหมือนรอยยิ้มจะควบคุมไม่อยู่กันเลยทีเดียว!!

จริงๆแล้ว ฉั้นนึกขอบคุณที่ฤกษ์งามยามดีไม่มาตั้งแต่เดือนแรกๆเพราะเราคงตกใจน่าดูเหมือนกัน อย่างน้อยการรอคอยก็ทำให้เราได้มีเวลาตั้งสติและตั้งตัวเตรียมพร้อมอยู่ซักพัก การรอคอยและผิดหวังทำให้เรารู้ว่า เค้ามีความสำคัญกับเราขนาดไหนและเราต้องการเค้ามากแค่ไหนด้วย 

เราจึงเรียกเค้าว่า สิ่งมหัศจรรย์ เพราะเค้าปรากฏตัวขึ้นในร่างกายของฉั้นตั้งแต่เรายังไม่สามารถมองเห็นเค้าได้ด้วยตาเปล่า ได้เห็นเค้าครั้งแรกผ่านเครื่องอัลตราซาวนด์ เค้าก็มีขนาดแค่เมล็ดงาเท่านั้นเอง ฉั้นยังไม่มีความรู้สึกหรืออาการอะไรใดๆนอกจากเหนื่อยอ่อนมากกว่าปกติในช่วงเดือนแรก พุงก็ไม่โต เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องจริงหรือหลอก แม้ร่างกายภายนอกจะไม่บ่งบอก แต่อาการบางอย่างก็เข้าสู่ไฟท์บังคับเมื่อก้าวเข้าสู่เดือนที่สอง ความสุขปนกับความทรมานเริ่มเกิด เมื่อฮอร์โมนบางอย่างในร่างกาย(hCG)เริ่มก่อตัวเพ่ิมขึ้นเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยเสริมสร้างให้สิ่งมหัศจรรย์สิ่งนั้นเริ่มเติบโตเปลี่ยนรูปร่าง จากเมล็ดงา กลายเป็นผลมะกอก ร่างกายต้องสร้างรก สร้างสายสะดือ เพื่อส่งต่ออาหารจากร่างกายฉั้น ไปสู่ร่างกายเค้า ในขณะที่เค้าก็ต้องเริ่มสร้างเซลล์ระบบประสาทสมองและไขสันหลัง และอวัยวะต่างๆให้ตัวเค้าเอง โดยต้องอาศัยสารอาหารทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ เหล็ก คาร์โบไฮเดรต ฯลฯ จากอาหารที่ฉั้นต้องบริโภคเข้าไป แต่ฉั้นกลับเริ่มกินอะไรไม่ได้เลยซะนี่ แค่เปิดตู้เย็นก็เหม็นอาหารจนอยากจะอ๊วก ตื่นมาก็หน้ามืดตาลาย วิงเวียน ต้องกลับไปนอนต่อซักพัก หัวใจต้องผลิตเลือดในปริมาณมากขึ้นจึงทำให้ฉั้นเหนื่อยมาก ออกกำลังกายก็ไม่ไหว หายใจก็ไม่ค่อยออกเหมือนออกซิเจนไม่พอ เลยอยากแต่จะนอนมันทั้งวี่ทั้งวัน กาแฟก็กินไม่ได้ ขม! อาหารก็ทำไม่ได้ เหม็น! (แม้แต่กลิ่นอาหารที่ลอยมาจากคอนโดห้องข้างๆยังเหม็นแทบจะทนไม่ไหว) กินได้แต่ผลไม้ เวลาหิวทีก็หิวจนจะเป็นลม ถึงเวลานอนก็นอนไม่ได้เพราะพะอืดพะอม ฉี่ก็บ่อยแถมหน้าอกก็เจ็บระบมไปหมด ฮอร์โมนอะไรเนี่ย...ทำพิษได้ขนาดนี้ ช่วงนี้หมอจะให้ฉั้นกินโฟเลทเสริมด้วย เพื่อช่วยเรื่องการสร้างเซลล์ต่างๆของลูก และเพื่อป้องกันโรค ป้องกันความผิดปกติ หรือความพิการของระบบประสาทสมองและไขสันหลัง จากเดือนแรกที่ว่าไม่มีอาการอะไรให้เห็นจนสงสัยว่า นี่ตรูท้องจริงหรือ?? แต่มาเดือนนี้ ทรมานจนน้ำตาเล็ด จนอยากบอกกับตัวเองว่า นี่ตรูเปลี่ยนใจทันมั้ย ฮือ ฮือ ฮือ!!  T_T

เข้าสู่เดือนที่สาม อาการเริ่มทุเลาลงทีละนิดๆในแต่ละสัปดาห์ เค้าว่าเพราะฮอร์โมนที่ว่ามันเริ่มลดปริมาณลง รกและสายสะดือ รวมทั้งอวัยวะต่างๆของลูกก็ถูกสร้างเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผ่านความทรมานช่วงสามเดือนแรกนี้ไปได้ก็เหลือเพียงรอลุ้นกับภาวะการเจริญเติบโตของเค้าเท่านั้น ซึ่งจะไม่ทรมาน(แต่คงจะอึดอัดกับพุงโตๆนั่นน่าดู!!) ฉั้นเริ่มกลับมากินอาหารได้ แม้จะยังไม่อยากอาหารอะไรเป็นพิเศษ กลับมาเข้าครัวอีกครั้ง ที่สำคัญเริ่มกระแด่ะน้อยลง เพราะเหม็นนู้นเหม็นนี่น้อยลง หรืออาการเห็นไอ้นู้นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่อยากกินได้กลิ่นแล้วจะอ๊วกนั้นก็น้อยลงไปด้วย ฉั้นเริ่มได้สัมผัสกับความสุขของการเป็นแม่เพิ่มขึ้นทีละนิด เพราะต้องเริ่มหาอะไรให้เค้ากินนับตั้งแต่บัดนี้ บางครั้งหิวจนทนไม่ไหว แต่กินยังไงก็ไม่รู้สึกอิ่มแต่ออกอาการแน่นและอยากจะอ๊วกแทน เพราะกินได้ทีละน้อยๆ กินไปแล้วซักพักก็เลยหิวอีกละ เป็นอย่างงี้ทั้งวัน หมอจึงแนะนำให้กินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 5-6 มื้อแทน แต่นั่นหมายถึงฉั้นก็ต้องฝืนกินให้บ่อยขึ้นทั้งที่ไม่อยากอาหารเลย กินจนเหนื่อยเลยว่างั้น(แถมไม่รู้สึกอร่อยอีกต่างหาก) ฉั้นเฝ้าลูบไล้และพยุงพุงน้อยๆของตัวเองตลอดเวลาเพราะรู้ว่าข้างในมีส่ิงมหัศจรรย์ที่กำลังรอการเจริญเติบโตซ่อนอยู่ เริ่มพาเค้าไปเดินเล่นออกกำลังกายวันละหน่อย เพื่ออย่างน้อยให้ได้สูดอากาศที่สดชื่น พยามกินอาหารดีๆ มีประโยชน์เท่าที่จะกินได้ เพราะอยากให้เค้าแข็งแรง อยากเห็นเค้าบ่อยขึ้นแม้จะเป็นการมองผ่านเครื่องอัลตร้าซาวนด์ ทุกครั้งที่หมอนัดก็จะดีใจทุกที อารมณ์อ่อนไหวแบบน้ำตาไหลพรากเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะเวลาดูหนังครอบครัวซึ้งๆ ไม่รู้เป็นอะไร

หมอบอกว่าช่วงนี้เปลี่ยนไปกินวิตามินรวมแทนโฟเลทได้แล้ว เพราะลูกสร้างอวัยวะเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้วและดูเค้าจะแข็งแรงดี หัวใจก็เต็นถี่เป็นจังหวะใช้ได้ แต่คุณแม่นี่สิ...ดูเหนื่อยอ่อน วิตามินรวมจะช่วยให้คุณแม่กระปรี้กระเปร่าขึ้น จะได้มีเรี่ยวแรงไปออกกำลังกายบ้าง หรือทำอะไรอย่างอื่นบ้าง (ที่ไม่ใช่นอนอืดทั้งวี่ทั้งวัน) ^^'

วันศุกร์, มกราคม 20, 2555

รับมือกับคนเย่อหยิ่ง

ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มีโอกาสได้เข้าสังคม(เล็กๆ)ได้พบปะผู้คนมนุษย์มนากับเค้าอยู่บ้าง โชคไม่่ดีที่บางครั้งดันต้องเจอคนประเภทหนึ่งที่ไม่ค่อยอยากจะเจอ แต่ก็โชคดีอยู่นิดนึงก็คืออย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ผู้คนและการแสดงออกบางอย่าง จะว่าไปที่นี่ก็มีผู้คนหลากหลายประเภทเหมือนกับทุกที่ในโลก แต่ประเภทที่อยากขอพูดถึง คือ คนที่ออกแนวเย่อหยิ่ง หลงตัวเองนี่แหละ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะเจอมากะตัว ช่างเหมือนในละครเปี๊ยบ แบบว่าโดนมองหัวจรดเท้า ไม่พูดไม่จาด้วยทั้งที่ร่วมโต๊ะอาหาร ไม่แสดงการต้อนรับขับสู้เมื่อพบปะเยี่ยมเยียน  ตั้งประเด็นคำถามแบบไม่น่าคุยต่อ ทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์ และดูถูก ดูเหมือนพยายามแสดงให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวเองมีดีกว่า รวยกว่า เริ่ดกว่า อะไรประมาณนั้น บางครั้งก็แสดงเหมือนว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ทั้งที่ไม่เคยใส่ใจสาระทุกข์สุกดิบของใครอย่างจริงใจ หรือทั้งที่เพิ่งผ่านเรื่องราวอันเจ็บปวดมา เจอความเฟคแบบนี้บ่อยๆเข้า มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ

ใช่...หนึ่งปีที่ผ่านมา นี่จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เอือมระอาสุดๆ เมื่อต้องรับมือกับคนประเภทนี้ มารู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อก็ตอนที่รู้สึกว่าตัวเองจิตตก หดหู่ ทุกครั้งที่ต้องเจอและได้รับการต้อนรับแบบไม่ต้อนรับอยู่เสมอ ทั้งที่ไม่เคยทำอะไรให้ซักหน่อย และหลังจากผ่านระยะเวลาหนึ่งในการพยายามสร้างความเป็นมิตรด้วยแต่กลับไม่เป็นผล จึงถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าการไม่ต้องพบปะคนประเภทนี้อีกน่าจะทำให้ชีวิตและจิตใจเป็นสุขขึ้นเยอะ แต่เพราะความใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาของฉั้น (หรือภาษาชาวบ้านเรียกอยากรู้อยากเห็นอ่ะนะ!) มันไม่ค่อยเข้าใครออกใคร มันยังคงเคลือบแคลงสงสัยและเลิกคิดไม่ได้ว่าอะไรที่เป็นแรงดลใจให้คนเราแสดงออกแบบนั้นได้อย่างไม่รู้สึกว่ามันออกจะดูแปลกๆอยู่ ฉั้นเริ่มค้นหาคำตอบว่าเค้าหรือเรากันแน่ที่เป็นอะไรมากไปป่าว!! จะเป็นพวกรักความสมบูรณ์แบบเหรอ หรือ เป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย หรือเราคิดมากไปเอง และแล้วฉั้นก็ไปค้นพบบทความอันหนึ่งที่พูดถึงคนประเภทที่เรียกว่า Arrogant People อ่านจบฉั้นก็พบว่า มันใช่เลย ทั้งลักษณะท่าทางและอาการต่างๆ 

ในบทความบอกไว้ว่า จะสังเกตุได้จากอะไรบ้างที่จะทำให้รู้ว่าคนคนนั้นเป็นคนประเภท Arrogant People หรือคนเย่อหยิ่ง หลงตัวเอง;
  1. พูดถึงแต่ตัวเอง ห่วงภาพลักษณ์ตลอดเวลา จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นจุดสนใจ และไม่ชอบให้ใครมาทำลายภาพลักษณ์ของตัวเอง ไม่ว่าด้วยวิธีใด เพราะคิดว่าตัวเองมีดีกว่า เหนือกว่าคนอื่น
  2. หากรู้ว่าพวกเค้าอาจเพิ่งผิดหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมา ให้สังเกตุว่าพวกเค้าอาจแสดงออกในทางตรงกันข้าม เพื่อเก็บซ่อนความเจ็บปวดและให้ใครๆเห็นว่าตัวเองยังเพรียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติอยู่ ก่อนไปถามไถ่อะไรก็ดูทิศทางลมให้ดี เพราะไม่แน่ว่าการไปแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอาจกลับกลายเป็นการทำลายภาพลักษณ์เค้าเข้าได้โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจจะได้เห็นอาการโมโห ฉุนเฉียว โกรธเกรี้ยวขึ้นมาแทนก็เป็นได้
  3. ลองดูวิธีที่พวกเค้าปฏิบัติต่อคนอื่น บางครั้งอาจใส่ใจใครมากเกินความจำเป็น แต่กับบางคนอาจโดนมึนตึงใส่ คนประเภทนี้จะมีทัศนคติ 'my-way's-the-only-way' attitude คือ ทำตามวิธีของฉั้นเท่านั้นหรือพวกชอบเผด็จการ เพราะไม่ชอบให้ใครมีคำถามเกี่ยวกับเหตุผลหรือความคิดแท้จริงที่ซ่อนอยู่
  4. บางทีก็แสดงออกอย่างคนแสนดี เช่น ชวนคุยไม่หยุดบ้าง ร่าเริงแจ่มใสกว่าปกติบ้าง หรือแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีมากๆบ้าง เพราะรู้ว่านั่นจะทำให้ตัวเองดูดี แต่ถ้าไม่ชอบใจใครขึ้นมา สบโอกาสเมื่อไรเป็นต้องแสดงความร้ายกาจใส่ อาจด้วยการโจมตีจุดอ่อนหรือไม่ก็อาจชวนทะเลาะสร้างความร้าวฉานเล่นๆ การทำให้คนอื่นดูด้อยลงหรือทำให้คนอื่นไม่มีความสุขก็ถือเป็นวิธีหนึ่งในการระบายความโกรธเกรี้ยวในความไม่สมบูรณ์แบบหรือความผิดหวังบางอย่างของตัวเอง เพื่อนหรือคนใกล้ชิดก็ไม่ค่อยกล้าห้ามปรามหรอกเพราะไม่อยากต้องเผชิญกับความร้ายกาจนั้นซะเองเหมือนกัน
  5. ลองเอ่ยถึงเพื่อนหรือใครที่คิดว่าพวกเค้าไม่ชอบหน้าดูสิ แล้วสังเกตุว่าพวกเค้าจะวิจารณ์ได้อย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ หรือคนที่เค้าคิดว่าเป็นคู่แข่งหรือเป็นศัตรู ยิ่งไม่ชอบมากจะยิ่งวิจารณ์รุนแรงมากเหมือนไม่ต้องการอยู่ร่วมโลกกันเลยว่างั้น 
  6. พวกเค้าจะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการรักษามิตรภาพที่ดีให้จีรังยั่งยืน เพราะเป็นคนต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง และไม่เชื่อว่ามิตรภาพที่ดีมีอยู่จริง แต่ก็สร้างภาพลักษณ์ว่ามีเพื่อนเยอะ แต่ก็มีแต่ปริมาณนะ หาคุณภาพไม่ค่อยได้!
คำแนะนำจากบทความก็คือ 
  • อยู่ห่างๆคนประเภทนี้ไว้ซะ เพราะเค้าจะสามารถสร้างความเจ็บปวดและหดหู่ใจให้เราได้อย่างแสนสาหัส
  • ทำความเข้าใจกับตัวเองให้แน่ใจว่าตัวเราเองไม่ใช่คนประเภทนั้นซะเอง และไม่ได้ตัดสินใครด้วยความอคติ
  • หากจำเป็นต้องพบปะ จำไว้เลยว่าคนประเภทนี้มีบางอย่างที่พวกเค้าพยายามปกป้องไว้เสมอ ไม่ 'ภาพลักษณ์ตัวเอง' ที่ต้องไม่ด้อยไปกว่าใคร ก็ 'ความโดดเด่นเป็นจุดสนใจ' พยายามอย่าใส่ใจ หรือพูดอะไรมากมาย เพราะพวกเค้าไม่ชอบให้ใครตั้งแง่
  • อย่าไปแข่งขันกับพวกเค้าเลย เพราะจริงๆแล้วการจะเย่อหยิ่งอย่างนี้ได้ ก็ต้อง 'มีดี' อะไรบางอย่าง หรือหลายอย่างอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเค้าจะปฏิบัติกับใครต่อใครอย่างดีเสมอไปนะ นอกจากพวกเค้าจะเจอคนที่อาจรวยเหมือนกัน, ดูดีเหมือนกันกัน, เก่งเหมือนกัน หรือ มีเสน่ห์จอมปลอมคล้ายๆกัน หรือเรียกว่าคุณสมบัติเสริมกันเท่านั่น  
  • คนประเภทนี้โกรธง่าย และหายยากด้วย แถมถ้าใครทำให้เคืองขึ้นมาจะไม่ยอมรับคำขอโทษง่ายๆอีกต่างหาก ถ้าไปแข่งหรือทะเลาะกับพวกเค้า แล้วเราดันชนะ ก็จะโดนโจมตีไม่เลิกอยู่ดี เพราะพวกเค้าจะเริ่มเล่นบท 'เหยื่อผู้น่าสงสาร' ทำให้ตัวเองดูน่าเห็นอกเห็นใจ ส่วนเราก็กลายเป็นคนผิด ดูแย่ในสายตาเพื่อนๆไปซะ
  • ถ้าเห็นคนที่ชอบพูดถึงคนอื่นในแนวชวนตลกขบขันอย่างไม่สมควรล่ะก็ นั่นก็ใช่ เป็นตลกร้ายที่ออกแนวหัวเราะเยาะ แสดงให้เห็นถึงความไม่แยแสความรู้สึกคนอื่น ยิ่งความรู้สึกสงสาร เห็นอกเห็นใจคนอื่นก็ยิ่งทำไม่เป็นใหญ่
  • เพราะ 'my-way's-the-only-way' attitude นี่เอง พวกเค้าจึงไม่มีความสามารถในการมองสิ่งต่างๆในแง่มุมอื่นที่ต่างไป หากต้องเสวนาด้วย และไม่เห็นด้วยกับความคิดบางอย่าง ก็ให้เลี่ยงด้วยการบอกว่า "ฉั้นไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะว่า.........." มากกว่าที่จะพยายามพูดเพื่อโน้มน้าวให้พวกเค้าเปลี่ยนวิธีคิดหรือมุมมอง เพราะนั่นจะทำให้เค้ารู้สึกเหมือนถูกโจมตีโลกแห่งความสมบูรณ์แบบที่พวกเค้าสร้างไว้ 
  • ถ้าเป็นไปได้ 'อย่าเกลียด' พวกเค้า เพราะไม่มีใครหรอกที่จะสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง มันเป็นวิธีที่พวกเค้าใช้เก็บซ่อนอดีตที่เจ็บปวด หรือความไม่สมบูรณ์แบบบางอย่างของตัวเองเท่านั้น หรือเป็นไปได้ว่าอาจเคยโดนใครทำร้ายมาด้วยวิธีเดียวกันและพยายามใช้วิธีเดียวกันในการไถ่ถอนความเจ็บปวดให้ตัวเอง
  • ข่าวร้ายอีกอย่างคือ คนประเภทนี้จะไม่ค่อยรู้ขอบเขตในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลซะด้วยสิ
  • เพราะฉะนั้น หากต้องการเอาชนะใจหรือแก้เผ็ด อุ๊ปส์! ^^ สิ่งที่พวกเค้ากลัวที่สุดคือ การไม่เป็นที่(น่า)สนใจ การไม่ใส่ใจ ถามมาตอบไปสั้นๆ หรือการทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่พวกเค้าพูดหรือแสดงออกแบบผิดๆแปลกๆ หรือแสดงให้พวกเค้ารับรู้ว่าเราไม่ต้องการมีพวกเค้าอยู่ใกล้ๆด้วยการไม่สื่อสารด้วยมากนัก พบปะให้น้อยลง แสดงความสนใจหรือใส่ใจพวกเค้าให้น้อยลง พวกเค้าจะรับรู้ได้ถึงความไม่เป็นคนสำคัญ ไม่น่าสนใจ ไม่ปลอดภัยและสูญเสียความมั่นใจอย่างมาก
  • ไม่มีใครที่สมควรได้รับการปฏิบัติแย่ๆจากคนเย่อหยิ่ง หลงตัวเอง หรือคนชอบเรียกร้องความสนใจ จำไว้เสมอว่าพวกเค้าไม่เคยชอบใครที่แตกต่างไปจากตัวเอง เพราะฉะนั้น 'ไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องชอบ ไม่มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลง'  
  • ปล่อยให้พวกเค้าเริ่มมองเห็นหรือค้นพบเอาเองว่าเราก็ 'มีดี' เหมือนกันและจงภูมิใจในส่ิงท่ีตัวเราเป็นและมีอยู่  พฤติกรรมแย่ๆที่เคยปฏิบัติกับเราอาจจะเปลี่ยนไป(หรืออาจจะไม่) หรือพวกเค้่าอาจจะใช้ความพยายามมากขึ้นอีกเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่มันจะไม่มีผลต่อความรู้สึกเราอีกต่อไปเพราะเมื่อเราอยู่ห่างๆพวกเค้าไว้ เราก็จะค่อยๆรู้สึกเจ็บปวดกับพฤติกรรมของคนประเภทนี้น้อยลงไปเอง
คนประเภทนี้ ถ้าสามารถนึกถึงแต่ตัวเองให้น้อยลงบ้าง รู้จักแบ่งปันความสุขหรือยินดีกับความสุขของคนอื่นด้วยใจจริงบ้าง พวกเค้าอาจจะรู้สึกเติมเต็ม และมีความสุขกับสิ่งดีๆที่มีอยู่ในตัว โดยไม่ต้องพยายามสร้างภาพเพื่อปิดบังซ่อนเร้นความเจ็บปวดใดๆอีก แต่นี่แหละ คือ คนประเภทหนึ่งที่มีอยู่ในสังคมจริงๆ ไม่ว่าที่ไหนในโลก บางทีคนประเภทนี้อาจกำลังวนเวียนอยู่ในชีวิตเราโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ลองสังเกตุดูดีๆ

รู้อย่างงี้แล้ว ฉั้นคงต้องพยายามเรียนรู้ที่จะรับมือกับความรู้สึกตัวเองแทน ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในภาวะจิตตกอีกเป็นอันขาด

วันจันทร์, มกราคม 02, 2555

ชีวิตหลังแต่ง....

ฉั้นว่าสาวๆเกือบทุกคนคงเคยแอบมีความฝันถึงการแต่งงานอยู่บ้างนะ พวกภาพงานแต่งงานหรูๆ ชุดเจ้าสาวอู้ฟู่ที่สาวๆหลายคนคิดว่าตัวเองต้องสวยที่สุดในวันนั้นล่ะ ถือช่อบูเก้งามๆ เค้กแต่งงาน แขกเหรื่อ ภาพถ่าย ไม่ก็เข้าโบสถ์ กล่่าวคำสาบาน สวมแหวน แล้วก็จูจุ๊บกัน อะไรประมาณนั้น อ้อ..แล้วก็เจ้าบ่าว(หล่อๆ)ด้วย อย่าลืม! แต่งงานเสร็จ ก็ไปฮันนีมูนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ จากนั้นก็มีลูกน้อยน่ารักเป็นสักขีพยาน แล้วหนังก็จบแบบ Happy ending! ฉั้นเอง แหม่..ไม่อยากโกหกตัวเองว่าไม่เคย มันก็มีแอบฝันอยู่บ้างเหมือนกัน แค่ไม่ได้จินตนาการอะไรที่เริ่ดหรู ว่างานต้องใหญ่โต ชุดเจ้าสาวต้องสวยเริ่ดที่สุดในชีวิต หรืออะไรที่มันอลังการดาวล้านดวง ของแบบนี้เอาแบบสมฐานะและตามความสะดวกจะดีกว่า งานแต่่งงานฉั้นก็เลยสนุก อบอุ่น น่ารัก และเรียบง่ายสมใจ แหม...แค่มีผู้ชายดีๆซักคนมาขอแต่งงาน พ่อแม่ก็ตื้นตันจนบอกไม่ถูก ส่วนฉั้นก็หัวใจพองโตจนยิ้มแก้วปริแล้วปริอีกอยู่ละ  

แต่ชีวิตหลังแต่งงานนี่สิ ไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหน ทำให้เราได้รู้รสชาติของชีวิตหลังแต่งซักเท่าไร คนดูเลยดูแบบไม่ประติดประต่อว่าความเดิมตอนที่แล้วที่ happy ending นั่นอ่ะ มันยังไงต่อ คนก็เลยยังคงจินตการว่าชีวิตหลังแต่งงานมันก็ต้องสวยหรูเหมือนกัน จนกระทั่งเจอของจริงด้วยตัวเองนั่นแหละ ฉั้นเอง...ก็ไม่อยากโกหกอีกแหละ แม้ไม่เคยคิดยอมแพ้ต่ออุปสรรคแต่ก็ไม่เคยได้คิดเผื่อไว้ว่าชีวิตหลังแต่งงานแล้วจะต้องเจออะไรบ้าง ก็เลยฝันอยากให้มันเรียบง่ายและมีความสุขแบบ Happy ending ภาคต่อ...

แต่เอาเข้าจริง พอต้องโยกย้ายจากเมืองไทยมาอยู่ที่บราซิล ชีวิตหลังแต่งของจริงเลยบังเกิด บทบาทการเป็นภรรยา รสชาติมันเป็นอย่างงี้นี่เอง สัมผัสความโดดเดี่ยวเดียวดายของจริง อยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ที่ที่ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ ที่ที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีงาน และที่สำคัญไม่มีเงิน(เดือน)ที่หาได้ด้วยตัวเอง วันๆนั่งเฝ้ารอสามีเลิกงานกลับบ้าน รอเตรียมทำอาหารเย็น ดูแลบ้าน ดูแลเสื้อผ้าที่หลับที่นอน เสาร์อาทิตย์์ก็อยู่บ้าน ทำอาหารกินกันแล้วก็เก็บกวาดเช็ดถูเล็กน้อย (โชคดีที่ไม่ต้องทำงานบ้านเองนะ จ้างเค้าดีกว่า!) ว่างๆก็วางแผนเดินทางท่องเที่ยวกันบ้างค่อยยังชั่วหน่อย แต่...ไม่มีอีกแล้วปาร์ตี้คืนวันศุกร์กับเพื่อนฝูง(เพราะไม่มีเพื่อน!) ลืมไปได้เลย ความสนุกจนไม่ยอมปล่อยไมค์ให้ใครในห้องคาราโอเกะ และอารมณ์ความตื่นเต้นเวลาได้นัดเจอกันร้านเดิม เวลาเดิม แล้วก็ไปต่อที่เดิม ไม่มีอาการใจจดใจจ่อรอรับเงินเดือนในช่วงสิ้นเดือนอีกต่อไป... ช่วงแรกๆของการเริ่มต้นบทบาทใหม่ ตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว เสมือนจะเตรียมตัวไปทำงานอยู่ทุกวัน แต่กลายเป็นเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้สามี เสร็จก็เก็บที่หลับที่นอน แล้วก้อ....... ว่าง! เฮ้ย...นี่มันจริงไปรึป่าว ชักจะเริ่มเซ็งๆเหมือนกัน! พอเริ่มว่างมากๆเข้าก็เลยลองหางานทำ เปิดเว็บไซต์ Search หางานในเซาเปาโล, บราซิล ป๊าาาาด.... มีแต่ภาษาโปรตุเกส อ่านไม่ออก พูดก็พูดไม่เป็น แล้วใคร บริษัทไหนเค้าจะรับล่ะเนี่ย เรียนจบด้านภาษาอังกฤษ แต่ดันทำงานด้าน เทเลคอมฯ มาตลอดเกือบสิบปี อืมม...แล้วจะไปต่อยังไงดี! อยู่ไปซักพัก เหงาเน๊อะ เศร้าด้วย แต่ทำไงได้ เมื่อนามสกุลเปลี่ยน สถานภาพเปลี่ยน ทัศนคติก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เพราะชีวิตการแต่งงานมันกลายเป็นโลกของคนสองคนไปแล้ว ไม่ใช่แค่ของใครคนใดคนหนึ่ง ที่เราจะสามารถตัดสินใจเองได้ว่า เบื่อละ กลับบ้านไปหาแม่ดีกว่า หรือเหงาเน๊อะ บินกลับเมืองไทยไปหาเพื่อนดีกว่า หรือไม่อดทนละ เพราะวันนี้รู้สึกเศร้า เราไม่สามารถตัดสินใจโดยนึกถึงตัวเองเป็นหลักได้อีกต่อไป

ดังนั้น จากคนที่มีโลกส่วนตัวสูง บัดนี้..... 
อะไรที่เคยเป็น "ของฉั้น" และ "ของเธอ" ก็ต้องกลายเป็น "ของเรา" 
เงินที่เคยเป็น 'เงินฉั้น' และ 'เงินเธอ' ตอนนี้ก็มีแต่ 'เงินเรา'
ชีวิตที่เคยมีแต่ 'ครอบครัวฉั้น' และ 'ครอบครัวเธอ' ก็ต้องมองให้เห็นภาพ 'ครอบครัวเรา'
เมื่อก่อนเคยมี 'เพื่อนฉั้น' กะ 'เพื่อนเธอ' ตอนนี้ก็ 'เพื่อนเรา'
ความเห็นที่เคยเป็นของฉั้น และของเธอ ตอนนี้ก็ 'ความคิดเห็นของเรา'
โลกส่วนตัวของฉั้น และโลกส่วนตัวของเธอ ตอนนี้ก็ 'โลกของเรา'
แม้แต่ สรรพนาม ที่เคยเป็น 'ฉั้น' และ 'เธอ' ก็ต้องพูดให้ติดปากว่า 'เรา' 

จากที่ต่างคนต่างทำงาน ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น สามีทำงาน และภรรยาคอยเป็นกำลังใจ
จากเงินของตัวเอง ที่ใช้เท่าไรก็ใช้ไป บัดนี้ ก็ต้องเห็นใจคนหาเงิน และมองอนาคตไปด้วยกัน มองให้เห็นภาพอนาคตเป็นภาพเดียวกัน
ครอบครัวสามีที่เราไม่เคยใกล้ชิดมาก่อน ก็ต้องไปมาหาสู่ และเริ่มทำความรู้จักและทำความเข้าใจ
และแม้แต่ไม่เคยคิดอยากมีลูก เมื่อแต่งงานแล้ว ความคิดกลับเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ

ตอนนี้ล่ะที่มันเริ่มรู้รสชาติอย่างแท้จริง ฉั้นตระหนักแล้วว่า การแต่งงาน มันไม่ใช่เรื่องของงานเลี้ยงรื่นเริงที่ว่านั่น ไม่ใช่แค่ชุดเจ้าสาวอู้ฟู่ ไม่ใช่แค่ตัดเค้กและโยนช่อบูเก้ ไม่ใช่เรื่องของแขกเหรื่อที่มาเป็นสักขีพยาน ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม แต่มันคือ "งาน" คือ โลกใหม่ ชีวิตใหม่ บทบาทและหน้าที่รับผิดชอบใหม่ ต้องดูแลชีวิตและทรัพย์สิน สุขภาพ และความรู้สึกของคนที่เราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วย

โดยเฉพาะเมื่อภาษา วัฒนธรรม และสังคมของเราสองคนแตกต่างกันมาแต่กำเนิด ความโชคดีอยู่ตรงที่ ฉั้นเกิดเป็นคนไทยและเติบโตมากับสังคมและวัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่สอนให้เราเป็นคนยิ้มแย้ม อ่อนน้อม เคารพนบนอบ ห่วงใย ใส่ใจ และมีน้ำใจคอยช่วยเหลือคนอื่น สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มีวัฒนธรรมไทยคอยสอน การใช้ชีวิตคู่ที่นี่คงยากเย็นขึ้นอีกไม่ใช่น้อย เพราะครอบครัวสามี แตกต่างอย่างสิ้นเชิง การได้ถูกบ่มเพาะมาแบบนี้ถือได้ว่าช่วยชีวิตได้มาก เมื่อเราโยกย้ายกลับมาบ้านเกิดของแฟบแล้ว ฉั้นก็ต้องรับภาระหนักในการพยามเรียนรู้ให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปในโลกของครอบครัวแบบบราซิลเลี่ยนแท้ๆ ว่าเค้ามีความเป็นมาอย่างไร เติบโตมายังไง ได้รับการดูแลมาแบบไหน สัมพันธภาพกับสมาชิกในครอบครัวเป็นยัังไงมาก่อน เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยรับรู้ชัดเจนจนกระทั่งได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง เมื่อเรียนรู้แล้ว สิ่งสำคัญคือ ทำยังไงเราจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างพื้นที่ส่วนตัวของเรากับครอบครัวของเค้าให้ลงตัวได้ มันจึงไม่ง่ายเลย ที่ช่วงแรกๆทุกคนต่างต้องพยามทำกิจกรรมหลายๆอย่างร่วมกัน โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดบ้าง เพราะก็เรื่องภาษาอีกแหละ ในขณะที่พวกเค้าก็พูดคุยกันไป...เราก็นั่งเหวอ ฟังไม่ออกอยู่คนเดียว และเป็นธรรมดามากที่คนบราซิลเลี่ยนจะขี้เกียจพูดภาษาอังกฤษทั้งที่บางคนก็พูดได้ สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวอาจมีการแสดงออกต่อเราไม่เหมือนกัน บางครั้งก็เดาทางออก แต่กับบางคนก็เดาความหมายลำบาก ไม่ง่ายเลยที่ต้องรับมือกับทุกคนให้ได้อย่างไม่ตื่นตูม แต่เพื่อป้องกันปัญหา In-Law War ที่ได้ยินคำเล่าลือมาต่างๆนานาในซีกโลกฝั่งนี้ (ฟังดูแล้วน่ากลัว) ฉั้นก็ได้แต่พยามทำทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด หรือเรียกว่า เนียนๆไปนั่นแหละ

บางครั้งถึงขั้นถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า
จำเป็นมั้ย ที่ต้องเข้ากับครอบครัวสามีให้ได้ และจะต้องเข้ากันได้ถึงระดับไหน?
จำเป็นมั้ย ที่เราต้องดูแลครอบครัวสามีด้วยตามหน้าที่ของภรรยา? เช่น ต้องไปเดินหาซื้อของขวัญวันเกิด ให้พ่อแม่ พี่น้อง และหลานๆ และต้องร่วมงานวันเกิด ไหนจะงานสังสรรค์ของครอบครัวอีก เช่น วันคริสมาสต์(ทั้งที่เป็นคนพุทธแต่กำเนิด)แต่ก็ต้องไปช่วยกันเดินซื้อหาของขวัญให้แต่ละคนทั้งที่ฉั้นเองก็ไม่ค่อยจะรู้จักมักจี่ ไหนจะวันปีใหม่ วันเกิดเราสองคน(ที่ดันเกิดใกล้กัน) หรือแม้กระทั่งวันเกิดอยากจะกินอีกต่างหาก! จะว่าไปแล้วมันก็น่ารักดีนะ เพียงแต่มันค่อนข้างจะขัดกับความรู้สึกฉั้นอยู่ซักหน่อย เพราะอาจเป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่นี่หรือวัฒนธรรมภายในครอบครัวก็ไม่รู้ ที่พวกเค้าไม่ค่อยสนิทใจในการพูดคุยหรือเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้กันและกันฟัง ต่างคนก็ต่างอยู่ เมื่อต้องมารวมตัวกันมันเลยดูเหมือนทำไปตามมารยาทซะมากกว่า
ยังไม่หมด และไหนเพื่อนเค้า หัวหน้าเค้า หรือเพื่อนร่วมงานของเค้าอีก จำเป็นมั้ยที่เราต้องเข้าไปมีบทบาท?

คำถามเหล่านี้มาถึงตอนนี้ แม้จะไม่เคยฝันหวานกับการแต่งงานว่าต้องโรยด้วยกลีบกุหลาบ ก็ยังอุตส่าห์มีหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งและอดทน โชคดีที่ภูมิคุ้มกันที่มีในตัวอยู่ในขั้นดีใช้ได้ หลังจากใช้เวลามา 1 ปีเต็ม เราทุกคนก็ต่างรู้จักกันมากขึ้นอีกระดับ และฉั้นก็เรียนรู้และเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตัวเองมากขึ้นด้วย สิ่งสำคัญ มันอยู่ที่ตัวเรานี่แหละ ถามตัวเองบ่อยๆว่าเรายังมีความสุขอยู่มั้ย แล้วก็ปฏิบัติตัวต่อทุกคนแบบที่เราอยากให้เค้าปฏิบัติต่อเรา สื่อสารกับสามีให้เข้าใจถึงขอบเขตและข้อจำกัดของเรา ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง การอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องเห็นใจ เข้าใจ และเป็นกำลังใจให้กันและกัน เค้าปรับบ้างเราปรับบ้าง ผลัดกันไป ต่างต้องเข้าใจว่า เมื่อแต่งงานแล้วชีวิตคู่ของเราต้องมาเป็นอันดับหนึ่งไม่ว่าความเป็นมาในครอบครัวเค้าและเราจะเป็นอย่างไรมาก่อน ความเคารพรักและการให้เกียรติ ต้องแสดงออกให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา

แม้นี่จะไม่ใช่ Happy ending ภาคต่อ แต่ชีวิตก็งี้แหละ ยังคงมีอีกหลายภาค ก็ต้องค่อยๆเรียนรู้กันไป อย่างอดทนและเข้าใจ เดี๋ยวความสุขก็ตามมาเอง....

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...