City Tour Sao Paulo ถือเป็นประสบการณ์ City Tour ที่แปลกประหลาด โดยธรรมชาติของการไปท่องเที่ยว นอกจากจะต้องตื่นเต้น เตรียมสะพายกล้อง แต่งตัวมีสีสัน เตรียมเงินพกติดตัว แต่ครั้งนี้ กล้องไม่ควรเตรียม แต่งตัวควรมิดชิด พกเงินไปนิดเดียว และต้องไม่ใส่เครื่องประดับมีค่า! และนี่คือการเตรียมตัวท่องเที่ยวใน เซา ปาโล แผนการในวันนี้คือ City Tour Sao Paulo, Downtown
New Downtown และ Old Downtown คือ โซนในเมืองของ เซา เปาโล ซึ่งถ้าให้จินตนาการคำว่าในเมือง โดยปกติต้องนึกถึงบรรยากาศ ที่มีแหล่งช๊อปปิ้งหรูๆ มีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน ผู้คนแต่งตัวสวยงาม ข้าวของเยอะแยะละลานตา แต่สำหรับที่นี่ก็ละลานตาเหมือนกัน เพราะมีตลาดนัดขนาดใหญ่ขายของถูกอย่างสำเพ็งบ้านเรา มีตลาดสด ขายของสด ของแห้ง ขนม นม เนย ชีส ผลไม้ และอีกมากมาย ขนาดและหน้าตา เห็นแล้วชวนให้นึกถึง หัวลำโพง อาคารบ้านเรือน โบสถ์ โรงเรียน สำนักงานเก่าคร่ำคร่า แบบสถาปัตยกรรมโบราณสไตล์ บาร็อก (Baroque) และโกธิก (Gothic) แบบดิบๆ บ้างก็เก่าชำรุดทรุดโทรมแต่ก็ดูมีมนต์ขลัง บ้างก็ปรักหักพังอยู่ท่ามกลางตึกใหม่ๆ ที่ดูแล้วขัดตา ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ปนเปไปทั้งคนทำงานและคนจรจัด ย่าน Downtown นี้เมื่อ 30 ปีก่อนเคยเป็นแหล่งเจริญรุ่งเรือง เป็นที่ตั้งของ ธนาคาร และสำนักงานใหญ่ๆหลายแห่ง แต่เมื่อการเจริญเติบโตของเมือง เซา เปาโล ถูกพัฒนาไปอย่างไม่มีทิศทางเมื่อช่วง 20-30 ปีที่แล้ว ได้ยินว่าคนฐานะยากจนจากเมืองอื่นๆ อพยพเข้ามาหางานทำที่นี่และสุดท้ายก็ยึดพื้นที่ Downtown เป็นที่อยู่อาศัยแบบถาวร และแผนพัฒนาของรัฐบาลแทนที่จะพัฒนา Downtown ต่อไป กลับกลายเป็นมีแหล่งธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายกระจายไปในโซนอื่นๆ ซึ่งห่างจากย่าน Downtown ออกไป เช่น Paulista Ave. (เปาลิสต้า อเวนิว) เป็นต้น ปล่อยให้ทั้ง New Downtown และ Old Downtown เก่าเก็บ ชำรุดทรุดโทรมอย่างปัจจุบัน
Igreja de Se Cathedral |
Para de Se หรือ Se Square ถือได้ว่าเป็น Center หรือใจกลาง Downtown ที่อีกด้านหนึ่งของ Square มีพิพิธภัณฑ์ Museu Anchiata (มิวเซอู อังชิเอต้า) ที่ภายในถูกปรับปรุงเป็นสวนนั่งเล่นส่วนหนึ่ง ปลูกต้นไม้หายากหลายชนิด และเป็นที่เก็บรักษาซากกำแพงเมืองบางส่วนที่ถูกสร้างแบบชาวอินเดียนแดงเมื่อพันกว่าปีก่อน ที่สร้างด้วยวิธีโยนดินเหนียวที่ละก้อนเข้าไปปะติดปะต่อกันจนเป็นรูปเป็นร่างกำแพงดินขึ้นมา ด้านฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์มีตึกโบราณสไตล์โกธิกดูเก่าแก่และมีมนต์ขลังอีกหลายตึกและก็มีอนุสวรีย์โบราณรูปร่างน่ากลัวกว่าตึกอีก..ตั้งอยู่!!
ฉั้นเริ่มหยิบ iPhone ขึ้นมาเก็บบรรยากาศและรูปถ่าย เสียงเตือนจากไกด์ก็ดังขึ้นทันทีว่าให้ระวัง ถ่ายแล้วก็รีบเก็บ เพราะที่นี่ iPhone ถ้าถูกฉกไปแล้วละก็ ขายได้ราคาที่เดียวเชียว! หลังจากเก็บ iPhone กลับเข้าที่อย่างเหลียวหน้าพะวงหลัง เราก็เริ่มเดินทางกันต่อผ่านตึกเก่าๆมากมาย และอาคารโบราณที่เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของธนาคารต่างๆใน เซาเปาโล ซึ่งปัจจุบันหลายๆแห่งได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปตั้งที่อื่นที่ใหม่กว่า ทิ้งตึกเก่าแก่นี้ไว้ให้ถูกแปรสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน เช่น Banco de Sao Paulo (บังคุ จี เซา เปาโล) หรือ Bank of Sao Paulo ที่บนชั้นสูงสุดของยอดตึก กลายเป็นจุดชมวิวเมืองเซาเปาโลแบบ 360 องศา มองลงมาเห็นบ้านเมืองชัดเจน ความแตกต่างที่ฉั้นเห็นจากมุมสูงก็คือ ที่นี่บ้านเมืองไม่ได้มีสีสันมาก ถ้าไม่สร้างด้วยปูนธรรมดาก็จะสร้างด้วยอิฐแดงแบบไม่พถีพิถัน ตึกไหนที่มีสีสันก็จะเห็นโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมา บริเวณโดยรอบ Downtown มีตึกใหญ่ๆสูงๆไม่มากนัก นอกจากตึกที่เรากำลังยืนอยู่และบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น มองไปไกลสุดตาเห็นภูเขาล้อมรอบเมืองอยู่ ถัดจากการชมวิวมุมสูง เราก็กลับลงมาเดินผ่านย่าน Downtown กันต่อ แวะเข้าไปใน Stock Market เนื่องจากแถวนี้เคยเต็มไปด้วยธนาคาร ตลาดหุ้นจึงมีบทบาทสำคัญในอดีต แต่ปัจจุบันโถงที่เคยเต็มไปด้วยโบรกเกอร์ก็ถูกผันให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ สำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่สนใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นเข้ามาดู เหมือนเป็นนิทรรศการแทน โดยเปิดสอนและให้คำอธิบายโดยผู้ที่เคยทำงานเป็นโบรกเกอร์เมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง และการบรรยายไม่มีภาษาอังกฤษมีแต่ภาษา Portuguese เท่านั้น!
ออกจากตลาดหุ้น เราก็แวะ Art Gallery บ้าง ธนาคารบ้าง และโรงหนังเก่าๆ หลายแห่ง จนมาถึง Teatro Municipal (เทอาโตร มิวนิซิปาว) ซึ่งเป็นโรงหนังในตึกโบราณสไตล์โกธิก ที่ปัจจุบันก็ยังมีกิจกรรมฉายหนัง ทั้งเก่าทั้งใหม่ มี Opera Hall และ Concert Hall มีแสดงละครเวที มีมุมร้านขายหนังสือ และมุมบริการจิบชากาแฟฟรีตามอัธยาศัย ดูแล้วน่าจะสุนทรีย์ ด้านหน้าโรงหนัง ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ้าง นักท่องเที่ยวชาวบราซิลเลี่ยนก็มี แล้วถ้าให้เดา ฉั้นน่าจะเป็นคนไทยคนเดียวที่หลงเข้ามาที่นี่! เรามาถึงในช่วงที่หน้าโรงหนังมีโชว์เล็กๆพอดี มีสองสาวแต่งตัวสวยงามสไตล์โบราณ และอีกสองหนุ่มสะพายกีต้า มาร้องเพลงกันเพื่อเชิญชวนให้คนเข้าไปเที่ยวชมในโรงหนัง ดูแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ
ที่ Old Downtown นี้มี Mercado Municipal (เมอร์ซาโด มิวนิซิปาว) คือตลาดสดขนาดใหญ่ที่พูดถึงในตอนต้น เป็นตลาดที่เก่าแก่และขึ้นชื่อเพราะขนาดใหญ่เกือบเท่า หัวลำโพง บ้านเรา มีความสวยงามซ่อนอยู่ภายในตึก ที่ตกแต่งด้านหน้าด้วยกระจกที่มีสีสันและลวดลาย ที่นี่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ขนม นม เนย ผลไม้ ชีส เครื่องเทศ เนื้อสัตว์ และอื่นๆอีกมากมายเต็มไปหมด และมีร้านอาหารอยู่บนชั้นสองซึ่งเป็นชั้นลอย ซึ่งคนจะแน่นเอี๊ยดในวันเสาว์อาทิตย์ อาหารขึ้นชื่อที่นี่ คือ Pie สอดใส้ชนิดหนึ่ง ชื่อ Pastel (พาสเทล) ขายดีสุดๆรสชาติเอร็ดอร่อยเหมือนแป้งทอดกรอบๆแล้วแน่นไปด้วยใส้พายด้านใน มีให้เลือกทั้งใส้กุ้ง ใส้ไก่ ใส้เนื้อ และขายดีที่สุดเหมือนจะเป็นใส้ปลา เรียก Pastel de Bacalhau (พาสเทล จี บาคาเลียว) บาคาเลียวแปลว่าปลา แต่เป็นปลาเค็มนะ ต้องเรียกปลาเค็มตากแห้งน่าจะเหมาะกว่า เพราะเค็มได้ใจจริงๆก่อนนำไปทำอาหารต้องล้างน้ำก่อนหลายๆรอบ บางทีล้างแล้วแช่น้ำค้างคืนไว้ยังไม่หายเค็มเลย แต่คนบราซิลชอบกิน โดยเฉพาะในพาสเทลทอดกรอบๆร้อนๆกินกับโค้กซ่าๆซักกระป๋องนี่ล่ะ ... อืมมม มิน่าลูกค้าเข้าคิวยาวเหยียดทีเดียวเชียว
Menu Pastel&others |
Pastel |
และจากที่นั่น ถนนใกล้ๆกันก็มี ตลาดขายของถูกอย่างสำเพ็งบ้านเรา ตั้งอยูบนถนน 25 de Março (วินชิซิงกุ จี มาร์คโซ) ใหญ่โตมโหราฬ คนพลุกพล่านและมีของขายเกือบทุกอย่าง เช่น เครื่องประดับ ของประดิษฐ์ ของที่ระลึก ของเล่น เครื่องสำอางค์ และอีกมากมายขายในราคาถูก แต่อย่างเคยต้องเดินด้วยความระมัดระวัง (กระเป๋าตังค์และของมีค่า) และมีสติอยู่เสมอ เพราะคนยิ่งมากยิ่งอันตราย แต่หากชอบซื้อของถูกและต่อรองได้ ก็ต้องมาที่นี่ล่ะ
เราเดินรอบๆเมืองซักพักเพื่อเก็บบรรยากาศความกว้างใหญ่โตและความพลุกพล่านของเมือง ก่อนวนกลับมายังที่จอดรถและเริ่มขับรถวนรอบเมืองอีกนิดเพื่อเข้าสู่ New Downtown เราได้แวะอีกหนึ่งที่ คือ โบสถ์คริสต์แบบโบราณ ที่เก่าแก่ สวยงาม ดูลึกลับและมีมนต์ขลัง ภายในมืดทึม มีคนมานั่งสวดมนต์ขอพร มีรูปปั้นพระเยซู พระแม่มาเรีย สไตล์โบราณพิถีถิถันสวยงาม ส่วนหน้าของโบสถ์เป็นร้านขายขนมปังสูตรพิเศษที่หลวงพ่อในโบสถ์ท่าลงมือทำเองและขายในราคาย่อมเยาว์
เราเข้าสู่ New Downtown ซึ่งหน้าตาแตกต่างจาก Old Downtown อย่างเห็นได้ชัด เพราะโซนนี้ไม่มีอาคารโบราณใหญ่โต ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว มีแต่อาคารพาณิชย์หน้าตาธรรมดาและสถานีรถไฟใต้ดินหลายสถานีตั้งอยู่ สำหรับใครที่ต้องการเดินทางมา Downtown ก็สามารถโดยสารรถไฟใต้ดินได้ สะดวกกว่าเพราะไม่ต้องพะวงเรื่องการหาที่จอดรถให้วุ่นวาย สถานีรถไฟที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็น Luz Station (ลูซ สเตชั่น) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟแห่งใหญ่ มีรูปร่างและโคร่งสร้างสวยงามไสตล์อังกฤษ ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ คศ.1991 ฝั่งตรงข้ามเป็น Pinacoteca do Estado ซึ่งเป็น Art Gallery และ Musuem ขนาดใหญ่ สร้างด้วยอิฐสีแดงดูเป็นศิลปะดิบๆไม่พิถีพิถัน สร้างตั้งแต่ปี คศ. 1889
ติดกันด้านข้างมีสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ที่เค้าว่ามีเจ้าตัว Sloth ซึ่งเป็นสัตว์อนุรักษ์ของบราซิล มีมากในป่า Amazon หน้าตาคล้ายกับหมีโควล่าแต่ว่าขี้เหล่กว่าเยอะ! มีนิ้ว 3 นิ้วพร้อมกับเล็บที่ยาวมาก ใช้ในการปีนขึ้นต้นไม้ แบบ Slow Motion ..Slow มากจนขึ้นชื่อและได้ฉายาว่า "เจ้าตัวขี้เกียจ" เพราะมันใช้เวลาเป็นวันๆ กว่าจะปีนถึงยอดไม้ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่ของมัน ซึ่งเมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้ว กว่าจะกลับลงมาอีกอย่างแสนจะเชื่องช้า ก็ประมาณอีกหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลงมาฉี่เท่านั้น เราแวะเข้าไปเดินเล่นในสวนเพื่อตามหาตัว Sloth เพราะฉั้นอยากเห็นตัวเป็นๆ แต่วันที่เราแวะไปมันเพิ่งจะลงมาฉี่ไปเมื่อวาน เลยพลาดโอกาสได้เห็น เสียดายจัง อดเห็นสัตว์ขี้เหล่! ในสวนสาธารณะ ฉั้นก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตุผู้คนที่เดินบ้างนั่งบ้างอยู่ในสวน มือก็กำกระเป๋าถือจนแน่น ตาก็สังเกตุเห็นผู้คน มองไปที่ใครก็รู้สึกเหมือนทุกคนกำลังจ้องมองมาที่ฉั้นเข้าทำนอง “ตื่นตูม” ปน “หวาดระแวง” ดูแล้วยิ่งชวนให้คิดถึงสวนลุมพินี ในยามค่ำคืนซะนี่กระไร ผู้หญิงบางคนแต่งตัวแปลกๆ นุ่งกระโปรงสั้น ผิวดำกร้านทาปากแดง ยืนตามต้นไม้บ้าง นั่งอยู่ตามเก้าอี้บ้าง ผู้ชายก็มาเดินทอดน่องบ้าง บางคนก็มานั่งมองโน่นมองนี่อย่างไม่มีจุดหมาย(หรือมีก็ไม่รู้)บ้าง ในขณะที่ฉั้นกำลังสังเกตุผู้คนในบริเวณรอบๆ Flavia ไกด์สาวมาดแมนของฉั้นยังคงเดินตามหา Sloth ต่อไปอย่างห้าวหาญ สมแล้วที่เป็นไกด์ เพราะดูไปดูมา ฉั้นชักจะเริ่มกลัว Flavia แทนซะเอง!
เราเข้าสู่ New Downtown ซึ่งหน้าตาแตกต่างจาก Old Downtown อย่างเห็นได้ชัด เพราะโซนนี้ไม่มีอาคารโบราณใหญ่โต ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว มีแต่อาคารพาณิชย์หน้าตาธรรมดาและสถานีรถไฟใต้ดินหลายสถานีตั้งอยู่ สำหรับใครที่ต้องการเดินทางมา Downtown ก็สามารถโดยสารรถไฟใต้ดินได้ สะดวกกว่าเพราะไม่ต้องพะวงเรื่องการหาที่จอดรถให้วุ่นวาย สถานีรถไฟที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็น Luz Station (ลูซ สเตชั่น) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟแห่งใหญ่ มีรูปร่างและโคร่งสร้างสวยงามไสตล์อังกฤษ ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ คศ.1991 ฝั่งตรงข้ามเป็น Pinacoteca do Estado ซึ่งเป็น Art Gallery และ Musuem ขนาดใหญ่ สร้างด้วยอิฐสีแดงดูเป็นศิลปะดิบๆไม่พิถีพิถัน สร้างตั้งแต่ปี คศ. 1889
ติดกันด้านข้างมีสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ที่เค้าว่ามีเจ้าตัว Sloth ซึ่งเป็นสัตว์อนุรักษ์ของบราซิล มีมากในป่า Amazon หน้าตาคล้ายกับหมีโควล่าแต่ว่าขี้เหล่กว่าเยอะ! มีนิ้ว 3 นิ้วพร้อมกับเล็บที่ยาวมาก ใช้ในการปีนขึ้นต้นไม้ แบบ Slow Motion ..Slow มากจนขึ้นชื่อและได้ฉายาว่า "เจ้าตัวขี้เกียจ" เพราะมันใช้เวลาเป็นวันๆ กว่าจะปีนถึงยอดไม้ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่ของมัน ซึ่งเมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้ว กว่าจะกลับลงมาอีกอย่างแสนจะเชื่องช้า ก็ประมาณอีกหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลงมาฉี่เท่านั้น เราแวะเข้าไปเดินเล่นในสวนเพื่อตามหาตัว Sloth เพราะฉั้นอยากเห็นตัวเป็นๆ แต่วันที่เราแวะไปมันเพิ่งจะลงมาฉี่ไปเมื่อวาน เลยพลาดโอกาสได้เห็น เสียดายจัง อดเห็นสัตว์ขี้เหล่! ในสวนสาธารณะ ฉั้นก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตุผู้คนที่เดินบ้างนั่งบ้างอยู่ในสวน มือก็กำกระเป๋าถือจนแน่น ตาก็สังเกตุเห็นผู้คน มองไปที่ใครก็รู้สึกเหมือนทุกคนกำลังจ้องมองมาที่ฉั้นเข้าทำนอง “ตื่นตูม” ปน “หวาดระแวง” ดูแล้วยิ่งชวนให้คิดถึงสวนลุมพินี ในยามค่ำคืนซะนี่กระไร ผู้หญิงบางคนแต่งตัวแปลกๆ นุ่งกระโปรงสั้น ผิวดำกร้านทาปากแดง ยืนตามต้นไม้บ้าง นั่งอยู่ตามเก้าอี้บ้าง ผู้ชายก็มาเดินทอดน่องบ้าง บางคนก็มานั่งมองโน่นมองนี่อย่างไม่มีจุดหมาย(หรือมีก็ไม่รู้)บ้าง ในขณะที่ฉั้นกำลังสังเกตุผู้คนในบริเวณรอบๆ Flavia ไกด์สาวมาดแมนของฉั้นยังคงเดินตามหา Sloth ต่อไปอย่างห้าวหาญ สมแล้วที่เป็นไกด์ เพราะดูไปดูมา ฉั้นชักจะเริ่มกลัว Flavia แทนซะเอง!
ด้านข้าง Pinacoteca do Estado |
ด้านหน้า Pinacoteca do Estado |
และแล้วการเดินทาง City Tour กว่าค่อนวันของฉั้นก็สิ้นสุดลง หลังจากสวนสาธารณะแห่งนี้เราเริ่มเดินทางออกจาก New Downtown พร้อมด้วยอาการหายใจทั่วท้องอีกครั้ง การท่องเที่ยว City Tour ครั้งนี้มอบความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับฉั้น เป็นการท่องเที่ยวแบบไม่พกกล้อง อาจหมดสนุกไปบ้างเพราะมัวแต่หวาดระแวง ทำไงได้ฉั้นอยู่ที่นี่ เหมือนคนไม่รู้หนังสือ เขียนก็ไม่ได้ อ่านก็ไม่ออก หากเกิดไรขึ้นกับฉั้นที่นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถสื่อสารกับตำรวจได้ยังไง แต่สุดท้ายการเดินทางท่องเที่ยวช่วงสั้นๆครั้งนี้ ก็ปลอดภัยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และได้พบเห็นผู้คนที่แตกต่าง ศิลปะที่บอกไม่ได้ว่าสวยหรือไม่สวย ดิบและเก่าและดูลึกลับ
บราซิลเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในตัวเอง มีอะไรมากมายที่น่าสนใจ เซา เปาโล เป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียม ความเก่าอยู่ท่ามกลางความใหม่ ความรวยใกล้กันแค่คืบกับความจน ความอวดร่ำอวดรวยมาคู่กับการโจรกรรม ความเลือดร้อนก็มาควบคู่กับการทะเลาะเบาะแว้งและการเข่นฆ่า ความปลอดภัยอยู่ใกล้นิดเดียวกับความอันตราย สิ่งต่างๆเหล่านี้ถูกแยกออกจากกันด้วยเส้นแบ่งบางๆเท่านั้น นั่นหมายความว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ใน เซา เปาโล คนที่นี้รู้ดีว่ามันเป็นอย่างนี้มาเนิ่นนานและดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลง